ตอนที่ 113 เวทย์มนต์?
หลังจากกู้จวินอ่านบันทึกทั้งสามแผ่นจบ ท้องฟ้าด้านนอกก็มืดลงแล้ว…มืดลงอย่าง เปล่าเปลี่ยว…กู้จวินนึกไปถึงความทรงจําที่ถูกถ่ายทอดในบันทึก และนิมิตร ‘ลัทธิ’ บูชาเทพเจ้าในโบสถ์…จากนั้นภาพลวงตาย่อยๆก็พลันปรากฏขึ้น เขาเห็นโครงกระดูกไร้ศรีษะมากมายกําลังนั่งคุกเข่ากราบ ‘เทพเจ้า’
ร่างเหล่านั้นทั้งหมดเป็นร่างไร้ศีรษะที่เหลือแต่เพียงโครงกระดูก และพวกเขาทั้งหมดคุกเข่าไปทางท้องฟ้าเหนือโบสถ์…
นี้ใช่ภาพของ ‘เรย์บันดี้’ ที่กลับมารวมตัวกับครอบครัว คนรักและเพื่อน ๆ ในลัทธินั่นหรือไม่? แต่อย่างไรก็ดี…ดูจากสภาพแล้ว กู้จวินก็ไม่รู้สึกสงสัยเลยว่านั่นไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็น ‘เทพธิดาแห่งชีวิต’ ที่เป็นเทพเจ้าสูงสุดในลัทธินั้นอย่างแน่นอน
“ขอให้พวกคุณพักผ่อนอย่างสงบเถิด” กู้จวินพูดเบา ๆ ให้กับภาพลวงตาในจิตใจที่ ค่อยๆเลือนหายไป…เขารู้สึกเห็นใจคนเขียนบันทึกคนนั้นอย่างสุดซึ้งชีวิตของเขาช่างน่าสงสารในขณะที่กู้จวินเองก็ซาบซึ้งที่ข้อมูลของผู้เขียนนั้นมีประโยชน์ต่อมนุษยชาติ พอนึกถึงเนื้อหาในบันทึกเขาก็รําพึงรําพันด้วยความสงสัย “ นี่เป็นอีกอารยธรรมหนึ่งอย่างแน่นอน! แต่อาจจะเป็นอารยธรรมโบราณบนโลกนี้หรือไม่ก็…จากดาวเคราะห์อื่น หรือมิติที่แตกต่างแน่นอน”
ก่อนหน้านี้แนวคิดของกู้จวินเอนเอียงไปทาง ‘โลก’ อื่นมากกว่า แต่ตอนนี้ความคิดของเขา ได้เปลี่ยนไปแล้ว เขาเห็นความเป็นไปได้ที่มันจะเป็น ‘อดีตกาล’ ของโลกใบนี้ เพราะมันก็เป็นไปได้เช่นกัน
เนื่องจากอารยธรรมนี้มีสิบสองเดือนในหนึ่งปี และสามสิบวันในหนึ่งเดือน นี่เป็นสัญญาณบ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ ‘ฤดูกาล’ ซึ่งคล้ายคลึงกันกับดาวเคราะห์ที่ชื่อ ‘ดาวโลก’ ของเขามาก ดังนั้นแล้วอาจจะเป็นไปได้ที่มันคือโลกเดียวกัน
นอกจากนี้ยังมีสิ่งที่เรียกว่าโครงสร้างมนุษย์อยู่อีก…และร่างกายของคนเหล่านี้ก็ควรจะมีสายพันธ์ที่สูงกว่าหรืออาจคล้ายกับเผ่าพันธ์โฮโมเซเบียนส์ของเขา มิฉะนั้นยาของพวกเขาจะไม่ได้ผลกับกู้จวิน ไม่เพียงแต่เขาเท่านั้น!! เนื้องอกของเขาก็ด้วย สิ่งนี้ได้รับการพิสูจน์แล้วจากการทดลองจากยาของเขากับหนูที่บัดนี้กลายเป็นซุปหนูหอมกรุ่นไปแล้ว!
รางวัลจากระบบระบุมันว่าเป็น ‘ยาเฉพาะที่ของเนื้องอกในสมองของมนุษย์’ และข้อมูลโฮสต์ในระบบได้จัดหมวดหมู่เผ่าพันธุ์ของเขาเป็น ‘มนุษย์ – โฮโมซาเบียน’ เมื่อรวมความคิดทั้งสองนี้ เข้าด้วยกัน ตอนนี้กู้จวินก็มีข้อสันนิษฐานใหม่!
“ ยานี้ใช้ได้ผลกับสิ่งมีชีวิตเผ่าพันธ์ “มนุษย์” ทุกสายพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นโฮโมเซเปียนส์หรือม นุษย์เผ่าพันธุ์อื่นๆ อย่างเช่น ผู้คนในบันทึกต่างก็เป็นมนุษย์ และใช่พวกเขาดูเหมือนจะเรียน ที่สถาบันคาร์ลอตสินะ? คาร์ลอต” กู้จวินบ่นพึมพํา
ตามบันทึกประจําวันของเรย์บันได้ระบุว่าสถาบันคาร์ลอตเป็นสถาบันการแพทย์ที่มีชื่อเสียงที่สุดในอาณาจักรนั้น รางวัลของภารกิจระดับยากได้กล่าวถึงอุปกรณ์ทางการแพทย์แปลกๆ เช่น มีดผ่าตัดแห่งคาร์ลอต หรือ กรรการศัลยกรรมแห่งคาร์ลอต เป็นครั้งคราว
คําว่าคาร์ลอตเหล่านี้น่าจะหมายถึงสิ่งเดียวกัน และมีดผ่าตัดและกรรไกรเป็นผลผลิตจากอารยธรรมนั้น จึงไม่ค่อยน่าสงสัยเท่าไหร่ แต่ตอนนี้มีบางอย่างที่ทําให้กู้จวินสับสนนั่นก็คือ วิธีการสื่อสารระหว่างเรย์บันและคนรักของเขาที่ชื่อลินดา เห็นในบันทึกระบุไว้ว่ามันคือ “การเขียนจดหมาย”
ดังนั้นกู้จวินจึงสามารถตั้งสมมติฐานได้ว่า…อารยธรรมนี้ไม่มีสิ่งต่างๆ ที่ทันสมัยเช่น โทรศัพท์และอินเทอร์เน็ต พวกเขาไม่ได้อยู่ในยุคอารยธรรมไอที่มิฉะนั้นด้วยความใกล้ชิดของระ ดับความสัมพันธ์ที่แทบจะกลืนกินเมื่อพบเห็นพวกเขาจะต้องคุยโทรศัพท์ทุกวัน หรืออย่างน้อยก็ส่งข้อความไปหาทุกวันเรื่อย ๆ เว้น! แต่ในโอกาสอันน้อยนิดที่ “จดหมาย” จะเป็นชื่อของแอปโซเชียลมีเดียบางแอป นั่นหมายความว่าอารยธรรมนี้อาจจะยังไม่ถึงยุคไฟฟ้า แต่มันก็แปลกที่มีการกล่าวถึงเครื่องทําความเย็น
ยิ่งไปกว่านั้นอารยธรรมนี้ควรจะเป็นอาณาจักรแบบโบร่ําโบราณ เพราะถ้าเป็นสมัยใหม่…เขา ต้องเรียกดินแดนว่าประเทศสิ!
และเรย์บันยังกล่าวอีกว่าลินดามาจากครอบครัวที่ภูมิหลังไม่ดีนั่นคือเป็นลูกสาวของช่างตีเหล็ก ดังนั้นความคิดเรื่องชนชั้นวรรณะจึงยังคงมีอยู่มาก และจากการกล่าวถึง “เทพธิดาแห่งชีวิต” ในบันทึกของเรย์บันดี้บ่อยๆ ราวกับกลัวว่าจะลืมนั่นน่าจะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์หลักที่อาณาจักร นี้เชื่อมั่นและเคารพนับถือแน่นอน
นอกจากนั้นการกล่าวถึงสิ่งต่างๆเช่น ‘เทพธิดา’ ทูต ‘และ’ ความจริงของชีวิต ‘ทําให้เขาอนุมานได้ว่าศาสนานั้นมีความสําคัญยิ่งยวดในอารยธรรมนี้
และนั่นคือสิ่งที่ทําให้กู้จวินสับสนมากที่สุด!!
เมื่อคํานึงถึงความก้าวหน้าตามปกติที่ควรจะเป็นของอารยธรรมมนุษย์ อารยธรรมของเผ่าพันธุ์นี้มีทักษะทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยม แต่…กลับงมงายอย่างน่าสะพรึงกลัว!
พวกเขาอุตส่าห์สร้างยาเฉพาะที่สําหรับรักษาเนื้องอกที่ก้านสมองของมนุษย์ได้ แต่กลับมีบางอย่างที่คนอัจฉนิยะอย่างพวกเขายังไม่สามารถรักษาได้
“ อารยธรรมนี้แม้จะดูล้าหลังในบางเรื่อง…แต่ในบางเรื่องเช่นการแพทย์พวกเขาก้าวหน้ากว่าเรามาก”
ขณะที่กู้จวินพลิกดูบันทึกทั้งสามหน้าเขาก็ครุ่นคิดอยู่เพียงลําพัง
เป็นความเชื่อในศาสนาหรือไม่ที่ทําให้ ‘ต้นไม้’ แห่งความรู้ของพวกเขาแตกแขนงไปสู่หนทางวิทยาศาสตร์ที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง?
แต่สิ่งที่มีค่าที่สุดคือวิทยาศาสตร์การแพทย์ พวกเขายังคงเรียนแพทย์และมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาทักษะนี้ จากพิมพ์เขียวการชันสูตรพลิกศพการกล่าวถึงไวรัสและปรสิตในสมุดบันทึก ทําให้พวกเขาเชี่ยวชาญการแพทย์แผนปัจจุบันของมนุษย์เผ่าโฮโมเซเบียนส์แล้ว และมะเร็งก็ไม่ได้เป็นปัญหาสําหรับพวกเขาอีกต่อไป
“ ฉันสงสัยว่าวิทยาศาสตร์การแพทย์ของคนเหล่านี้มาได้ไกลแค่ไหน และพวกเขาสามารถพัฒนาไปได้อย่างไรกันแน่?”
ในฐานะนักศึกษาแพทย์ กู้จวินรู้ว่าความก้าวหน้าของวิทยาศาสตร์การแพทย์ไม่สามารถประสบความสําเร็จหรือก้าวหน้าหากขาดอุปกรณ์ที่มีความแม่นยําสูงได้ เช่นเดียวกับหมอผี..หากไม่มีมี ดหมอหรือน้ํามนต์จะเป็นหมอผีได้อย่างไร? ดังนั้นการเรียนแพทย์มันจะต้องมีอุปกรณ์และยามากมายมาช่วยพัฒนาจึงจะก้าวหน้าได้
ทว่า…หากไม่มีกล้องจุลทรรศน์เราจะศึกษาแบคทีเรียได้อย่างไร? และการสร้างอุปกรณ์เหล่านี้ไม่สามารถแยกออกจากความเชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์แล้ว ‘วิทยาศาสตร์’ ของอารยธรรมต่างโลกนี้คืออะไรกันแน่? ก้าวหน้าถึงขั้นไหนแล้ว?
“ เดี๋ยวก่อน…การเปรียบเทียบเป็นไปได้ทั้งสองทาง” ก่อนหน้านี้เขามุ่งเน้นเฉพาะสิ่งที่อารยธรรมต่างโลกขาดแคลนเมื่อเทียบกับเผ่าพันธ์ของมนุษยโลก แต่ทําไมเขาไม่เคยคิดที่จะตรวจสอบสิ่งที่พวกเขาขาดเมื่อเทียบกับอารยธรรมต่างโลก?
เหตุผลที่พวกเขามีเทคโนโลยีขั้นสูงเช่นนี้เนื่องจากพวกเขามีความเชี่ยวชาญของวิทยาศาสตร์ เป็นเพราะเหตุนี้เผ่าพันธุ์มนุษย์โฮโมเซเปียนส์อย่างกู้จวินและมนุษย์โลกคนอื่นๆ จึงสามารถเข้าถึง เทคโนโลยี เช่น ไอน้ํา ไฟฟ้า คอมพิวเตอร์และอื่น ๆ ได้แล้วเหตุใดการค้นพบที่สําคัญเหล่านี้จึงไม่เกิดขึ้นในเส้นทางของอารยธรรมต่างโลกเล่า?
แล้วพวกเขามีการค้นพบแบบใดในด้านวิทยาศาสตร์บ้าง?
หวังว่ามันจะไม่ใช่อะไรเหลวไหลอย่าง….เวทมนตร์?
เวทมนต์? หัวใจของกู้จวินสั่นสะท้านขึ้นมาทันที และจากนั้นเขาก็รู้สึกว่าเซลล์ในร่างกายของเขากระตุกราวกับมีชีวิตขึ้นมา
หลังจากได้เห็นพลังของบางสิ่งบางอย่าง เช่น ระบบ เขาก็หยุดตั้งคําถามเกี่ยวกับการมีอยู่ของพลังงานรูปแบบอื่นในโลกนี้ทันที มันต้องมีความจริงแอบซ่อนอยู่เบื้องหลังความผิดปกติทุกอย่าง แต่มนุษย์ไม่เคยแม้แต่จะใส่ใจ….พวกเขาละเลยบางอย่างซึ่งเป็นแก่นแท้ของจักรวาลไป และ ทําให้อารยธรรมถดถอยเกินควร
“ นี่อาจเป็นสิ่งที่ลัทธิชีวิตหลังความตายกําลังค้นหาอยู่หรือไม่?” กู้จวินเดินไปมาที่ระเบียงคน เดียวท่ามกลางความมืด เขาสัมผัสได้ถึงการปรากฎของความรู้สึกแปลกประหลาดท่ามกลางความมืดมิด…สิ่งเร้นลับที่มีอยู่มานานนับตั้งแต่การสร้างโลก
บางที่ลัทธิชีวิตหลังความตายคงกําลังค้นหาวิธีที่จะได้รับความรู้และเทคนิคของอารยธรรมต่างโลกที่พวกเขาเผ่าโฮโมเซเบียนไม่รู้จัก?
ยารักษามะเร็ง วิธีอายุยืน อมตะมีใครบ้างที่จะไม่สน?
ขนาดกู้จวินยังสนใจเลย!
“ เทคนิคการแพทย์ของคนเหล่านี้เป็นสิ่งที่คุณแม่หลงใหลหรือเปล่า?” กู้จวินบ่นพึมพําคนเดียว สายตาที่ร้อนแรงในขณะที่แม่ของเขามองภาษาต่างโลกนั้นยังคงบีบหัวใจของเขาอยู่เสมอ แต่ตอนนี้เมื่อเขาคิดถึงเรื่องนี้ เขาก็รู้สึกดีขึ้นมาก ถ้ามันเกี่ยวข้องกับการค้นพบเทคโนโลยีขั้นสูงนี้ แน่นอนเขาจะเกิดอาการคลั่งไคล้เหมือนแม่ของเขานั่นแหละ
“ บางที่ลัทธิชีวิตหลังความตายคงมีปฏิสัมพันธ์หรืออาจได้รับการครอบครองวรรณกรรมความรู้บางส่วนของอารยธรรมต่างโลกนี้ แต่พวกเขาไม่รู้ว่าจะอ่านหรือถอดรหัสได้อย่างไรดังนั้น ลัทธิชีวิตหลังความตายจึงต้องใช้ทีมวิจัยที่พ่อแม่ของฉันเป็นส่วนหนึ่งเพื่อถอดรหัส และนั่นคือสาเหตุที่ฉันต้องเรียนรู้ภาษาต่างโลกนี้ด้วย ฉันเป็นคนเข้ารหัสที่พวกเขาใช้เพื่อปลดล็อกภาษาต่างโลก” กู้จวินจัดแจงเรียงลําดับและคาดเดาแบบอิงเหตุผลหมดสิ้น “ ดูเหมือนว่าฉันจะเป็นสื่อกลางระหว่างสองอารยธรรมนี้ โดยรับผิดชอบในการแย่งชิงสิ่งต่างๆจากอารยธรรมต่างโลกมายังโลกนี้ผ่านตนเอง”
สื่อกลาง? เครื่องมือสําหรับจัดเก็บและขนส่งข้อมูล!!
อยู่มาตั้ง 20 กว่าปีเพิ่งรู้ตนเองเป็นแค่แฟลชไดร์ฟ
“ สื่อกลางใช่ไหม? ฉันเป็นแค่แฟลชไดร์ฟเท่านั้นล่ะสิ?” กู้จวินถอนหายใจยาวด้วยความเหนื่อยใจ แต่หลังจากที่เขาทําใจและปล่อยวางหัวใจของเขาก็รู้สึกเบาขึ้น
ตอนที่เขายังเด็ก…เขาพบภาษาต่างดาว และตอนนี้ฉันพบระบบ! ระบบเป็นสื่อชนิดหนึ่งที่มีพลังที่น่าประหลาดใจไม่ใช่หรือ?
พิมพ์เขียวและบันทึกเป็นข้อมูลทั้งหมด แต่ยาและเครื่องมือเป็นของจริง!
“ มือแห่งความชํานาญ” หัวใจของกู้จวินสั่นไหวด้วยความหวาดกลัว ‘พลัง’ เหล่านี้ บางที่นี่อาจเป็น ‘เวทมนตร์’ สําหรับอารยธรรมต่างโลกใช่หรือไม่? หรือนี่คือ “เทคนิคการแพทย์ ที่นักศึกษาของสถาบันคาร์ลอตศึกษา?
เนื่องจากพวกเขามีเทคนิคมหัศจรรย์เหล่านี้จึงทําให้พวกเขาขาดเทคโนโลยี เพราะเทคนิคและพลังเหล่านี้อาจใช้ประโยชน์ได้มากกว่าในการแสวงหาวิทยาศาสตร์การแพทย์ เมื่อเทียบกับวิทยาศาสตร์ของมนุษย์บนโลก
“ งั้นฉันเป็นสื่อหรือการกลับชาติมาเกิดของสมาชิกคนหนึ่งของอารยธรรมต่างชาตินี้ถูก ไหม?” กู้จวินส่ายหัวด้วยความไม่พอใจ “ เมื่อเทียบกับแลนดอนเทพมายาแล้ว ฉันอาจจะเหมือน เทพบุตรเรย์บันดีผู้มั่นคงในรักมากกว่า”
แต่เขาไม่ได้อยู่กับความคิดนี้นานเกินไป เพราะแม้ว่ามันจะเป็นความจริง แต่เขาก็ไม่สามารถทําอะไรกับมันได้ การศึกษาเรื่องลึกลับนี้เกินขอบเขตความเข้าใจของเขาไปแล้ว
เขาจึงกลับไปที่คําว่าสื่อกลาง ลัทธิหลังความตายกําลังทําอะไรกันแน่ ถึงได้ทําให้เขา กลายเป็นสื่อกลางนี้? และลัทธิชีวิตหลังความตายประสบความสําเร็จหรือไม่? เหตุใดพวกเขาจึงให้อิสระแก่เขาเป็นเวลาหลายปี รวมถึงโยนเงิน 5,000,000 หยวนมาให้เขาในการใช้จ่ายและใช้ชีวิตอย่างสนุกสนาน โดยไม่ได้ดักจับขังเขาไว้ในห้องมืดเพื่อศึกษาจนตาย..
แล้วลัทธิชีวิตหลังความตายเข้ามาติดต่อกับอารยธรรมต่างโลกนี้ได้อย่างไรและอะไรอยู่ในความครอบครองของพวกเขากันแน่? แล้วเฟคต้ารู้เรื่องทั้งหมดนี้มากแค่ไหน?
และต้นกําเนิดของ…สัตว์ประหลาดเหล่านั้นคืออะไร? พลังอะไรที่ทําให้พวกมันอยู่บนโลก? พวกเขาเกี่ยวข้องอะไรกับโรคระบาดที่ทําให้ไอเป็นเลือดนี้? อาการไอเป็นเลือด วันหนึ่งจะมาที่โลกทําให้ทุกคนติดเชื้อและทําลายอารยธรรมของมนุษย์ด้วยหรือไม่?
เมื่อเทียบกับสิ่งประหลาดนั้น… โรคมนุษย์ต้นไทรที่สามารถรักษาให้หายได้ด้วยการตัดแขนในเวลาที่เหมาะสมแทบไม่ต่างอะไรกับไข้หวัด! แม้แต่อารยธรรมที่ก้าวหน้าทางการแพทย์เช่นนี้ก็ถูกกําจัดด้วยโรคไอเป็นเลือด หากโรคร้ายมาถึงโลกนี้! นั่นจะไม่ใช่การบ่งบอกว่าถึงจุดจบของโลกมนุษย์หรอกหรือ?
สายลมยามค่ําคืนลูบไล้ใบหน้าของเขา และหัวใจของกู้จวินก็สั่นสะท้านจากความหนาวเย็นคําถามที่น่าปวดหัวเหล่านี้มันมากเกินไป
“ ฉันต้องหาวิธีที่จะทําให้เกิดนิมิตจากภาพขาวดํานั้นให้ได้ในเร็ว ๆ นี้ ฉันต้องการข้อมูลเพิ่ม เติมเพื่อไขปริศนาเหล่านี้ให้ไวที่สุด” กู้จวินคิดอย่างมั่นใจ