ตอนที่ 126 ข้อความทั้งสาม
“ ครั้งหนึ่งเราได้มอบความเชื่อและศรัทธาให้แก่เทพเจ้าองค์หนึ่ง เราซื่อสัตย์และรับใช้ต่อเขาด้วยความภักดี แต่นับจากนี้เราจะไม่เชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์อีกต่อไปไม่ว่าจะเป็นเทพเจ้าของจริงหน้าไหนหรือว่าตัวตลกตัวใด…. และมันก็รวมถึงท่านด้วย “บุตรแห่งความโชคร้าย” ” งั้นหรือ…?? กู้จวินอ่านมันในใจซ้ำๆ และเขาก็รู้ว่าบุตรแห่งความโชคร้ายนั้นเชื่อมโยงกับเขา นั่นทําให้เขาอดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจเย็นๆเข้าปอดด้วยความหวาดกลัว
“คุณกู้…พวกเรารู้จักคุณดียิ่งกว่าคุณรู้จักพวกเราอีก” ภาพของสถานที่ที่แสนคุ้นเคยปรากฏขึ้นในจิตใจของเขาอีกครั้ง มันก็คือตรอกซอกซอยแห่งหนึ่งที่รายชื่อไร้นามของตลาดย่านมหาวิทยาลัยอีสเทิร์น ตอนนั้นเขาไปซื้อซิมโทรศัพท์แถวๆนั้น และที่นั่นเขาก็ได้พบกับชายที่มีใบหน้าผอมโกรกและอ้างตัวว่าเป็นพนักงานต้อนรับ และนั่นก็คือบทสนทนาที่พนักงานต้อนรับมอบให้แก่เขา… ไม่รู้ว่าเป็นเพราะข้อความที่ฝ่ายสืบสวนให้มาหรือเปล่า ทําให้เขาอดไม่ได้ที่จะคิดถึงคําพูดคํานี้ขึ้นมา…และมันก็บังเอิญเหลือเกิน! คําพูดนี้ตรงกับข้อความที่สองเป๊ะๆ จนทําให้กู้จวินอดไม่ได้ที่จะสะดุดลมหายใจ
“ โศกนาฏกรรมครั้งแรกจบลงแล้ว โศกนาฏกรรมครั้งที่สองกําลังจะมาถึงในไม่ช้า…” นี่คือข้อความที่สามที่ปรากฏและมันก็ทําให้กู้จวินเกิดความกลัวอย่างมาก
คําเตือนสามคําที่เขียนด้วยเลือดบนต้นไทรต่างกันสามต้นบนรูปภาพสามรูปที่พวกเขาเอามาให้…เมื่อมันอยู่ในมือกู้จวิน มันก็ไม่ต่างอะไรจากเผือกร้อนๆ เขาได้แต่จับมันไว้แบบนั้นและกษารูปแบบที่บิดเบี้ยวของต้นไม้และข้อความที่เปื้อนเลือดที่ปรากฏอยู่เป็นเวลานาน แต่ถึงจะดีความได้…แต่เขาก็ไม่อาจะเอ่ยออกมาทั้งหมด!
ข้อความทั้งสามประโยคนี้ไม่ต่างอะไจากเอาเท้ามาป้ายมูลสุนัขแล้วเอามาลูบหน้าบวกกับยัดใส่ปากของคนทั้งเฟคต้า มันเป็นยิ่งกว่าการเยาะเย้ยเหยียบย่ำ! อีกทั้งเป้าการดูถูกก็ระบุชัด…โดยพุ่งมาที่ตัวของกู้จวินเอง ในตอนแรกเขาคิดว่าผู้คนจากลัทธิชีวิตหลังความตายเป็นเพียงกลุ่มคนที่คลั่งไคล้บ้าคลั่งในศาสนาแปลกประหลาด พวกเขามักจะชอบทําพิธีกรรมบ้าๆเพื่อเรียกพลังแห่งความมืด…แต่ใครจะนึกว่ามันได้พลังจริงๆ แถมคนที่ได้รับพลังมาแล้วก็คือเขานี่แหละ เขาได้สัมผัสความจริงและได้ค้นพบเกี่ยวกับอดีตของตัวเอง
มันราวกับว่าเขาได้หลุดพ้นจากหุบเหวอันมืดมิดและกลับขึ้นมาสู่แสงสว่าง จากเหวลึกที่ไร้อากาศและเต็มไปด้วยสีดําของสิ่งสกปรก…กู้จวินปีนป่ายขึ้นมาด้วยพลังของตนเองที่ได้รับมาจากพระเจ้า เมื่อขึ้นมาถึงเขาก็ได้รับอากาศที่บริสุทธิ์ แต่ทว่าเขาก็กลับพบว่าอากาศที่บริสุทธิ์พวกนั้นกําลังจะกลายเป็นสีดําและจากนั้นรอบๆกายของเขาก็เปี่ยมไปด้วยพลังงานแห่งความมืดมิดที่กัดกินไปทั้งโลก
“ หมอกู้! คุณเข้าใจคําพวกนี้ไหม??” หวังเค่อถามด้วยความสงสัย นอกจากนี้คนกลุ่มนั้นยังเหลือบตามามองเขาด้วยความคาดหวังอย่างสูงสุด
“ ก็พออ่านออกส่วนใหญ่” มันคงจะตลกมากถ้าเขาบอกว่าอ่านไม่ออก.. และผลของการโกหกแบบไม่เนียนก็จะนํามาซึ่งความเดือดร้อนอย่างมหาศาล สถานะของเขาอาจจะเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังเท้าได้ในไม่กี่วินาที
แม้เวลาจะผ่านไปเพียงแค่ช่วงสั้นๆเพียงแค่ 1 ใน 4 ของหนึ่งลมหายใจ แต่กู้จวินก็คิดและไตร่ตรองรวมถึงคาดเดาผลลัพธ์ออกมาอย่างถี่ถ้วนแล้ว…ภายใต้ความกดดันของสายตาฝ่ายสืบสวนที่มองมาทางเขา กู้จวินทําได้เพียงแค่พูดโกหกครึ่งหนึ่งและพูดความจริงครึ่งหนึ่งเท่านั้น ในขณะที่กําลังจะพูด เขาก็วาดหวังในใจว่าทุกอย่างจะดําเนินไปได้ด้วยดี
กู้จวินตัดสินใจพูดให้ความหมายสั้น ๆ ของทั้งสามประโยค เขาละเว้นส่วนที่เกี่ยวกับ “ตัวเอง” และ “บุตรแห่งความโชคร้าย” เอาไว้ โดยอ้างว่าเขาไม่เข้าใจ
แต่ในทางกลับกัน กู้จวินเชื่อว่าคนจากแผนกวิจัยทางวิทยาศาสตร์จะจําคําว่า “คุณ” และโชคร้าย” ได้ในไม่ช้า เพราะ “คุณ” ในประโยคที่สองในประโยคที่สองส่วน “โชคร้าย” และ “โศกนาฏกรรม” เขียนในลักษณะเดียวกันเป๊ะๆเลย…แต่ถึงอย่างนั้นในภายหลังของเขาก็มีแผนสอง
เมื่อห้องได้ยินทั้งสามประโยคถูกแปลออกมาครบถ้วน ใบหน้าและการแสดงออกของพวกเขาก็เปลี่ยนไปอย่างน่าเกลียดทันที แม้แต่หวังเค่อผู้ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในการปลอมแปลงปิดบังสีหน้าและเล่นกลเม็ดทางจิตวิทยาอยู่แล้ว เขาก็พบว่ากล้ามเนื้อใบหน้าของเขากระตุกอย่างไม่อาจจะควบคุม
เขารู้! ถ้ากู้จวินไม่ได้โกหก การปฏิบัติการนี้เป็นกับดักที่วางแผนมาอย่างดีโดย บริษัทไล่เฉิง ตั้งแต่ต้นจนจบพวกเขาได้แต่เดินตามเศษขนมปังที่คนอื่นวางไว้ จากนั้นพวกเขาก็เดินไปทีละก้าวไปสู่ความตายเรื่อยๆอย่างว่าง่าย
อีกทั้งความหมายของจํานวนผู้เสียสละ 444 คน หมายเลขของจํานวนนี้มันไม่เพียงแต่เป็นการเหน็บแนมเหยียดหยามดูถูกเท่านั้น แต่มันเป็นความอัปยศอดสูที่น่าขยะแขยงที่สุดอีกด้วย
“ หรือว่าเด็กทดลองคนนั้นเป็นสายลับ?” ถังซีหยินกล่าวอย่างงุนงง และเมื่อคําพูดนี้ออกจากริมฝีปากของเธอ ผู้ตรวจสอบจากฝ่ายสืบสวนคนอื่น ๆ ก็เต็มไปด้วยความโกรธและความเสียใจ นอกจากนี้ใบหน้าของบางคนยังมีความตื่นตระหนกและความว่างเปล่าแขวนเอาไว้เพื่อปกปิดการใจสลายอีกด้วย “ มันไม่น่าแปลกใจที่ประสบความสําเร็จในตอนแรก! แต่พังยับในภายหลัง!!”
“ พวกเราต่างหากที่ทําให้พวกเขาตาย…ให้ตายเถอะ!”
เป็นเพราะข้อมูลของพวกเขาที่ทําให้ฝ่ายปฏิบัติการต้องทําภารกิจนี้ มิหนําซ้ำ การทําภารกิจของพวกเขายังจบท้ายด้วยการตายเกือบหมดหน่วย จากทั้งหมด 500 คน รอดชีวิตแค่เพียง 1 คน อีกทั้งผู้เสียชีวิตในที่เกิดเหตุยังนับได้เลขสวย! คล้ายกับว่าอีกฝ่ายเตรียมการมาเพื่อให้เสียชีวิตจํานวนเท่านี้อีกด้วย และการเสียชีวิตรวมถึงถูกเหยียบย่ำไปพร้อมกันทําให้พวกเขารู้สึกเจ็บปวดไปถึงขั้วหัวใจแม้แต่หายใจในตอนนี้พวกเขายังรู้สึกว่ามันเต็มไปด้วยความยากลําบาก
อีกทั้งการตายของพวกเขานั้นเป็นเพียงการตายแบบไม่มีประโยชน์อะไรเลย ข้อมูลสําคัญแม้เพียงเล็กน้อยพวกเขาก็หามาไม่ได้เรียกได้ว่าตายเปล่าแบบแท้จริง หากได้อะไรมาสักอย่างยังพอเรียกได้ว่าตายแบบคุ้มค่าและของที่ได้มาก็คือของขวัญจากผู้ตาย
อะไรก็ไม่น่าเจ็บใจเท่ากับข้อมูลที่พวกเขาคิดว่ามีความสําคัญ เป็นเพียงการเยาะเย้ยจากศัตรู หากเป้าหมายของบริษัทไล่เฉิง คือการทําลายสภาพจิตใจของพวกเขา นั่นก็แปลว่าพวกเขาก็ประสบความสําเร็จแล้ว! ภาพสภาพความแห้งเที่ยวจากการเสียชีวิตของเพื่อนร่วมงานที่เกิดเหตุกลายเป็นฝันร้ายครั้งใหม่ของพวกเขาไปแล้ว
“ อย่าเสียสมาธิ!” หวังเค่อสั่งเสียงดังเพื่อระงับความตื่นตระหนกของตนเองและสมาชิกในหน่วยทั้งหมด อีกทั้งเพื่อป้องกันไม่ให้ความตื่นตระหนกมันแพร่กระจาย “ตั้งสติเอาไว้”
พอได้ยินเสียงหัวหน้า สมาชิกทั้งกลุ่มก็เริ่มฝึกการหายใจและค่อยๆหายใจออกอย่างช้าๆ แบบเป็นจังหวะ
“ ผลลัพธ์นี้เป็นข้อมูลที่มีประโยชน์มาก! ขอบคุณจริงๆ” หวังเค่อกล่าวด้วยความเชื่อมั่นในตัวกู้จวิน ใคร ๆ ก็ตกใจในเรื่องนี้แต่ไม่ใช่เขาที่เป็นถึงหัวหน้า “ อย่างน้อยตอนนี้เราก็รู้ว่าบริษัทไล่เฉิงคุ้นเคยกับเฟคต้าเป็นอย่างดี เราโดนหลอกมาแล้วครั้งหนึ่ง! แต่มันจะไม่มีครั้งที่สองอีกต่อไป!” คําพูดของหวังเค่อเต็มไปด้วยความมั่นใจ น้ำเสียงของเขาปลุกความฮึกเหิมในตัวของผู้คนในที่นั่นทั้งหมด
สมาชิกฝ่ายสืบสวนที่เป็นลูกน้องก็พยักหน้าเห็นด้วย แต่คําพูดของหัวหน้ามีหลายความหมาย นั่นก็คือ…เด็กทดลองคนนั้นอาจจะเป็นสายลับหรือไม่ก็ได้ อีกทั้งจะมีจิตคิดร้ายจริงหรือเปล่าก็ไม่แน่ที่จะบอกได้ชัด
และยังมีความหมายได้อีกอย่างหนึ่งว่าหมอกู้ที่อยู่ตรงหน้าของพวกเขาอาจจะเป็นคนที่โกหกและต้องการทําร้ายพวกเขาอีก ดังนั้นพวกเขาทุกคนจึงได้แต่ต้องระวัง ตั้งสติ ในทุกๆเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและต่อจากนี้
“ โดยส่วนตัวฉันเชื่อว่าเด็กทดลอง ” กู้จวินอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เมื่อคําพูดนั้นมาถึงริมฝีปากของเขา เขาก็สูญเสียความคิดของเขาไปในทันที “ อาจเป็นสายลับหรือไม่ก็ได้…”
เรื่องนี้กู้จวินไม่ควรจะพูด ในฐานะที่ทั้งเขาและเด็กคนนั้นต่างก็เป็นเด็กทดลองด้วยกัน มันไม่เหมาะอย่างมากที่เขาจะพูดถึงเรื่องนี้ อีกอย่างหนึ่งเด็กทดลองที่ว่า นั้นหมายถึงเป็นสาวกของลัทธินี้ด้วยหรือเปล่า เรื่องนี้เขาก็ไม่รู้ เอาจริงๆ เขาไม่แม้แต่จะทราบเพศของเด็กอีกคนหนึ่งด้วย
หรือต่อให้เด็กทดลองคนนี้เป็นสาวกผู้บ้าคลั่งของลัทธิหลังความตายจริง ก็ไม่แน่ว่าจะสื่อสารกันรู้เรื่อง
และยังมีในอีกกรณีหนึ่งที่เด็กคนนั้นไม่ใช่ผู้บริสุทธิ์ที่เป็นผู้เคราะห์ร้าย…. แต่เป็นสายลับที่พร้อมที่จะเสียสละเพื่อลัทธิโดยการเข้าสู่เฟคต้า เขาลงมือบอกข้อมูลให้แก่พวกเขาจากนั้นก็นําพาพวกเขาไปสู่ความตาย.. แต่นี่ก็เป็นเรื่องที่คิดในใจได้ แต่ถ้าพูดออกไปมันก็คงจะไม่ดี ท้ายที่สุดแล้วความปลอดภัยของกู้จวินต่างหากที่สําคัญที่สุด
ทว่า! ถ้าอิงจากข้อความ…งั้นตอนนี้พวกเขาบูชาอะไร? ลัทธิชีวิตหลังความตายได้ระบุไว้อย่างชัดเจนว่าพวกเขาไม่เชื่อในพระเจ้าหรือปีศาจอีกต่อไปแล้ว พวกเขาเป็นแบบนั้นมาตลอดตั้งแต่มาถึงที่นี่หรือเพิ่งเกิดขึ้นก็ไม่อาจจะรู้ได้ และเมื่อไหร่ที่พวกเขาเชี่ยวชาญภาษาต่างโลกอีกครั้ง? นอกจากภาพบ้าๆนั่นเขาไม่รู้อย่างอื่นอีกเลย..
ท่ามกลางคําถามที่วุ่นวายนี้ กู้จวินได้ตอบคําถามอื่น ๆ จากหวังเค่อแล้ว เขาพยายามอย่างเต็มที่ที่จะตอบอย่างตรงไปตรงมา แต่ไม่อาสาให้ข้อมูลเพิ่มเติมใด ๆ ทั้งสิ้น…จริงๆก็ไม่ใช่ว่าหวงหรืออะไรหรอก แต่การพูดมากๆมันทําให้สคริปผิดเพี้ยนและคาดเดาตัวแปรต่อไปได้ยาก เขาไม่อยากจะสิ้นเปลืองความคิดไปกับการโกหกครั้งต่อไป ดังนั้นแล้วคําว่าไม่รู้น่าจะเป็นคําตอบที่ดีที่สุด
ในขณะที่บางคําถามเขาก็ไม่มีคําตอบ เช่น ข้อความครั้งที่สามที่ทําให้ฝ่ายสืบสวนทุกคนตะลึงงันเป็นเพื่อนกู้จวิน
โศกนาฏกรรมครั้งแรกคืออะไร?
มันหมายถึงโรคต้นไทรมนุษย์หรือมีผู้เสียชีวิตอย่างหนักในระหว่างการผ่าตัดนี้กันแน่?
แล้วโศกนาฏกรรมครั้งที่สองบ่งชี้ไปที่อะไร?
มันคืออะไรกันแน่???
ต้องขอบคุณฝ่ายสืบสวนของเฟคต้า ที่นี้กู้จวินก็ไม่ต้องเครียดเพียงลําพังอีกต่อไป จริงๆ คําถามนี้ ข้อความอะไรนี่เขาก็ไม่รู้เรื่องเหมือนกัน ถ้าเขารู้เพียงคนเดียวปานนี้คนที่เครียดก็คือเขาไปแล้ว และอาจจะทําให้ค่า S ของเขาร่วงลงอีก และการที่เฟคต้ารู้ก็เป็นเรื่องดี เพราะกู้จวินจะได้โยนให้พวกเขาหาคําตอบ แน่นอนว่าถ้าไม่ถึงที่สุดจริงๆ เขาจะไม่พูดอะไรทั้งสิ้น
เห็นได้ชัดว่าข้อความนี้สื่อถึงอันตรายโดยสมบูรณ์ พวกเขาย่อมต้องตามหาแน่นอน มันเป็นงานใหญ่ที่ทําให้ฝ่ายสืบสวนยุ่งไปสักพัก