ตอนที่ 123 เด็กชายผู้รับการกราบไหว้
กลุ่มผู้ปวยสลับไปมาดูกู้จวินอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ใบหน้าแห่งความสยดสยองเข้ามาในความคิดของเขามากขึ้นและเสียงกระซิบก็ยังคงดําเนินต่อไป และดังขึ้นเรื่อยๆ
ตอนนี้กู้จวินไม่ต่างอะไรจากสัตว์ในสวนสัตว์ที่เวียนมาให้คนชมดู…ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าความรู้สึกมันเป็นยังไง
ใบหน้าและเสียงกระซิบทําร้ายกู้จวินอย่างต่อเนื่องและหัวของเขาก็เริ่มสันขึ้นเรื่อยๆ เขารู้สึกว่าห้องทั้งห้องกําลังหมุนอยู่ แสงที่พร่ามัวเริ่มเต้นต่อหน้าต่อตาเขา ไม่ใช่กู้จวินจะไม่คุ้น! เขาเผชิญกับเหตุการณ์แบบนี้มานับไม่ถ้วน นี่อาจหมายความว่าภาพนิมิตรจากภาพขาวดําที่เคยได้กําลังจะถูกกระตุ้นอีกครั้งอย่างนั้นเหรอ?
“แต่ทําไมต้องเป็นตอนนี้?? กู้จวินไม่เข้าใจอย่างสิ้นเชิง ทั้งๆที่แถวนี้ไม่มีทะเลแท้ๆ สิ่งเชื่อมโยงก็ยังไม่รู้แน่ชัด แต่ที่แน่ๆ อาการปวดหัวของเขาก็เริ่มแรงขึ้นอย่างไม่อาจจะทานทน แต่เหตุกาณ์ที่กําลังเกิดขึ้นทั้งหมดนี้ไม่ได้คล้ายกับสถานการณ์ในภาพถ่ายขาวดําใบนั้นเลย แต่!! นี่ไม่ใช่เวลาปกติ นิมิตรไม่มีตาหรือ? ถึงไม่เห็นว่าตอนนี้มาเกิดอะไรขึ้นอยู่! กล้าปรากฏขึ้นมาโจ่งแจ้งในตอนนี้ได้ยังไง
ทั้งหมดมันทําให้สถานการณ์ตอนนี้ของกู้จวินยิ่งเลวร้ายยิ่งขึ้น เขาอยู่ภายใต้การเฝ้าระวังอย่างหนักของผู้คนจากแผนกสืบสวน แม้แต่ความคลาดเคลื่อนหรือการขยับเพียงเล็กน้อยก็ไม่รอดพ้นสายตาของพวกเขา
ได้โปรด!! อย่ามาตอนนี้!” เขากัดฟันเพื่อหยุดภาพลวงตาไม่ให้ปรากฏขึ้น แต่เมื่อกลุ่มคนไข้เริ่มเดินเข้าออกอย่างไร้สิ้นสุด นิมิตรก็เริ่มส่อเค้าอย่างรุนแรง และภาพเบื้องของเขาก็เริ่มเลือนลางขึ้นในทุกๆวินาที
กู้จวินปวดหัวจนไม่อาจจะทานทนได้ เขาเอามือขึ้นมาบนหัวแล้วจับหัวของเขาไว้แน่น เพื่อป้องกันไม่ให้หลุดเข้าไปในนิมิตร เขาพยายามลืมตา และเขาก็สามารถมองเห็นใบหน้าของผู้ป่วยทุกคน ทว่า! ไม่ช้าพวกเขาทั้งหมดก็เปลี่ยนไปเป็นใบหน้าเดียวกันใบหน้าของผู้ชายที่เที่ยวแห้งคนนั้น
จะเป็นอย่างไรถ้านี่เป็นแผนของหวังเค่อมาโดยตลอด? พวกเขารู้เกี่ยวกับภาพและนี่เป็นวิธีเดียวที่จะทําให้เกิดภาพนิมิตร?
“ ฉันต้องการความจริง ฉันต้องการคําตอบให้ฉันดู…” เมื่อความตั้งใจนั้นเข้ามาในใจของเขา กู้จวินก็ตกอยู่ในภาพนิมิตทันที มันเป็นฝันร้ายอีกครั้ง
เมฆมืดโดยรอบนั้นหนาแน่นและแล่นลงต่ำ ต้นไทรขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า กิ่งก้านหนาและรากที่ซับซ้อนของมันราวกับจะครอบคลุมโลกทั้งใบเอาไว้ต้นทั้งต้นของมันทั้งบิดเบี้ยวและน่าหวาดผวา
คล้ายกับเพิ่งผ่านการตกของฝน…ทําให้พื้นดินที่ควรจะแห้งนั้นชุ่มฉ่ำจนกลายเป็นโคลนหนาแน่นและเฉอะแฉะ หากแต่ท่ามกลางพื้นแบบนี้ยังมีผู้คนมากกว่าร้อยคนในชุดดํา และมีผู้คนในชุดสีแดงอีกประมาณสิบคน พวกเขาทั้งหมดกําลังคุกเข่าอยู่บนพื้นศีรษะของพวกเขาสัมผัสกับโคลนที่ชุ่มฉ่ำ พวกเขากําลังมองไปยังต้นไทรขนาดใหญ่เบื้องหน้าพลางพึมพําด้วยเสียงกระซิบที่ไม่รู้จัก มันฟังดูเหมือนบทสวดไร้สาระ แต่ก็มีคําสรรเสริญเยินยอโผล่มาด้วย แต่ถ้ามองที่ต้นไทรดีๆ ภายในลําต้นใหญ่ของต้นไทรใหญ่นั้นมีโพรงไม้ขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงกลางของลําต้น
ภายในโพรงต้นไม้ปรากฏร่างคนนั่งอยู่ที่นั่น มันเป็น “เด็กผู้ชาย” อายุเพียงไม่กี่ขวบ เขาแต่งตัวด้วยเครื่องแต่งกายแปลก ๆ เขาสวมมงกุฎที่ทําจากใบและรากของต้นไทร เขาเป็นเหมือนราชาของเหล่าสาวกผู้โง่เขลา ไม่ก็เป็น “พระเจ้า” ของพวกเขา
เด็กชายมองดูสาวกนับร้อยที่กําลังกราบเขาด้วยท่าทีที่นิ่งเงียบ ใบหน้าที่อ่อนเยาว์ของเขาปราศจากอารมณ์ ดวงตาทั้งสองของเขาเป็นสีดําบริสุทธิ์ราวกับถ้ำที่ไร้ก้นบึงจ้องมองกลับมาที่พวกเขา
มีเสียงอันเยือกเย็นดังก้องไปทั่วสวรรค์และโลก และนั่นก็เป็นเสียงของเด็กน้อยที่กําลังพูด
“ข้าคือบุตรแห่งความโชคร้าย แต่เจ้าต้องรู้ว่า “ตัวเจ้า” เป็นผู้สร้างความสกปรกโสมม ความโง่เขลาของเจ้านํามาซึ่งหายนะ…”
กู้จวินจําเด็กน้อยคนนี้ได้! เขาไม่มีวันลืมใบหน้าที่หล่อเหลา…พวงแก้มที่แสนน่ารักไปได้หรอก…แม้เวลาจะผันผ่านไปนานเท่าไหร่
ซึ่งเด็กชายคนนี้ ก็คือ ตัวเขาเอง!
กู้จวินคือสิ่งที่อยู่ในต้นไทร!!
ความทรงจําในวัยเด็ก…คือความทรงที่สนุกสนานและแสดงความไร้เดียงสาอันแสนสุขกลับมาอีกครั้งไม่ใช่หรือ? ความทรงจํานี้มันต้องหอมหวานและน่าคิดถึงสิ
อย่างน้อยก็ต้องมีความทรงจําในวัยเด็กที่วิ่งไปในสนามบอลแล้วโห่ร้องโดยไม่สนใจโลก
ความทรงจําที่เคยร้องไห้ในห้างสรรพสินค้าเพราะพ่อแม่ไม่ยอมซื้อของเล่นชิ้นโปรดให้
ความทรงจําที่ยามค่ำคืนจะได้ฟังนิทานก่อนนอนในขณะที่หลับอย่างอุ่นใจ
แต่ถ้าความทรงจําในวัยเด็กนํามาซึ่งความเจ็บปวด ความสยองขวัญ ความกลัวและความโกรธ บางทีมันอาจจะเป็นเรื่องดีที่เขาลืมไปและทุกอย่างถูกสะกดเอาไว้ในจิตใต้สํานึก
ในขณะนั้นเอง เมื่อกู้จวินเข้าสู่นิมิตอย่างเต็มรูปแบบ ชิ้นส่วนของความทรงจําที่แตกสลายบางส่วนก็รีบวิ่งออกมาจากมุมที่ถูกปิดผนึกเป็นเวลานาน มันเหมือนกับฝันร้ายที่กลับมารบกวนความสงบสุขของผู้กําลังนอนฝัน
เขาเห็นตัวเองตอนที่เขายังเป็นเด็ก
เด็กชายวัยเตาะแตะ…เขาน่าจะยังอยู่ในช่วงที่เขายังพยายามพูดและหัดคลาน…และในเวลานี้เขาควรจะเล่นของเล่นและแทะอะไรบางอย่างเพื่อขัดฟัน ทว่าความเป็นจริงแล้วในเวลานั้นเขากําลังได้รับการฝึกแปลก ๆ อยู่ต่างหาก!
รอบตัวเขามีเด็กอีกหลายคน พวกเขาทั้งหมดกําลังศึกษาภาพหนึ่งภาพ พอมองเสร็จจนจําได้แล้วพวกเขาก็เหวี่ยงมันทิ้งและนั่งศึกษาภาพต่อไป ภาพในมือของพวกเขาเต็มไปด้วยต้นไม้ที่มีรูปร่างแปลก ๆ เถาวัลย์ที่กระจัดกระจาย กิ่งก้านที่บิดเบี้ยวและใบไม้ที่คล้ายจะเหี่ยวเฉาไปแล้ว
ภาพเหล่านี้ได้ปลูกฝังบางสิ่งบางอย่างที่เขาเองก็ไม่รู้จักในจิตวิญญาณที่อ่อนเยาว์และว่างเปล่าของพวกเขาอย่างเชื่องช้า และเมล็ดเหล่านี้ก็จะเติบโตเป็น ผลไม้สีเข้มที่แก่จัดในท้ายที่สุดใช่หรือไม่? เมื่อพวกเขาโตขึ้นหลังจากที่พวกเขาเรียนรู้วิธีการวิ่งเดินพูดและคิด…และทุกอย่างก็จะ…
กู้จวินรู้สึกถึงความว่างเปล่ารอบตัวเขาทันที เขายังคงเป็นร่างจิตและยืนอยู่ท่ามกลางภาพต้นไม้แปลกๆและยืนนิ่งอยู่กลางดงเด็กเหล่านั้นอย่างเงียบๆ เขาลืมใบหน้าของเด็กคนอื่น ๆ ไปแล้ว ดังนั้นใบหน้าของพวกเขาจึงว่างเปล่า อีกทั้งตอนนี้เขาไม่สามารถพาตัวเองไปสู่ภาพใด ๆ ได้อีกแล้ว มันราวกับว่าพวกเขาไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กันหลังจากแยกทางกันเลย..ความทรงจําทั้งหมดราวกับถูกปิด
เขาเป็นคนพิเศษ! สายตาของผู้คนมากมายมองมาที่เขา แม้พวกเขาจะไม่ได้พูดอะไร…แต่กู้จวินก็มองออกว่าสายตาเหล่านั้นเต็มไปด้วยความคาดหวังที่มหาศาล
แต่เบื้องหลังการจ้องมองทุกครั้ง เขารู้สึกได้ถึงความคลั่งไคล้ที่แอบแฝงอยู่ มันเหมือนกับพวกเขากําลังจ้องมองสมบัติที่น่าหลงใหล.สมบัติที่หายากจนน่าประหลาดใจ
และภาพนี้มันเตือนให้เขารู้ว่าแม่ของเขามองเขาอย่างไรนั่นเอง! ผู้หญิงคนนั้นเป็นแม่ของเขาเองจริงๆหรือ? นั่นเป็นครั้งแรกที่กู้จวินสงสัยในเรื่องนี้ แต่มันก็ไม่ได้ไปไกลกว่านั้น เพราะความอ่อนโยนเมื่อเธอพาเขาเข้านอน รอยยิ้มเมื่อเธอป้อนอาหารให้เขา ความกังวลบนใบหน้าของเธอเมื่อเห็นเขาล้มลงแล้วร้องไห้… นั่นคือ เรื่องจริงทั้งหมด! อย่างน้อนเธอก็มีความรู้สึกและอารมณ์ของความเป็นแม่ เขาเชื่ออย่างนั้น! แต่ในฐานะแม่…เธอจะรู้ได้อย่างไรว่าควรปฏิบัติต่อลูกของตัวเองแบบนั้น?
และแม่ก็เป็นผู้หญิงคนเดียวกันกับคนที่ขอให้เขาติดป้ายกํากับสิ่งต่างๆบนภาพวาดเขียนด้วยตัวอักษรต่างโลกทั้งหมด นอกจากนี้ยังเป็นผู้หญิงคนนี้อีกที่วางมงกุฏที่ทําจากใบและรากของต้นไทรเอาไว้บนศีรษะของเขา “ เสี่ยวจขึ้นนั่งเฉยๆอย่าขยับ”
น้ำเสียงของเธอแฝงไปด้วยความกังวลใจและเศร้าโศก เธอลังเลหรือกําลังเศร้า? กู้จวินไม่รู้ แต่เห็นได้ชัดว่าความคลั่งไคล้และความอยากรู้อยากเห็นชนะอารมณ์แบบนั้นอย่างสิ้นเชิง! เธอมองเขาเหมือนมองการทดลองที่มหัศจรรย์และกําลังจะนํามาซึ่งผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่!
และเกี่ยวกับผลลัพธ์นี้เธอไม่มีวันยอมแพ้! การทดลองเริ่มขึ้นเมื่อแม่ของเขาตั้งครรภ์ กู้จวินรู้สึกได้ว่าเสียงกระซิบเหล่านั้นเริ่มฝังลึกลงไปในความทรงจําโดยนัยของเขาแล้ว เขาเป็นตัวทดลองของการทดลองของลัทธิชีวิตหลังความตาย! และมันได้เริ่มขึ้นมาตั้งแต่ก่อนที่เขาจะมาถึงโลกนี้และลืมตาตื่นขึ้นในฐานะมนุษย์! แต่คําถามคือเขาเป็นผลการทดลองประเภทไหน?
ภาพนิมิตเริ่มสั่นไหวราวกับมีไฟฟ้าสถิตไหลเวียนผ่านไป แต่กู้จวินยังสามารถมองเห็นภาพของนิมิตรบางส่วนได้
เสียงเย็นเยียบทําให้รู้สึกราวกับว่าท้องฟ้าที่มืดมิดกําลังจะถล่มทลาย แม้จะเป็นแบบนั้นแต่ผู้คนในชุดสีดําและชุดสีแดงก็ยังคงคุกเข่าต่อหน้าต้นไม้ พวกเขาไม่ได้เงยหน้าขึ้นแม้แต่น้อย พวกเขาไม่แม้แต่จะเหลือบมองไปที่โพรงต้นไม้ตรงหน้าพวกเขาเลย
มันราวกับว่าหากพวกเขาเผลอมองขึ้นไปจริงๆ พวกเขาจะสูญเสียความคิดและจมดิ่งสู่ภาพหลอนที่ไม่มีที่สิ้นสุดตลอดไป!
มันเป็นกับดักการล่อลวงที่อันตรายมากเช่นเดียวกับ “ออฟีอุส” ที่ไปยมโลกเพื่อช่วย “ออเรียดส” ผู้เป็นภรรยาจากมือของเจ้าแห่งนรกเฮเดส และเฮเดสได้บอกไว้อย่างจริงจังแล้วว่าอย่าหันกลับไปมองภรรยาอย่างเด็ดขาดจนกว่าจะกลับสู่โลกมนุษย์ได้ แต่เมื่อพวกเขากําลังจะข้ามประตูนรกออฟีอุสกลับไม่สามารถต้านทานแรงกระตุ้นที่จะมองไปที่ภรรยาของเขาได้ ทําให้ออเรียดิสผู้เป็นภรรยาของเขาถูกดึงกลับสู่นรกชั่วนิรันดร์
หรือเช่นเดียวกับตอนที่อับราฮัมและภรรยาของเขาหลบหนีจากเทพเจ้าแห่งการทําลายล้างเมืองโสโดม ภรรยาของอับราฮัมก็ฝืนข้อห้ามและหันกลับไปมองเมือง ทําให้เธอกลายเป็นรูปปั้นสีขาวในทันที
เมื่อพระเจ้าบอกให้คุณไม่มอง! คุณก็ไม่ควรมอง! มนุษย์ไม่ควรทดสอบกับอํานาจของพระเจ้า