ตอนที่ 110 ความทรงจําอันเจ็บปวด
เรื่องราวที่ผ่านมาเป็นเรื่องจริงหรือไม่?
ความทรงจําที่เก่าแก่ที่สุดของคุณคืออะไร?
คุณจําอะไรก่อนที่คุณจะอายุสามขวบได้ไหม?
เรื่องราวทั้งหมดก่อนที่คุณจําจะจําความได้…ใครเป็นคนเล่าให้ฟัง?
ตอนยังเล็กพ่อแม่ให้อาหารอะไรคุณกิน?
คุณชอบกินอาหารแบบไหน?
คุณซนแค่ไหน?
ฉลาดแค่ไหน?
สิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้นจริงหรือไม่?
เรื่องราวเหล่านั้นที่เคยเกิดขึ้นเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า?
ท่ามกลางภาพความทรงจํามากมาย กู้จวินเผชิญกับมันเพียงลําพัง เขายืนมองหญิงสาวและเด็กชายกําลังวาดภาพ บรรยากาศในห้องเต็มไปด้วยความอบอุ่นที่จอมปลอม
เมื่อกู้จวินเดินออกจากห้องประเมิน ใบหน้าของเขาก็ค่อนข้างซีดราวซากศพ ใครจะคาดคิดว่าชิ้นส่วนความทรงจําของตัวเขาที่หลุดออกมาจากจิตใต้สํานึกจะกลายเป็นเหตุการณ์ที่เหนือความคาดหมายขนาดนั้น ถึงเหตุการณ์จะประหลาดและน่าตกใจ แต่ตัวเขาก็ไม่ได้บอกความจริงกับ พี่สาวเหลียงเกี่ยวกับเรื่องในจิตใต้สํานึกนั้น อย่างน้อยเรื่องภาษาต่างโลกเขาก็ไม่ได้บอก! กู้จวินถอนหายใจ…ท้ายที่สุดเขารู้เรื่องราวแค่ไหนกันนะ? ปริศนาที่ดํามืดและวัยเยาว์ที่ เต็มไปด้วยปริศนา…ความจําที่บิดเบี้ยวน่ากลัว เส้นทางที่เขาเลือกและปริศนาเบื้องหลัง ท้ายที่สุดแล้วมันจะไปจบที่จุดใด
หลังจากสิ้นสุดการสะกดจิต พี่สาวเหลียงก็ทําการให้คะแนน จากนั้นก็กล่าวกับกู้จวินตามค วามจริง
อาจขึ้นเป็นที่ชัดเจนว่าความทรงจําที่ผิดปกติที่เธอมีนั้นเกี่ยวข้องกับวัยเด็กของเธอ พ่อแม่ของเธอนั้นน่าจะเกี่ยวข้องกับความผิดปกตินี้ ฉันจะรายงานเรื่องนี้ต่อหัวหน้าของฉัน และตัวเธอก็มีค่า S ที่ดี แต่เธออาจต้องได้รับการรักษาอะไรบางอย่าง อย่างไรก็ตามในตอนนี้อย่าคิดมากเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกเลย กลับไปพักผ่อนซะ”
หลังจากกู้จวินออกมาจากห้อง เขาก็เดินตามพี่ชายเฉียงที่รออยู่เพื่อไปรวมตัวกับพรรคพวกที่เหลือ เขาเป็นคนสุดท้ายที่ทําแบบประเมินเสร็จและใช้เวลานานที่สุดโดยรวมหนึ่งชั่วโมงครึ่ง และผลการประเมินจะออกในเช้าวันรุ่งขึ้น ก่อนหน้านั้นพี่ชายเฉียงได้ส่งทุกคนกลับหอพักเพื่อพักผ่อน
ด้วยเหตุนี้วันนี้พวกเขาทุกคนจึงได้กลับหอพักเร็วกว่าปกติ ดังนั้นไช่ฉีซวนที่คึกคักจึงอยากจะชวนทุกคนมาแต้นท์และจัดงานเลี้ยงฉลองที่ห้องของเขา แต่เมื่อพวกเขาหันมามองกู้จวิน พวกเขาก็รู้สึกเป็นห่วง เพราะกู้จวินนั้นหน้าซีดมาก ซีดราวกับซากศพที่พวกเขาเคยผ่าเลย…ดังนั้นพวกเขาจึงตัดสินใจย้ายสถานที่จัดงานฉลองไปห้องของพี่ชายหม่าแทน จากนั้นกู้จวินก็ขอตัวไปพักผ่อนเพราะไม่สบายเล็กน้อย
พออยู่ลับหลังของทุกคน แถมรูมเมทอย่างไช่ฉีซวนก็ไม่อยู่ กู้จวินจึงขังตัวเองในห้องนอน และเขาก็ละเลยการระวังตัวเหมือนเคยอย่างสิ้นเชิง ราวกับว่าใครมันจะสอดแนมอะไรเขาก็ไม่สนใจอีก
จากนั้นเขาก็สวมรอยยอดนักมวยแล้วชกเข้าไปที่กําแพงห้องอย่างแรงจนกําแพงเกือบจะถล่ม ทว่า! ช่างน่าเศร้าที่ความเจ็บปวดจากมือของเขานั้นมันไม่สามารถกลบลบความปวดใจที่มหาศาล ราวกับหัวใจของเขากําลังจะแตกเป็นเสี่ยงๆได้เลย ภายใต้ความเจ็บปวดและทรมานทั้งกายและใจ ถึงกระนั้นเขาก็ต้องคิดย้อนกลับไปถึงความหมายของความทรงจํานั้นที่เขาคิดค้นขึ้นมา
“ ฉันรู้แล้ว! นั่นก็เพราะแม่ไม่เข้าใจภาษาต่างโลกนั้น แต่เธอก็รู้เกี่ยวกับการดํารงอยู่ของมัน แล้วจึงใช้ประโยชน์จากฉัน…เพื่อเขียนให้เธอ? ใช่! ต้องเป็นแบบนั้นแน่ๆ”
เมื่อนึกถึงชิ้นส่วนความทรงจําเหล่านั้น กู้จวินก็รู้สึกเหมือนหัวของเขาเองกําลังจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ “ แต่ทําไมฉันถึงรู้ภาษานี้? ใครสอนให้ฉัน หรือว่าฉันคิดขึ้นมาเองได้?”
“คิดขึ้นมาเอง!? ฮ่า ฮ่า ทําได้ก็บ้าแล้ว!!” กู้จวินคิดว่านั่นเป็นเรื่องที่น่ากลัวเกินไป ตอนนั้นเขาแค่สามขวบจะไปคิดอะไรได้! ตอนนั้นเดินคล่องแล้วรึเปล่าก็ไม่รู้ เขาเลิกฉี่รดที่นอนแล้วรึยัง? คําถามพวกนี้น่าคิดยิ่งกว่าเขาคิดค้นภาษาได้เสียอีก
ในตอนแรกที่ระบบปรากฏตัว เขาได้เพียรพยายามทําหลายๆอย่าง เดาวิถีทางเพื่ออ่านภาษาต่างโลกสารพัด! ดังนั้นจึงพูดได้ว่าเขาศึกษาอย่างจริงจังในระยะหนึ่ง มันทําให้เขาเข้าใจดีว่าการสร้างภาษาใหม่ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ตัวเขาต้องปฏิบัติตามกฏไวยากรณ์หลายๆข้อจึงจะสมเหตุสมผล และจากเบาะแสที่เขาไขได้ ภาษาต่างโลกนี้มีชุดของกฎภาษาเป็นของตัวเองและโครงสร้างของมันก็ซับซ้อนมาก
ความซับซ้อนที่ปรากฏขึ้นนี้หมายความว่ามันเป็นไปไม่ได้เลยที่มันจะสร้างโดยเด็กอมมือที่ฉี่รดผ้าอ้อมคนหนึ่ง และในความทรงจําของเขา กู้จวินก็เห็นแค่ตัวเขากําลังเขียนภาษาแบบสั้นๆ เขาเขียนตามคําบอกดูจากภาพตามความเข้าใจของเขา ดังนั้นการคิดค้นภาษาเอง…ข้อนี้ตีตกไปได้เลย
นอกจากนี้ภาษานี้ยังถูกนําไปใช้กับบรรจุภัณฑ์ของยาบางชนิดเช่นเดียวกับพิมพ์เขียวและผลิตภัณฑ์จากนม … ทุกสิ่งเหล่านี้สามารถหาได้จากตัวเขาผ่านพลังลึกลับและทรงพลังของระบบ ส่วนเหตุผลเบื้องหลังของระบบเป็นสิ่งที่ปานนี้เขาเองก็ยังไม่เข้าใจ และวันๆได้แต่ทําภารกิจของระบบเพื่อยืดชีวิตไปวันๆ
แต่ในส่วนที่เกี่ยวกับสาเหตุที่ทุกอย่างมันเป็นภาษาต่างโลก กู้จวินนึกถึงความเป็นไปได้ถึงสองประการ หนึ่งคือ สิ่งที่ระบบมอบให้ล้วนมาจากต่างประเทศหรือไม่ก็ต่างโลก สองคือ หลังจากระบบรวมกับจิตใต้สํานึกของเขาแล้ว ระบบจะเลือกรูปแบบของภาษานี้จากจิตใต้สํานึกของเขามาใช้ในผลิตภัณฑ์ทั้งหมดเพราะคิดว่านั่นคือภาษาแม่ที่เขาใช้
โดยส่วนตัวแล้ว กู้จวินเชื่อว่าโอกาสที่มันจะเป็นข้อแรกนั้นใหญ่กว่าข้อหลังมาก! นี่ก็เพราะว่ามันคงเป็นเรื่องเสียสติที่ระบบมันจะรู้จักเลือก หรือถ้ามันจะเลือกจริง! มันก็ควรเลือกภาษา ที่ใช้บ่อยที่สุดในชีวิตของเขาสิ จะได้คล่องตัวและใช้งานได้ง่ายไม่ลําบากเหมือนทุกวันนี้
“ เป็นไปได้ไหมว่าเกิดจากเหตุการณ์บางอย่างที่เหนือความคาดหมายมาก เช่น การทดลองบางอย่างที่บริษัทไล่เฉิงเฮงซวยนั่นจัดขึ้น เพราะงั้นฉันเลยได้รับโอกาสในการศึกษาภาษาต่างโลกนี้? และเป็นไปได้ว่าฉันที่ยังเป็นเด็ก! แต่ฉันก็เป็นหนึ่งในไม่กี่คน หรือไม่ก็คนเดียวที่สามารถเข้าใจภาษานี้ได้ แล้วแม่ก็ตัดสินใจที่จะลักขโมยมันออกไปจากหัวของฉัน?”
เขาพยายามจัดระบบความคิดของตนเอง เขารู้สึกว่าความเป็นไปได้นี้มีสูงที่สุดท้ายที่สุดความเร่าร้อนแสนโลภในสายตาของแม่มันก็มองมาที่เขาราวกับ…นั่นไม่ใช่ลูกชาย แต่เป็น “พระเจ้า” ที่เธอยึดถือและเคารพ
ภาษาต่างโลกนี้ต้องมีความสําคัญบางอย่างต่อลัทธิชีวิตหลังความตายไล่เฉิงอะไรนั่นแน่นอน แต่เรื่องนั้นมันไกลตัว ตอนนี้เขาต้องยอมรับบางอย่างที่เป็นความจริงเบื้องหลังที่แอบซ่อนของตนเองก่อนแม้มันจะเจ็บปวดก็ตาม พ่อแม่ของเขาอาจมีความสัมพันธ์โดยตรงกับลัทธิชีวิตหลังความตาย และเป็นไปได้ที่พวกเขาอาจลากกู้จวินเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเช่นกัน
“ ว่าแต่เอกสารทั้งหมดนั้น มันอ้างอิงถึง…” ทันใดนั้นความคิดบางอย่างก็เกิดขึ้นกับกู้จวิน “ ภาพวาดที่มีคําต่างโลกพวกนั้น?”
ความหวังใหม่ๆ ผุดขึ้นในจิตใจของเขา บางทีพ่อแม่ของเขาอาจจะไม่ได้ส่งมอบเอกสารคืนให้ไล่เฉิง และพวกเขาอาจจะอ้างเหตุผลใดสักอย่างในการแอบซ่อนวิธีอ่านภาษาต่างโลก
ทําให้เป้าหมายสูงสุดของลัทธิชีวิตหลังความตายนั้นถูกขัดขวาง และสุดท้ายเพื่อป้องกันอันตราย พวกเขาก็หลบหนีไปด้วยการหายสาปสูญ และการกระทําของพวกเขาทั้งหมดก็ลงเอยด้วยสถานะที่เป็นปฏิปักษ์ต่อลัทธิชีวิตหลังความตาย…อาจจะเป็นแบบนั้น
บางทีในตอนแรกพ่อแม่ของเขาอาจจะไม่ทราบเกี่ยวกับเบื้องหลังที่ชั่วร้ายของลัทธิชีวิตหลังความตายหรืออาจจะรู้แต่ไม่มากพอ และหลังจากที่พวกเขาพบความจริงพวกเขาก็หลบหนี ทฤษฎีใหม่นี้ทําให้กู้จวินมีกําลังใจอีกครั้ง และความเจ็บปวดในใจก็เริ่มหายไป
การฟื้นคืนของความทรงจําบางส่วนนี้ทําให้เขารับรู้คําศัพท์ภาษาต่างโลกใหม่ๆได้สองสามคํา ตั้งแต่ตอนที่เขาออกจากการประเมินจนถึงตอนนี้ จํานวนคําศัพท์ยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
และนอกจากนี้เขายังพบความคุ้นเคยที่อธิบายไม่ได้เกี่ยวกับมัน เช่น สิ่งที่คนๆหนึ่งมีต่อภาษาแม่ของตนเอง ในทางวิทยาศาสตร์สิ่งนี้เรียกว่า “หน่วยความจําโดยธรรมชาติ” ตัวอย่างเช่น เราไม่สามารถอธิบายได้ว่าเราเลือกภาษาขึ้นมาได้อย่างไร มันเป็นไปตามธรรมชาติเอง
อย่างไรก็ตามความเร็วในการฟื้นคืนของภาษาต่างโลกในความคิดของเขาก็เริ่มลดลงแล้วเช่นกัน….
“ สําหรับตอนนี้ เฮ้อ ฉันยังคงมีความเชื่อมโยงอย่างลึกซึ้งกับความทรงจําบางส่วนนั้นอยู่ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ฉันมั่นใจว่าความรู้สึกนั้นจะจางหายไปและจํานวนคําที่ฉันจําได้จะลดลง…และเนื่องจาก ความทรงจําที่ผิดปกติในจิตใต้สํานึกของฉัน” บางทีมันอาจจะมีความทรงจําอื่นๆที่แอบซ่อนอยู่ แต่ฉันไม่รู้…แล้วฉันก็ไม่สามารถที่จะเข้าถึงมันได้ด้วย”
บางครั้งเราก็ไม่สามารถหนีจากความจริงได้เสมอไป กู้จวินเดินไปข้างเตียงแล้วนั่งลง เขานั่งพิงข้างเตียงและเริ่มรําพึงถึงความทรงจําเหล่านั้นและในที่สุดจิตใจของเขาก็ปั่นป่วน
การทําสมาธิเป็นทักษะที่เขาหยิบขึ้นมาใช้ในตอนนี้ เพราะมันเหมาะสมที่สุด!
ในชั้นเรียนจิตวิทยา ไม่ว่าจะเป็นแบบฝึกหัดการหายใจ วิธีผ่อนคลายร่างกาย และปล่อยให้จิตใจล่องลอย…เขาล้วนได้เรียนมาแล้วทั้งสิ้น!
“ตั้งใจให้มั่น!” กู้จวินสั่งตนเองแล้วเข้าสู่สมาธิ จากนั้นความรู้สึกที่เขามีอยู่นั้นก็ขยายกว้างออกไปในทันที
ในขณะที่เขากําลังครุ่นคิดจัดระเบียบความทรงจํา ภาษาต่างโลกที่มีก็เริ่มพัฒนาก้าวกระโดดอีกครั้ง: ดอกไม้ นก อาวุธ หมอ ตํารวจ ครู อาหาร ความเชื่อ ชีวิต เรื่องราว ความลับ สงคราม
กู้จวินจมอยู่ในวังวนแห่งความทรงจําและคําพูดแปลกปลอมเหล่านั้นก็พุ่งเข้ามาในดวงตาของเขาราวกับดอกไม้ไฟแดงจ้า และตัวเขาก็ไม่รู้ว่ามันนานแค่ไหนแต่ในที่สุดเขาก็รู้สึกอยากกลับสู่โลกแห่งความจริง
จุดประสงค์ของการทําสมาธิคือเพื่อให้จิตใจแจ่มใส แต่ตอนนี้เขารู้สึกปวดหัวอย่างรุนแรงและสภาพจิตใจของเขาก็แย่ลงกว่าตอนที่เริ่มทําสมาธิเสียอีก นอกจากนี้เขาเชื่อว่าเขาใช้ความทรงจําบางนั้นหมดแล้ว เพราะเท่าที่เขาพยายาม เขาก็ไม่สามารถกลั่นกรองคําแปลกปลอมใหม่ๆออกมาได้อีก