ห้องปฏิบัติการกายวิภาคศาสตร์เต็มไปด้วยเเสงสว่างเจิดจ้า เเสงของไฟนีออนนั้นส่องสว่างจนดูเหมือนกับทั่วทั้งห้องนั้นเต็มไปด้วยความกว้างขวาง
ด้านในห้องปฏิบัติการกายวิภาคศาสตร์ถูกเเบ่งออกเป็นสามแถวด้วยจำนวนโต๊ะชำแหละแช่เย็นเเบบควบคุมอุณหภูมิได้หกตัว มีวงจรสำหรับปรับอุณหภูมติดตั้งไว้ถูกตรงกลาง โดยโต๊ะทั้งหมดทำจากสแตนเลสเกรดพรีเมี่ยม เพดานเหนือโต๊ะผ่าแต่ละตัวมีโคมไฟไร้เงาและกล้องสำหรับอัดวีโอการผ่าเเต่ละครั้ง ที่ผนังด้านหลังของห้องปฏิบัติการแขวนป้ายที่มีพื้นหลังสีน้ำเงินด้านในมีข้อความที่ถูกเขียนด้วยตัวอักษรที่ทรงพลังว่า
[ความกล้าหาญที่เหนือกว่าความกล้าหาญก็คือ ความเคารพรักในผู้วายชนม์อย่างไร้เงื่อนไข ]
โต๊ะชำเเหละที่อยู่ในห้องปฏิบัติการ เเน่นอนว่ามันคือโต๊ะที่มีไว้สำหรับผ่าศพ เเละในขณะนี้หนึ่งในโต๊ะชำเเหละทั้งหมด มีศพวางไว้อยู่ เเละศีรษะของศพนั้นถูกปกคลุมด้วยผ้าเปียกที่แช่ฟอร์มาลีนกันเน่า
สภาพศพยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์ ยกเว้นเพียงเเค่แขนท่อนบนด้านซ้ายเท่านั้นที่ผิดรูปเเบบและบิดเบี้ยวจนน่าสะพรึง
ศาสตราจารย์กู้พานักศึกษาทั้งหกคนไปที่ข้างโต๊ะชำเเหละและทำพิธีไว้อาลัยให้กับศพด้วยความ ‘เคารพรัก’ ดั่งคำที่เขียนเอาไว้ด้านหลังป้ายที่เเขวนบนผนังห้อง
ทุกคนสวมเสื้อกาน์วสีขาว ใส่หน้ากากและถุงมือรัดกุม
ก่อนหน้านี้ทั้งสี่คนขนศพมาโดยใช้รถเข็น จากนั้นก็นำศพไปวางไว้บนโต๊ะชำแหละ
ซูไห่ได้รายงานสถานการณ์ผิดปกติในห้องเก็บศพให้ศาสตราจารย์กู้ได้รับรู้ ศาสตราจารย์กู้ที่ได้ฟังก็ขมวดคิ้วและไม่เข้าใจว่าสถานการณ์เเปลกๆที่ว่ามันคืออะไร…..
แต่สิ่งที่ทำให้เขาสับสนยิ่งกว่านั้นก็คือแขนท่อนบนด้านซ้ายของร่างกายศพมันผิดเพี้ยนเเบบเเปลกๆต่างหาก….เขาไม่เคยพบอะไรเเบบนี้มาก่อน
นี่เป็นความผิดเพี้ยนทางพันธุกรรมที่ไม่เคยปรากฎในประวัติศาสตร์มาก่อน เเม้เเต่เขาก็ดูมันไม่ออกเช่นกัน เเละเขาก็ไม่สามารถระบุได้ว่านี่เป็นความผิดปกติชนิดไหน!
หลังจากช่วงเวลาแห่งความเงียบได้ผ่านพ้นไป ศาสตราจารย์กู้ก็ทำสีหน้าเคร่งขรึมออกมา และพูดกับนักศึกษาหัวกะทิอย่างจริงจัง
“ ต่อให้ฉันไม่พูดอะไร เเต่เด็กอย่างพวกเธอน่าจะรู้เรื่องนี้ดีอยู่แล้ว จำเอาไว้! การแข่งขันในครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ฉันหวังว่าพวกเธอจะสามารถฝึกฝนให้ดีด้วยความตั้งใจเเละพัฒนาฝีมือของตนเอง อย่าปล่อยให้การเสียสละของผู้ตายลงเอยด้วยความว่างเปล่า! จงฝึกให้หนักเเล้วพัฒนาตนเองซะ!”
ทุกคนพยักหน้าหนักเเน่น พวกเขาทุกคนมีสีหน้าเคร่งขรึมเหมือนกันกันบนใบหน้า กู้จวินเองก็เหมือนกัน เขาไม่เคยแสดงท่าทีล้อเล่นหรือไม่ตั้งใจในขณะที่อยู่ในห้องกายวิภาคของมนุษย์อันเป็นสถานที่ผ่าศพเเห่งนี้เลยเเม้เเต่ครั้งดียว
“ ฉันขอพูดตรงไปตรงมา….” ศาสตราจารย์กู้มองศพมนุษย์ที่น่าสงสารบนโต๊ะชำแหละ เเล้วกล่าวกับนึกศึกษาเบื้องหน้าตามความจริงที่ได้รับรู้
“ ฉันเองก็ไม่รู้ว่าแขนข้างซ้ายด้านบนของศพนี้ผิดปกติเเบบไหน นี่เป็นความพิการแต่กำเนิดหรือความผิดปกติที่ได้รับมาในภายหลังก็ไม่อาจจะทราบได้…ดังนั้นหน้าที่นี้เป็นของพวกเธอเด็กรุ่นใหม่เเล้ว ทุกคนน่าจะมีความรู้ทางด้านชันสูตรกันอยู่บ้าง ลองเชื่อมโยงจากนั้นถ้ารู้สึกถึงอะไรเเปลกๆหรือพอรู้อะไรเกี่ยวกับศพนี้ก็พูดขึ้นมาได้…คำตอบไม่มีถูกผิด เว้นเเต่เมื่อพิสูจน์ได้ด้วยวิธีทางวิทยาศาสตร์! ดังนั้นไม่ต้องอาย”
แม้แต่ศาสตราจารย์กู้ก็ไม่รู้เหรอเนี่ย? ซูไห่หันไปมองจางห้าวหลันด้วยสายตางงงวย จางห้าวหลันเองก็ยักไหล่ไม่ทราบเเละหันไปมองเฮ่ออี้หานเป็นทอดๆ ทุกคนมองกันไปมองกันมา บรรยากาศในห้องปฏิบัติการเริ่มผิดปกติมากขึ้นเรื่อย ๆ
เเน่นอนว่า ‘ทาส’ทางการแพทย์เหล่านี้ได้รับการฝึกฝนอย่างหนักจนเปี่ยมไปด้วยคุณสมบัติของหมอมืออาชีพ และภาพของเนื้อเน่าเปื่อยมันเป็นอะไรที่คุ้นเคยสำหรับพวกเขา
เมื่อพวกเขาเริ่มลงชำแหละร่างกายมนุษย์ ปกติเเล้วพวกเขาจะไม่รู้สึกหวาดกลัวร่างกายที่ไร้ชีวิตของมนุษย์…เพราะมันถูกปกคลุมไปด้วยผ้าสีเขียวจนรอบ ทว่ามันกับเป็นคนละเรื่องทันทีเมื่อพวกเขาจะต้องผ่าใบหน้าของศพ…นักศึกษาส่วนใหญ่เเทบทั้งหมดจะเกิดอาการเครียดจนถึงกับหยิบมีดไม่ขึ้นเเละลงมือผ่าเพื่อฝึกฝนไม่ได้
นี่คือกลไกความกลัวของมนุษย์!! สำหรับมนุษย์ส่วนใหญ่ พวกเขามองว่ามือหรือลำไส้ใหญ่เป็นเพียงสิ่งที่ตายแล้วมันไร้ซึ่งชีวิตอย่างสิ้นเชิง พวกเขาสามารถลงมือทำอะไรก็ได้เเบบไม่ขัดเขิน แต่สำหรับใบหน้าของคนนั้นคือที่สิงสถิตของวิญญาณ…พวกเขาทำใจลงมีดไม่ได้อย่างเด็ดขาด
แต่ตอนนี้มือซ้ายของศพที่ผิดปกติ ทำให้พวกเขามีแรงกดดันที่มองไม่เห็นมากกว่าเเรงกดดันใดๆที่เคยประสบมาทั้งหมด!
เฮ่ออี้หานอดไม่ได้ที่จะหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อดึงความกล้าให้ตัวเอง เเต่ทันทีที่เธอสูดอากาศเข้าไปนั้น กลิ่นเหม็นเน่าเเละกลิ่นฟอร์มาลินฉุนกึกได้ถูกสูดเข้าไปเเทนอากาศบริสุทธิ์จนเธอสำลักเเละจะขาดใจตายเพราะความเหม็นซะเอง
ศาสตราจารย์กู้มองไปรอบ ๆ เมื่อเห็นนักศึกษาหัวทะที่เป็นลูกศิษย์เอกของเขามีลักษณะเช่นนี้ หัวใจของเขาก็จมลงสู่ความสิ้นหวัง บางทีเขาคงหวังมากเกินไป
เมื่อคิดดูแล้วเขาก็นึกได้ว่าศพเหล่านี้คือทรัพยากรเพื่อการฝึกฝนสำหรับการแข่งขันที่มาจากรัฐบาล
ดูสิ! ขนาดเเค่ศพสำหรับฝึกฝนยังยากขนาดนี้
ถ้าไปถึงการแข่งขันจริง ใครจะรู้ว่าต้องผ่าวัตถุอะไรที่แย่กว่าศพพวกนี้อีก?
อาจารย์อย่างเขารู้สึกเครียดเเทนเด็กๆจริงๆ ยิ่งมองเห็นเด็กที่ทำหน้าทำตาเหมือนไม่รู้เรื่อง เขาก็ยิ่งผิดหวัง
ศาสตราจารย์กู้หันไปดูหวังรั่วเซียงเเละไช่ฉีซวน เขาเห็นเด็กสองคนนั้นกำลังอยู่ในอาการสงบ พวกเขาครุ่นคิดอย่างไม่ตื่นตระหนกเเละดูีเเบบเเผน…ส่วนกู้จวิน?
ในเวลานี้ศาสตราจารย์กู้เลิกมองเด็กคนอื่นเเล้วหันมามองกู้จวิน เเละกู้จวินที่ว่าก็ยืนนิ่งด้วยความสงบ เเต่เขาไม่รู้จริงๆว่ากู้จวินสงบลงเพราะใจเย็นหรือหวาดกลัวศพจนพูดอะไรไม่ออกกันเเน่!
“เอาล่ะ! เรามาผ่าบริเวณหลังมือของแขนท่อนบนด้านซ้ายกันก่อน…” ศาสตราจารย์กู้จงใจต้องการทำให้พวกเขาตื่นตัวเเละเลือกสิ่งที่พวกเขากลัวที่สุดให้ลงมือผ่าดูก่อน….
ในฐานะแพทย์ คุณจะต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดมากมาย เเละคุณไม่สามารถเตรียมตัวก่อนเข้าสู่สนามรบได้ทุกครั้ง!!
เช่นครั้งนี้!
“หา!” ซูไห่เเละเฮ่ออี้หานก็อุทานขึ้นมาพร้อมกัน แม้แต่หวังรั่วเซียงที่กำลังทำหน้านิ่งก็ยังอดตกตะลึงไม่ได้
ในที่สุดไช่ฉีซวนก็แสดงสีหน้าประหม่าเเล้วเอ่ยถามด้วยความกังวล “ ศาสตราจารย์ครับ พวกเราไม่จำเป็นต้องอุ่นเครื่องก่อนหรือครับ!?”
ในชั้นเรียนกายวิภาคศาสตร์ตามปกติจะมีการทบทวนก่อนการลงมือปฏิบัติจริง ผู้ที่เป็นอาจารย์จะพูดคุยเกี่ยวกับความรู้กายวิภาคศาสตร์ที่เกี่ยวข้องและใช้หน้าจอทีวีในการสอนนักศึกษาให้เข้าใจมากขึ้น รวมถึงการเปิดวีดีโอพร้อมกับการผ่าเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพการเรียนมากขึ้น เเละนักศึกษาก็จะเข้าใจในเนื้อหาและจัดลำดับของเนื้อหากายวิภาคศาสตร์ได้มากขึ้น รวมถึงเตรียมจิตใจให้พร้อมที่สุดสำหรับการผ่าศพ
ในกรณีแม้ว่าจะไม่มีวีดีโอสอนการผ่ามือซ้ายที่มีรูปร่างผิดปกติให้พวกเขาเห็น แต่ก็ควรจะมีวีดีโอการผ่าส่วนอื่น ๆ ให้พวกเขาดูก่อนและต้องดูมันเพื่ออุ่นเครื่อง
“อ้อ! จะออกกำลังกายก่อนผ่างั้นเหรอ? งั้นเปิดเพลงเต้นก่อนดีไหม? จากนั้นก็อัดคลิปไปด้วย…” ศาสตราจารย์กู้ตอบอย่างเย็นชา เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่มีทางได้อุ่นเครื่องจริงๆ
นี่คือเรื่องตลกที่เย็นชา…มุกตลกที่ยิ้มไม่ออก แต่ทุกคนก็ไม่กล้าพูดอะไรมากอีกต่อไป พวกเขากลัวว่าพวกเขาจะได้ออกกำลังกาย เต้นอารบิกในห้องผ่าศพกันจริงๆ
อย่างไรก็ตามเรื่องตลกเเป้กๆ ของศาสตราจารย์กู้ก็ช่วยลดความกดดันลงได้อย่างมาก
พวกเขาก็ยืดเอวเล็กน้อย บิดคอและคลายกล้ามเนื้อ…นั่นเป็นเพราะความยาวเฉลี่ยของชั้นเรียนกายวิภาคศาสตร์คือประมาณสามชั่วโมงเป็นอย่างน้อยและพวกเขาจะต้องยืนอยู่ข้างโต๊ะผ่าศพอยู่ตลอด เพราะพวกเขาต้องผ่าศพและสังเกตคนอื่น ๆ ผ่าเช่นกัน บางครั้งก็มีความจำเป็นที่พวกเขาจะต้องออกกำลังกายก่อนเริ่มผ่าด้วย เเต่ส่วนใหญ่ถ้าไม่นานอะไรนัก พวกเขาก็ไม่ทำ!
“บริเวณหลังข้อมือและหลังเนื้อมือมีไม่มาก ให้คนเเค่หนึ่งหรือสองคนก็พอ เเล้วใครจะไปก่อน?”
ศาสตราจารย์กู้และคนอื่น ๆ ในห้องปฏิบัติการรู้ดีว่าทักษะในการผ่ากายวิภาคของพวกเขาอยู่ในอันดับใด…เเละเก่งเเบบไหนกันบ้าง
หวังรั่วเซียงมีความละเอียดอ่อนและมีเทคนิคที่ยอดเยี่ยม แต่จุดอ่อนของเธออยู่ที่ข้อเสียทั่วๆไปนั่นคือจุดอ่อนโดยธรรมชาติของผู้หญิง
การเรียนกายวิภาคสำหรับการปฏิบัติบางอย่างต้องใช้พลังงานอย่างมากเพื่อให้เสร็จสมบูรณ์ มันต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงในการทำและสิ้นเปลืองพลังงานมาก เเละนี่ก็คือข้อจำกัดของการพัฒนาของนักศึกษาแพทย์หญิงในด้านศัลยกรรม…พูดง่ายๆก็คือ ผอม บาง ไร้เรียวเเรง ยืนนานๆ ผ่าตัดนานๆไม่ไหวนั่นเอง….