เด็กสมัยนี้มันช่าง…..
เเค่นี้ก็ถึงกับอาเจียนเลยหรือ!?
นี่คนหวาดกลัวมีจำนวนขนาดนี้เลยเหรอ?
พรสวรรค์ที่พวกเขาต้องการจากนักศึกษาเเพทย์ที่เป็นหน่ออ่อนพวกนี้ นั่นคือไม่เพียงแต่จำเป็นต้องมีพื้นฐานที่ดีเยี่ยมในด้านการแพทย์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงความเข้มแข็งทางด้านจิตใจอีกด้วย
“ กู้ ศาสตราจารย์กู้คะ…นั่นมันอะไรกันคะ?” เฮ่ออี้หานถามด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ เธอกำถุงอาเจียนไว้แน่นและดูเหมือนว่าเธอจะอาเจียนได้ทุกเมื่อ
ส่วนหวังรั่วเซียงนั้นทำได้ดีขึ้นมาก เธอยังคงดูสงบแม้ว่าคิ้วของเธอจะขมวดเข้าหากันแน่นด้วยความอดทนก็ตามที
ซูไห่เวียนหัวเเละกำลังจะอาเจียนเช่นกัน ส่วนจางห้าวหลันก้มศีรษะลงและมองดูไช่ฉีซวนที่กำลังสวดมนต์ ‘นะโม อมิตตาพุทธ’ อย่างเมามัน ราวกับว่าการทำวัตรยามเช้าสำหรับเขาเป็นเรื่องจำเป็นมากนัก
“ ฉันรู้เท่าที่พวกเธอรู้นั่นเเหละ!” ศาสตราจารย์กู้เป็นศาสตราจารย์ที่มีประสบการณ์มากจริงๆ ความตกใจในใจของเขาไม่ได้ทำให้เขาตื่นตระหนกและเขายังคงมีสติเพียงพอที่จะปลอบประโลมนักเรียนของเขา
“ แต่เธอไม่จำเป็นต้องเกรงกลัวเช่นนั้น เห็นไหม!? ประเทศมีการเตรียมการเรื่องนี้เป็นอย่างดี ดังนั้นทุกคนจึงได้รับการประกันความปลอดภัย แม้ว่าจะเป็นโรคร้าย แต่อย่างน้อยที่สุดมันก็ไม่ใช่โรคติดต่อ”
ผิดกับทุกคน…กู้จวินไม่กลัวอะไรทั้งนั้นและเขาก็ไม่ได้หลบสายตาต่อสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าด้วยเช่นกัน
ตรงข้ามกับอาการหวาดกลัวของคนอื่น ความคิดในหัวของเขาหมุนอย่างรวดเร็ว
‘ถ้านั่นเป็นโรคจริง แล้วศพที่เราผ่าก่อนหน้านี้ก็เป็นอาการเริ่มต้นและนี่…นี่อาจเป็นพัฒนาการขั้นสูงของโรค อืม ต้องเเบบนั้นเเน่’
“ อ๊อกกก!” จู่ๆซูไห่ก็อาเจียนออกมาในถุงอีกรอบหนึ่ง
เมื่อมีคนหนึ่งอ้วก คนข้างๆ ก็เริ่มทำตามด้วยเหมือนกัน พวกเขารู้สึกพะอืดพะอม เเละในเวลานี้จำนวนคนอาเจียนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และความสิ้นหวังก็แผ่ซ่านไปทั่ว บรรยากาศที่หนักอึ้งก็เริ่มรุนแรงขึ้นเช่นกัน
ทุกคนรู้สึกเหมือนตนเองกำลังจมลงสู่มหาสมุทรที่ไร้ก้นบึ้ง พวกเขาดิ้นรนตะโกนด้วยความสิ้นหวัง แต่สิ่งที่พวกเขาต้องเผชิญก็คือความมืดมิดที่รกร้างว่างเปล่า
“ แม้ว่าฉันจะภาวนาว่าขอให้เด็กอย่างพวกคุณทุกคนได้สัมผัสกับสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนแบบนี้อีก แต่ฉันหวังเป็นอย่างยิ่งว่าพวกคุณจะพร้อมเผชิญหน้ากับมัน…หากวันนั้นมาถึง”
ศาสตราจารย์ฉินพูดอีกครั้ง ใบหน้าที่เหี่ยวย่นของเขาเงียบสงบ
“ ตอนนี้ฉันอยากรู้ความคิดของคุณเกี่ยวกับสิ่งที่น่ารังเกียจนี้ จำไว้ว่าสิ่งนี้มันตายไปแล้ว แต่มันก็อาจมีชีวิตอยู่ได้!”
มันจะยังมีชีวิตอยู่? นักศึกษาทั้งหมดมองหน้ากันอย่างงวยงง พวกเขาสงสัยในใจ…ประหลาดขนาดนี้ยังมีชีวิตอยู่อีกเหรอ? ตกลงตายเเล้ว..หรือยังไม่ตายกันเเน่!?
ศาสตราจารย์ฉินไม่ได้คาดหวังให้ผู้ที่อาเจียนเเบบพวกเขาตอบ
เเต่ตอนนี้ศาสตราจารย์ฉินเเละพวกคณะกรรมการ พวกเขากำลังสังเกตเห็นผู้คนในมหาวิทยาลัยอีสเทิร์นที่หลายคนนั้นยังคงมีความกล้า บางคนนั่งเฉย ในขณะที่บางคนกำลังฝืนทน…
จากนั้นเขาก็มองไปที่นักศึกษาที่นั่งแถวหน้าของมหาวิทยาลัยชิงหยุนทางด้านตะวันตกทันที เเละให้พนักงานบางคนเดินถือไมโครโฟนไปเเถวๆนั้นบ้าง
เด็กเยาวชนของมหาวิทยาลัยชิงหยุนเมื่อเห็นไมโครโฟน พวกเขาก็ลุกขึ้นนั่งตัวตรงด้วยความคาดหวัง
ซึ่งเด็กนักศึกษาเหล่านั้นก็ประกอบด้วย ซุนอี้เหิง, จางเหวินเย่, หยางหมิง ทั้งหมดเป็นนักศึกษาระดับชั้นปีที่เเปดของมหาวิทยาลัยชิงหยุนที่ดูจะอนาคตไกลกว่าคนอื่นๆ
“ ฉันคิดว่า….” ซุนอี้เหิงรับไมโครโฟนมาเเล้วเป็นคนแรกที่พูด แม้ว่าทั้งหมดจะเป็นการเดาสุ่มมั่วๆ แต่ก็ผ่านการไตร่ตรองมาอย่างดีแล้ว
“ พวกเขาติดเชื้อจากไวรัสบางชนิดที่ทำให้เกิดการกลายพันธุ์ แต่วิธีการที่พวกเขาหลอมรวมกัน และยังคงมีชีวิตอยู่ ฉันไม่เข้าใจเลย เเต่เป็นไปได้ว่านี่อาจจะเป็นการทดลองปลูกถายอวัยวะก็เป็นไปได้!”
จากนั้นหยางหมิงก็รับไมค์ต่อและพูดอย่างสงสัย“ เป็นไปได้ไหมที่จะมีคนเย็บร่างกายของพวกเขาเข้าด้วยกันแบบนี้หลังจากที่พวกเขาตาย” เขากล่าวความคิดนี้ออกมาด้วยความรังเกียจ
หากมีคนทำเเบบนั้นจริง! การกระทำเช่นนั้นถือเป็นการก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ! เเละถือเป็นความเลวทรามต่ำช้าที่ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยคำพูด
อย่างไรก็ตามหากมองผ่านๆ ความคิดนี้ก็ดู…เป็นคำอธิบายเดียวที่เป็นไปได้
“ ไม่ใช่!” ศาสตราจารย์ฉินปฏิเสธคำตอบของเขาทันที จากนั้นก็ถอนหายใจเเล้วเอ่ยปากตอบโต้เล็กน้อย “ ฉันได้พูดไปแล้วไม่ใช่เหรอ สิ่งนี้ยังคงมีชีวิตอยู่และยังคงเติบโตต่อไปได้อย่างไร้สิ้นสุด….”
ทั้งอาจารย์ทรงคุณวุฒิและนักศึกษาทั้งหมดต่างเต็มไปด้วยความตกตะลึง สิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนนี้ไม่ได้อยู่ในขอบเขตความรู้ความเข้าใจของพวกเขาเลยเเม้เเต่น้อย
จากนั้นศาสตราจารย์ฉินก็มองไปที่นักศึกษาของมหาวิทยาลัยอีสเทิร์นที่นั่งทางด้านขวา มหาวิทยาลัยอีสเทิร์นที่มักต้องการแข่งขันกับมหาวิทยาลัยชิงหยุนเกี่ยวกับทุกสิ่งทุกอย่าง ทว่าตอนนี้พวกเขากลับทำตัวเงียบเชียบราวกับผีในป่าช้า
ศาสตราจารย์ฉินโบกมือให้เจ้าหน้าที่ของส่วนจัดงานเอาไมโครโฟนไปยื่นให้ด้วยความวาดหวัง เขาปราถนาให้เด็กสักคนสามารถตอบคำถามนี้ออกมาได้บ้าง
เจ้าหน้ารับคำสั่งเเละกวาดไมโครโฟนไปทั่วแถวหน้าอย่างตั้งอกตั้งใจหากแต่สมาชิกในทีมพิเศษต่างก็ส่ายหัวทีละคนอย่างจนใจ “ ขอโทษครับ ผมไม่รู้”
“ โปรดบอกคำตอบให้เราทราบเถอะครับ”
“ฉันไม่รู้ค่ะ…สิ่งนี้มันเเปลกเกินไปจริงๆ ถ้าให้ฉันตอบ ฉันก็จะพูดเหมือนมหาลัยชิงหยุน ก็คือ…โรคติดต่อ!”
มหาวิทยาลัยอีสเทิร์นไม่ได้ยอมรับความพ่ายแพ้อย่างโง่เง่า แทนที่จะบอกคำตอบเเบบการเดาแบบสุ่มสี่สุ่มห้าออกไป มันเป็นการดีกว่าที่จะสารภาพว่าไม่รู้ ถ้ารู้ก็บอกว่ารู้!! ถ้าคุณไม่รู้ก็ยอมรับว่าคุณไม่รู้!! หรือถ้าอยากจะเดาก็อ้างมหาลัยอื่นเเทน!!
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง! กับคำถามที่เกี่ยวกับเรื่องที่เกินความเข้าใจเเบบนี้ มีเเต่คนโง่เท่านั้นที่จะดันทุรังตอบ!
อันที่จริงผู้ตัดสินเองก็ไม่ได้คาดหวังว่าว่าพวกเขาจะได้รับฟังสิ่งที่น่าสนใจตั้งแต่ต้นจนจบจากเด็กเหล่านี้อยู่เเล้ว พวกเขาเเค่ถามคำถามเบื้องต้นง่ายๆเพื่อวัดสติปัญญาและสังเกตปฏิกิริยาของนักศึกษาเหล่านี้
“ สิ่งนี้คือ…” ศาสตราจารย์ฉินกำลังจะกล่าวเฉลย เพราะเขารู้ว่ายังไงก็ไม่มีใครหน้าไหนตอบได้อยู่เเล้ว ดังนั้นจึงไม่คิดจะเสียเวลาอีก
ในขณะนั้นเอง นักศึกษาชายที่นั่งอยู่แถวหลังสุดของที่นั่งฝั่งมหาวิทยาลัยอีสเทิร์นก็ยกมือขึ้นแล้วลุกขึ้นยืนอย่างกล้าหาญ เเล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงอันดังทั้งๆที่ไม่มีไมโครโฟน
“ ศาสตราจารย์ฉินครับ ผมต้องการตอบคำถามเเละเเลกเปลี่ยนคำถามกับคุณ!”
สายตานับไม่ถ้วนจากผู้ชมทั้งสนามรีบหันมามองทันทีว่าเสียงนั้นมาจากไหนกันเเน่
เเต่นักศึกษาของมหาวิทยาลัยอีสเทิร์นต่างตกใจและวิตกกังวลเมื่อเห็นว่าใครกำลังพูด
ไอ้เสี่ยกู้!!!
นี่เเกอีกเเล้วเหรอ?
เจ้าลูกหมา ตัวก่อความวุ่นวาย รีบนั่งลงเดี๋ยวนี้!