ในสามชั่วโมงแรกอันยาวนานของการผ่าศพ กู้จวินหรือเสี่ยกู้ ได้เเสดงให้ทุกคนเห็นชั้นเชิงอันสุดยอดของเขาที่มีฝีมือการผ่าระดับปรมาจารย์ เเม้เเต่เด็กหนุ่มสาวที่หัวเเข็งทั้งหลายยังให้การยอมรับ
ศาสตราจารย์กู้ที่เคยลังเลในตัวของกู้จวิน หลังจากที่เห็นฝีมือการผ่าระดับปรมาจารย์ของเขาเเล้ว ศาสตราจารย์กู้ก็ประกาศความตั้งใจของเขาทันที เขาจะต้องพากู้จวินเข้าร่วมการแข่งขันให้ได้ เเละทุกคนในที่นี้ก็ไม่มีใครคัดค้าน เเน่นอนว่าทักษะของกู้จวินในด้านการแพทย์อื่น ๆ ถึงพวกเขาจะไม่รู้เเละไม่มีใครเคยเห็น…เเต่สำหรับตอนนี้กู้จวินไม่ต่างอะไรกับเครื่องจักรที่เกิดมาเพื่อชำเเหละมนุษย์….ไม่มีใครตามเขาทันได้เลย
“ เด็กน้อย! จงพยายามต่อไป อย่าทำตัวเหลวไหลให้เสียดายพรสวรรค์อีก”
ศาสตราจารย์กู้เปลี่ยนทัศนคติของเขาที่มีต่อกู้จวิน..ลูกศิษย์ที่เคยหลงผิดจนเเทบกลับตัวไม่ได้อีกครั้ง และคราวนี้ลูกศิษย์ที่ไม่เอาไหนคนนี้ได้รับความประทับใจกับความเชื่อใจจากเขาอีกครั้ง
นั่นเป็นเพราะมันเป็นไปไม่ได้ที่จะบรรลุทักษะระดับนี้หากไม่มีการฝึกฝนนับไม่ถ้วน เห็นได้ชัดว่ากู้จวินต้องทุ่มเทความพยายามอย่างมากในเรื่องนี้…เเล้วอาจารย์เช่นเขาจะดูมันไม่ออกได้อย่างไร
“ครับ! ศาสตราจารย์ ต่อไปผมจะ…..” กู้จวินพยักหน้าพลางนึกย้อนไปว่าเขาต้องใช้เวลาสามชั่วโมงก่อนที่เขาจะลงมือผ่ามือด้านซ้ายที่มีรูปร่างผิดปกติได้ถึงหนึ่งในสาม….เเบบนี้ไม่ดีเเน่!
ภารกิจของเขาสำเร็จเพียง 6% และเหลือเวลาเพียง 68.5 ชั่วโมงเท่านั้น แทบไม่มีเวลาให้เขาพักผ่อนหรือนอนหลับด้วยซ้ำ!
เขาไม่สนใจหน้าไหนทั้งนั้น เขาจะต้องผ่าต่อ “ ผมจะต้องการทำผ่าต่อไปอีก 10 นาทีครับ” กู้จวินเอ่ยปากขออนุญาตศาสตราจารย์
หืม? ไช่ฉีซวนซึ่งกำลังทำความสะอาดเครื่องมือที่ใช้ในการชำแหละเพื่อที่จะเก็บมัน จู่ๆ เขาก็พลันนิ่งค้างด้วยความตกใจ แผนเดิมของพวกเขาคือการเก็บเครื่องมือกลับเข้าที่ และจะเก็บศพกลับเข้าไปในถังแช่เย็นอีกครั้ง จากนั้นพวกเขาจะคลุมศพด้วยผ้าฟอร์มาลินชุบน้ำหมาด ๆ และยกขึ้นมาในครั้งต่อไปที่มีการผ่าอีกรอบ
“ อีก 10 นาที?” ซูไห่อดไม่ได้ที่จะอุทานขึ้นมาด้วยความนับถือปนกระเเนะกระเหน “ แม้แต่ผู้ชายที่จะฆ่าแขวนคอตัวเองก็ยังต้องพักหายใจเลย! นายเก่งมาจากไหน”
หลังจากผ่านไปสามชั่วโมง เอวของเขาก็เจ็บและขาของเขาก็ปวดรวดร้าว ตาของเขาบวมเเฉ่ง มือของเขาก็ชาและความเมื่อยล้าของเขาก็ทำให้ทั้งกายเเละใจของเขาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดเเล้ว
“ โอเค! งั้นฉันจะช่วยอาจวินเองนะ” เฮ่ออี้หานยกมือขึ้นเสนอตัวเพื่อเป็นผู้ช่วย ดูเหมือนว่าเธอจะกลายเป็นแฟนตัวน้อยของกู้จวินไปแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะพวกเขาอยู่ชั้นปีเดียวกันล่ะก็…เธออยากจะทักทายกู้จวิน ในฐานะเกอเกอจริงๆ
“ เเต่ฉันต้องพักผ่อนอย่างน้อยอีกหนึ่งชั่วโมงน่ะ…ตามสบายเลยเเล้วกัน” หวังรั่วเซียงกล่าวด้วยสีหน้าซีดเซียว เธอรู้ดีถึงสภาพร่างกายของตนเองที่สุดและส่ายหัวเล็กน้อยให้กับความขยันของกู้จวิน “ ถ้าฉันไม่ได้พักล่ะก็…อีก 10 นาที ฉันจะตาย!”
การทำกายวิภาคของมนุษย์และการทดลองกับหนูเป็นสองสิ่งนี้แตกต่างกันอย่างมาก!
อย่างเเรกก็เรื่องการใช้กำลัง….เธอไม่มีทางสู้ชายที่กำยำเหล่านี้ไหว!
ซูไห่ยกนิ้วให้กำลังให้กำลังใจเเก่หวังรั่วเซียงทันที สุดยอด! เเม่สาวพจนานุกรม คุณฉลาดมาก!
“ ไม่ใช่! ฉันหมายถึงฉันจะผ่าศพคนเดียว…พวกนายไม่ต้องเข้ามาช่วยก็ได้…หรือถ้าจะทำก็ทำเเยกไปเลย ไม่ต้องมายุ่งกับส่วนของฉัน”
กู้จวินไม่เคยคิดที่จะดึงพวกเด็กหนุ่มเหล่านี้เข้ามาร่วมในการทำภารกิจของเขาอยู่เเล้ว ถึงพวกเขาเข้ามาก็รังเเต่จะทำให้ภารกิจช้ากว่าเดิม อีกทั้งการผ่าศพเเล้วเก็บคะเเนนสอบเพื่อสำเร็จการศึกษาระดับปริญญานั้นจะนับเฉพาะปฏิบัติการของเขาเท่านั้น ให้คนอื่นช่วยไปก็ไม่มีประโยชน์ ดังนั้นเพื่อหยุดทุกคนเขาจึงพูดอย่างจริงจัง
“ วันนี้ฉันวางแผนที่จะอยู่ในอาคารผ่าศพนี่ และฉันจะนอนแค่ห้าชั่วโมงในตอนกลางคืนเท่านั้น…ถ้าอยากอยู่ ฉันก็ไม่ห้ามนะ!”
1
“ อืมเด็กน้อย เธอสามารถฝึกต่อได้ตามสบาย ใครที่อยากฝึกกับเขาก็ลุยเลยเเล้วกัน” ศาสตราจารย์โบกมือชักชวนเหล่านักศึกษาให้ก้าวขึ้นไปข้างหน้า เผื่อจะมีนักศึกษาคนไหนอยากทำสักคน
การผ่าตัดซึ่งกินเวลานานกว่า 10 ชั่วโมงติดต่อกันนั้นถือเป็นเหตุการณ์ปกติในโลกเเห่งการแพทย์ เเละการผ่าศพก็เป็นการทดสอบนักศึกษาเพื่อดูว่าพวกเขามีความแข็งแกร่งทางร่างกายและจิตใจเพียงพอหรือไม่
“ พวกเธอก็น่าจะรู้ว่าปัจจุบันเป็นเรื่องยากที่จะมีทรัพยากรจากชาติมาสนับสนุนบ่อยๆ ตราบใดที่มหาลัยยังให้ไฟเขียว พวกเธอก็สามารถฝึกฝนเเละเรียนรู้ได้ แต่ถ้าคุณต้องการฝึกเเบบพิเศษกับมือที่ผิดปกติเเบบนี้ก็รีบลงมือ….เพราะศพเเบบนี้คงไม่ได้หาง่ายยิ่งกว่าหัวผักกาดเเน่นอน”
“ฉันเข้าใจ” กู้จวินพยักหน้าทั้งที่ใจเถียงเล็กน้อย…ถ้าศาสตราจารย์กู้รู้ว่าศพเกือบทั้งหมดผิดปกติหมดล่ะ เขาจะทำหน้าอย่างไร เเต่การฝึกฝนนั้นเป็นเรื่องดี เพราะมีเเต่จะทำให้เชี่ยวชาญขึ้น
คราวนี้ไช่ฉีซวนเเละเฮ่ออี้หานทั้งคู่เลือกที่จะอยู่กับกู้จวินและติดตามเขาเพื่อผ่าอวัยวะส่วนบนด้านขวาของร่างกายบ้าง ในทางตรงกันข้ามคนอื่น ๆ ออกจากห้องทดลองเพื่อพักผ่อน
แขนท่อนบนด้านขวาเป็นโครงสร้างมาตรฐานของร่างกายมนุษย์ปกติ ทั้งสามคนดำเนินการผ่าในขณะที่อ้างอิงแผนผังกายวิภาคของต้นแขนของมนุษย์ไปด้วย แม้จะไม่ได้รับคำแนะนำจากศาสตราจารย์กู้ พวกเขาก็ไม่มีปัญหาทางเทคนิคอยู่เเล้ว
ทั้งสามคนฝังตัวเองในการผ่าศพจนเเทบเป็นหนึ่งเดียวกับมัน พวกเขาหยุดเพียงแค่สามชั่วโมง จากนั้นก็ผ่าศพต่อ เมื่อเงยหน้าขึ้นอีกครั้งมันก็เป็นเวลาค่ำแล้ว
กู้จวินเห็นว่าอัตราการสำเร็จภารกิจบรรลุ 10% แล้ว เขาทำงานไม่หยุดในช่วงสามชั่วโมงที่ผ่านมา แต่เพิ่มขึ้นเพียง 4% เท่านั้นเอง
เขาเดาว่าการผ่ามือที่มีรูปร่างผิดปกติจะเพิ่มอัตราการเสร็จสมบูรณ์อย่างรวดเร็วมากกว่า ในขณะที่ผ่าส่วนปกติจะเพิ่มอัตราการสำเร็จน้อยลงอย่างน่าหวาดผวา เเต่ประเด็นคือเเขนซ้ายมีเพียงความผิดปกติ ซึ่งมันเป็นผิดปกติเดียวที่นักศึกษาทุกคนต้องแบ่งปันกัน เเต่เมื่อเขาคิดถึงเรื่องนี้เวลา เขาก็ยิ่งกดดันมากขึ้น
“ผ่าต่อไป!” เขาตัดสินใจเเล้วลงมือผ่าศพต่อทันที
ไช่ฉีซวนเริ่มมีใบหน้าที่ซีดเซียว เเม้เเต่หายใจหรือพูดจาเขายังทำออกมาในลักษณะที่ว่าเหมือนคนกำลังอ่อนเเอ ในขณะที่เฮ่ออี้หานเปิดเผยร่องรอยของความตื่นตระหนกและความเสียใจเอาไว้บนใบหน้าอย่างชัดเจน
หลังจากผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง หวังรั่วเซียงก็กลับมาพร้อมอาหารกล่องหอมฉุยและน้ำแร่พ่วงมาด้วย พวกเขายังมีเวลาอีกสามชั่วโมงในตอนเย็น ก่อนที่พวกเขาจะต้อง “ทำการรบ”
กู้จวินและทั้งสามคนหยุดพักที่จุดนี้ก่อน และออกไปข้างนอกที่บริเวณทางเดินเพื่อพักผ่อนและกินอาหารมื้อเย็น
ในเวลานี้เฮ่ออี้หานเหนื่อยมากจนเธอรู้สึกเหมือนกำลังจะเป็นลม เธอไม่เคยมีความอยากอาหารเเละหิวโหยมากขนาดนี้มาก่อนในชีวิต เธอปราถนาจะกินข้าวกล่องแล้วกลืนมันลงคออย่างหิวกระหาย ข้าวกล่องธรรมดามันน่าลิ้มลอง เเละรสชาติอร่อยจนน้ำตาแทบไหล
มีนักศึกษาที่เข้าเเข่งชิงถ้วยฟรอนเทียร์คนอื่น ๆ เดินอยู่ที่ทางเดินเช่นกัน ซึ่งพวกเขาน่าจะกำลังฝึกผ่าศพอยู่ที่นี่ หลังจากหยุดพักผ่อนทุกคนต่างพากันซุบซิบเกี่ยวกับศพที่ไม่สมประกอบเหล่านี้
“ นายว่ามีโรคระบาดบางอย่างเกิดขึ้นหรือไม่? ฉันเเอบไปถามห้องอื่นมา ดูเหมือนว่าศพของพวกเขาก็คล้ายกัน….”
“ โรคระบาดเหรอ? ไม่สิ! ไม่เห็นมีข่าวอะไรเลยนะ ไม่ใช่ว่าโรคทางพันธุกรรมธรรมดาหรอกรึ? ไม่น่าเป็นไปได้!”
“ หรืออาจเป็นการทดลองลับว่าไหม? ”
ทุกคนต่างส่งเสียงโห่ร้อง ไม่ก็พูดคุยเรื่องนี้กันเสียงดังเเละวุ่นวาย แต่ไม่มีใครสามารถอธิบายได้อย่างเป็นรูปธรรมและมีเพียงไม่กี่คนที่เอนเอียงคำตอบไปทางคำอธิบายเหนือธรรมชาติ…
ทั้งๆที่ “ทาส” ทางการแพทย์เหล่านี้เป็นผู้ที่ศรัทธาในวิทยาศาสตร์มากที่สุดเเท้ๆ เชียว!