ตอนที่ 134 กู้จวินคนนี้น่าสงสัย
ในเวลาเพียงชั่วครู่! ทุกคนก็รู้สึกคล้ายกับว่าเวลากําลังหยุดนิ่งทั่วบริเวณเต็มไปด้วยความเงียบที่กดดันและเสียงหนอนยักษ์ที่น่าสะพรึงกลัว
และที่น่ากลัวไปกว่านั้นก็คือ กรามของมันขบอยู่เหนือร่างกายส่วนล่างของหลินม่อแล้ว และมีกลุ่มหนอนตัวเล็ก ๆ เลื้อยอยู่ในน้ำลายของมัน ดูก็รู้ว่าพวกมันยังอายุน้อยจนมีขนาดเท่ากับปรสิต หนอนยักษ์ใต้ดินตัวนี้ดูเหมือนกับที่เขาเคยเห็นในเอกสารที่อาคารผ่าตัด ผิวหนังของมันมีสีแดงเข้มและถูกปกคลุมไปด้วยผิวหนังที่เที่ยวย่น และคราวนี้มันได้ปรากฏตัวต่อหน้ากู้จวินอย่างโอ่อ่าน่ากลัว
“ แม่งเอ๊ยยยย!” ลู่เสี่ยวหนิงคํารามดังลั่น ความโกรธทําให้ใบหน้าสวยๆ ของเธอเปลี่ยนไป เธอเป็นคนแรกที่หลุดออกจากภวังค์ เธอวิ่งไปใกล้หลินมอและยกปืนขึ้นเล็งไปที่ตัวหนอนยักษ์ที่ยื่นออกมาจากพื้นดิน จากนั้นรอบๆ อุโมงค์แห่งนี้ก็เต็มไปด้วยเสียงสะท้อนของปืนกล
ในพริบตาส่วนของหัวของหนอนยักษ์ที่เธอยิ่งเข้าไปก็เต็มไปด้วยรอยย่นของกระสุน มันจําต้องปล่อยเหยื่อเพราะความเจ็บปวดและคลานกลับไปใต้ดินอย่างรวดเร็ว
โจวอี้ ลุงต้านและคนอื่น ๆ รีบดึงหลินม่อที่กําลังกรีดร้องออกมาทันที อุปกรณ์ป้องกันรอบเท้าของเขาได้รับความเสียหายเผยให้เห็นบาดแผลที่ยุ่งเหยิงไปด้วยเลือด เนื้อและหนอนจํานวนมากที่อยู่ข้างใต้ ทั้งหมดเป็นรอยกัดจากหนอนยักษ์ไม่มีบาดแผลจากกระสุนปืน และมันก็เป็นไปตามที่พวกเขาคาดไว้! กระสุนไม่สามารถเจาะเข้าเนื้อหนอนยักษ์ได้
“ถอย!” เสี่ยป้าออกคําสั่งแม้สถานการณ์ที่ร้ายแรงจะอยู่ตรงหน้า แต่ความสงบก็ยังคงอยู่บนใบหน้าของเขา “ ถอยเข้าไปในอุโมงค์ใต้ดิน! เราจะตั้งหลักกันอยู่ตรงทางเข้า!”
ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากพวกเขาต้องถอยเข้าไปในอุโมงค์ หากพวกเขาอยู่ข้างนอกอีกพวกเขาจะถูกหนอนยักษ์ไล่ฆ่าที่ละคนก็เท่านั้นเอง และพวกเขาไม่รู้ว่ามีหนอนอยู่ที่ตัวด้วย
“ อาจวิ้นมานี่ มาช่วยฉันเร็ว!” ลุงต้านร้องลั่นด้วยความตื่นตระหนก และกู้จวินก็เห็นเขา กําลังลากหลินม่อเข้าไปในอุโมงค์โดยช่วยกันลากสองคนกับบุรุษพยาบาลที่ชื่อจางฮ่าวฮาว และตอนนี้เป็นเวลาที่แพทย์จะต้องทํางานแล้ว สมาชิกคนอื่นๆ ที่ไม่ใช่แพทย์ต่างก็ถอยออกไปตามลําดับ
กู้จวินวิ่งไปข้างหน้าแล้วตะโกนตอบรับ “ ผมมาช่วยแล้ว!” ในขณะที่ในความคิดพูดอีกอย่าง… ผมมาแย่งผลงานแล้ว หยุด! อย่าลงมีดจนกว่าผมจะมา ไม่งั้นภารกิจของผมจะพังพินาศ!?
อย่างแรกพวกเขาจําเป็นต้องห้ามเลือด ฉีดยาชา จากนั้นก็ต้องทําการผ่าตัดทันที นั่นคือขั้นตอนแบบคร่าวๆ
พวกเขาต้องดึงหนอนออกก่อนที่มันจะมีโอกาสขุดลงไปในเนื้อเยื่อที่ลึกกว่านี้ ในขณะที่กู้จวินวิ่งไปทางหลินม่อ เขาก็นึกย้อนไปถึงภาพต่างๆจากการปฏิบัติงานในวันผ่าตัดก่อนหน้า และความรู้ต่างๆ ของเขาก็ถูกรวบรวมเอาไว้ครบถ้วนในสมองอย่างน่าประหลาดใจ
ณ หมู่บ้านกู่หรงที่เต็มไปด้วยความมืดมิดคล้ายดินแดนแห่งความตายด้านบนของหมู่บ้านเต็มไปด้วยหมู่เมฆสีดําขลับจนแทบจะขึ้นเงาซึ่งเป็นสัญญาณว่าพายุหนักที่โหดร้ายกําลังจะมาเยือน..แต่มันช้าไปแล้ว!
เพราะพายุอีกลูกหนึ่งได้ทําลายศูนย์บัญชาการของหน่วยฉุกเฉินไปแล้วเรียบร้อยราบคาบ ทว่า! เท่านั้นยังไม่พอ…มันได้แพร่กระจายไปยังสาขาของเฟคต้าในภาคตะวันออกและสํานักงานใหญ่ทําให้พื้นที่แถวนั้นได้รับความเสียหายเป็นส่วนใหญ่! ในขณะที่อาคารสาขาแค่เสียหาย แต่อุโมงค์ต้นไม้ที่เชื่อมหมู่บ้านคู่หรงและพื้นที่ผิดปกติได้พังทลายลงจนหมดเกลี้ยง!
และไม่รู้ว่าเป็นเรื่องบังเอิญหรือเปล่าเพราะทุกคําพูดที่หน่วยนักล่าอสูรพูดมักจะถูกขัดขวางจนแทบจะฟังไม่รู้เรื่อง ทําให้ศูนย์บัญชาการฟังอะไรไม่ค่อยจะได้ยิน ตั้งแต่เนื้อหาการสํารวจรวมไปถึงเรื่องตลกที่ลุงต้านเล่าด้วย แม้ว่าเสียงที่ส่งมาจะได้รับการปรับปรุงอย่างไรก็จะฟังดูแปลก ๆ ราวกับว่ามันไม่ได้เป็นเสียงของมนุษย์อยู่ดี แต่ผู้คนในศูนย์บัญชาการก็พยายามอย่างเต็มที่ที่จะปรับปรุงเสียงและฟังให้รู้เรื่องมากที่สุด
[“ อาจวิ้นคุณเข้าใจเรื่องนี้ไหม” เสวี่ยป้ากล่าวถามถึงเรื่องการอ่านประโยคภาษาแปลกประหลาด
“ เข้าใจครับ” กู้จวินตอบเบาๆ ]
ทันใดนั้นเสียงที่พูดออกมาก็บิดเบี้ยวและแตกกระจายกันอย่างที่ไม่น่าจะเชื่อ และทันใดนั้นด้านนอกค่ายทหารที่กําลังเงียบสงบ จู่ๆ ต้นไทรที่เที่ยวเฉาก็หักและล้มลงอย่างรุนแรง
หลังจากเกิดความตื่นตระหนกครั้งแรก หน่วยฉุกเฉินได้เข้าควบคุมสถานการณ์อย่างรวดเร็วและหาแนวทางแก้ไขอย่างเร่งด่วน
ทหารฝ่ายปฏิบัติการกลุ่มหนึ่งได้เดินทางไปตรวจสอบต้นไทรแล้วและสมาชิกจากทีมวิจัย สมาชิกด้านการสื่อสารก็พยายามกันอย่างเต็มที่ แม้สัญญาณจะไม่ได้หายไปอย่างสมบูรณ์ แต่มันอ่อนลงอย่างไม่น่าเชื่อทําให้ยากต่อการกู้คืน
ขณะนี้ในห้องประชุมของผู้บัญชาการ.มีผู้บัญชาการหลักของหน่วยฉุกเฉินนั่งอยู่คนหนึ่ง เขานั่งอยู่เก้าอี้หลักตัวแรก เขาเป็นสมาชิกที่สํานักงานใหญ่ส่งมา โดยเขามีชื่อว่า “เหยาซีเหนียน” เขาอายุหกสิบกว่าปีและมีผมสีขาวเต็มศีรษะ เขาพบพลังงานผิดปกติครั้งแรกเมื่อหลายสิบปีก่อนจึงนับว่ามีประสบการณ์โชกโชนอยู่บ้าง
ที่ข้างๆ เขายังมีรองผู้บัญชาการอีกหกคนในหน่วย บางคนมาจากสํานักงานใหญ่ในขณะที่คนอื่น ๆ มาจากสาขาตะวันออก ในหมู่พวกเขาตอนนี้มีหัวหน้าฝ่ายสืบสวน “เพิ่งเหอ” หัวหน้าฝ่ายวิจัยทางวิทยาศาสตร์ “ตงเหวินรุ่ย” และรองหัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการ “กัวต้าจุน” และคนสุดท้ายมีอํานาจมากกว่ารองหัวหน้าคนอื่นๆ เล็กน้อย
และในขณะนี้เหล่าผู้บัญชาการก็กําลังนั่งคุยกัน โดยปล่อยให้เหล่าลูกน้องนั่งซ่อมเสียงซ่อมวีดีโออยู่อีกห้องหนึ่ง ส่วนเหยาซีเหนียนและเหล่ารองผู้บัญชาการพวกเขากําลังนั่งคุยกันอยู่ โดยคุยถึงเรื่องการสืบสวนล่าสุด
“ กู้จวินคนนี้น่าสงสัยมาก” หัวหน้าเพิ่งพูดเสียงเข้ม แม้ว่าฝ่ายตรวจสอบจะบอกว่ากู้จวินคนนี้เป็นคนดีและอยู่ฝ่ายเดียวกัน แต่เมื่อมีข้อมูลมากขึ้นและสิ่งต่าง ๆ กลับแย่ลงแบบนี้การดํารงอยู่ของกู้จวินก็มีความเสี่ยงมากขึ้นไปอีก!
“ ในตอนนี้เราไม่สามารถขจัดความเป็นไปได้ใด ๆ ออกไปได้ แต่เราต้องไม่มองข้ามสิ่งน่าสงสัยใดที่นําไปสู่ข้อสรุปใด ๆ ด้วยเช่นกัน” เหยาซีเหนียนได้พิจารณาเรื่องนั้นและเคยอ่านเอกสารของกู้จวินมาก่อนแล้ว บริษัทไล่เฉิงกล่าวว่าพวกเขารู้จักกู้จวินดีกว่าที่เขารู้จักตัวเอง นั่นทําให้เหยาซีเหนียนได้รู้จักกู้จวินในอีกด้านหนึ่ง
แม้ว่าเด็กชายคนนี้จะซ่อนความลับต่างๆจากพวกเขาอย่างชัดเจน แต่นั่นก็เป็นเพราะความซับซ้อนของภูมิหลังของเขาต่างหาก ทําให้เขาไม่ไว้ใจใคร และนั่นเป็นเหตุผลที่พวกเขาไม่ควรสรุปเรื่องนี้อย่างรวดเร็ว
“ จากข้อมูลที่เรามีตอนนี้กู้จวินอยู่ข้างของพวกเรา และพวกเราต้องไม่ทําผิดต่อเขาโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลานี้ มันทําให้ขวัญกําลังใจของเขาและทีมของเขาแย่ลงอย่างมากและงานของพวกเราก็อาจจะถึงขั้นจบลง”
เมื่อได้ยินสิ่งที่ผู้บัญชาการเหยาพูด เหล่าคนที่เหลือก็พยักหน้า มันเป็นเรื่องไม่ฉลาดที่จะพูดคุยเรื่องต่างๆ เช่น ความภักดีของกู้จวิน
โดยเฉพาะในยามนี้เมื่อพวกเขาไม่มีหลักฐานพิสูจน์อะไรสักอย่าง ดังนั้นพวกเขาจึงได้แต่คิดวิธีแก้ปัญหาฉุกเฉินใหม่ ๆ
หลังจากผ่านไปพักหนึ่งเหล่าลูกน้องก็กลับมาพร้อมกับรายงานล่าสุด ต้นไทรใหญ่ที่โค่นถูกปรับปรุงและดูแลอย่างดีโดยฝ่ายปฏิบัติการ ในขณะที่พลังงานที่ผิดปกติในโพรงต้นไม้ได้สลายไปแล้ว แต่ความผิดปกติรอบ ๆ บริเวณนั้นยังคงมีอยู่ในระหว่างนั้นพวกเขาก็กู้คืนการสื่อสารได้เพียงแต่ทุกอย่างเป็นแค่การกู้คืนเบื้องต้น แต่อย่างน้อยตอนนี้พวกเขาก็สามารถทําอะไรบางอย่าง
เหยาซีเหนียนและรองผู้บัญชาการรู้เข้ามาพอกู้กลับมาได้แล้ว พวกเขาก็รีบกลับไปที่ศูนย์บัญชาการใกล้ๆ เพื่อฟังทันที
นั่นเลยทําให้ค่ายทหารขนาดใหญ่โดยเฉพาะแถวฐานบัญชาการเริ่มแออัด ด้านหนึ่งเต็มไปด้วยอุปกรณ์ขนาดใหญ่ เช่น ตัวรับสัญญาณไร้สาย จอภาพขนาดใหญ่โตอีกหลายจอ และกล่องควบคุมอีกหลายๆอัน โดยกล่องควบคุมจะแสดงให้เห็นสัญญาณวิดีโอที่พร่ามัวและความยาวคลื่นของคลื่นเสียงต่างๆ อย่างชัดเจน ถัดจากนั้นก็มีคอมพิวเตอร์ตั้งอยู่ในห้องเพื่อระบุระดับเสียงของลําโพงที่แตกต่างกัน
และทันทีเมื่อพวกเขาเดินเข้าไปในค่ายทหารก็มีเสียงแปลก ๆ ดังขึ้นเป็นระยะๆ นอกเหนือจากเสียงเหล่านั้นสถานที่นี้ก็นับว่าเงียบดี พวกเขาเห็นคนงานกลุ่มหนึ่งกําลังนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์เป็นแถวๆ พวกเขาเงยหน้ากางหูขึ้นเพื่อฟังเสียงจากคอมพิวเตอร์ ทุกคนต่างพยายามอย่างเต็มที่ในการถอดรหัสข้อความ
“ นั่นยังไม่ตาย….คําโกหกชั่วนิรันดร์…ยุคแปลก ๆ ..ความตาย อาจตาย…” เสียงโหยหวนนั้นดังมาจากคอมพิวเตอร์เป็นครั้งคราว แต่ในบางครั้งเสียงที่ออกมาก็เหมือนเสียงคํารามโทนต่ำมันช่างฟังดูเหมือนเสียงกระซิบของผีร้ายที่มาจากส่วนลึกของปา สิ่งนี้แตกต่างจากเสียงของสมาชิกทั้งสิบหกคนในทีมอย่างมาก และข้อมูลก็มีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องเป็นไปไม่ได้ที่จะบอกว่าใครเป็นคนพูดและเนื้อหาส่วนใหญ่จะต้องถูกเติมเต็มผ่านบริบท แต่ทันทีที่เหยาซีเหนียนได้ยินคําเหล่านี้ คิ้วสีเทาของเขาก็โค้งขึ้นทันที
“ เป็นกลอนที่เขียนโดยชายอาหรับผู้บ้าคลั่ง!”
ทําไมกลอนบทนี้จึงปรากฏขึ้นในขณะนี้? ผู้บัญชาการเหยาเต็มไปด้วยความงุนงงจนพูดไม่ออก จากนั้นเสียงแปลก ๆ ก็เริ่มดังขึ้นอีกครั้ง
“ นี่คือ เสวี่ย…อับดุล อัล เมืองนิรนามไร้ชื่อ…อุโมงค์ใต้ดิน…”
เกี่ยวกับเรื่องของชายอาหรับผู้บ้าคลั่ง เหยาซีเหนียนนั้นมีตําแหน่งสูงดังนั้นข้อมูลที่เขาเข้าถึงได้จึงมีค่อนข้างเยอะ แต่!! เหยาซีเหนียนก็ไม่รู้เรื่องนี้มากนักเพราะพวกเขาไม่ได้สนใจชายอาหรับผู้บ้าคลั่งที่ไม่มีข้อมูลเกี่ยวข้องกับประเทศนี้มากมายอยู่แล้ว แต่เพราะชายอาหรับผู้บ้าคลั่งคนนี้เป็นสัญลักษณ์ของความโชคร้าย! เขาจึงเคยอ่านผ่านๆตามาบ้าง และเรื่องราวที่เขาจําได้ก็คือ เหตุการณ์ที่แปลกประหลาด มันถูกกล่าวว่าแปลกประหลาดอย่างยิ่ง และมันเกิดขึ้นเพราะคู่รักของชายอาหรับผู้บ้าคลั่ง
“ พื้นที่ผิดปกติในกําแพงสูงอาจเป็นเมืองไร้นามหรือเปล่าครับ??” ผู้นําเพิ่งพึมพําด้วยความสับสน จากความรู้ของพวกเขา เมืองนิรนามไร้ชื่อเป็นเพียงตํานานภาษาอาหรับซึ่งเป็นตํานานที่ขัดแย้งระหว่างจินตนาการและความจริงในเวลานั้น
แต่ถ้าเป็นเมืองไร้นามจริง..สถานที่แห่งนี้ควรจะเป็นซากปรักหักพังถูกไหม? และถ้าเป็นไปได้ก็ควรจะมีปราสาทที่ยิ่งใหญ่มากมาย ไม่ก็มีสิ่งของหรูหราแต่หมู่บ้านคู่หรงแห่งนี้ เมืองในกําแพงสูงแห่งนี้ไม่มีสิ่งที่ว่าเลยแม้แต่นิดเดียว