เมื่อสัตว์บางตัวพบเสือ แม้ว่าพวกมันจะไม่เคยเห็นเสือมาก่อนหรือแม้ว่ามันจะเป็นเสือปลอมก็ตาม พวกมันก็จะหวาดกลัวอย่างมาก พวกสัตว์เหล่านั้นจะสูญเสียเหตุผลทั้งหมดและต้องการเพียงเเค่หนีเท่านั้น
นี่เป็นความกลัวที่ฝังอยู่ในยีนของพวกเขามาตั้งเเต่เเรก เสียงร้องโหยหวนของต้นไม้ปีศาจก็เหมือนกับเสือตัวนั้น และมนุษย์ที่นั่งสลอนก็เหมือนกับสัตว์เหล่านั้น พวกเขาไม่สามารถเข้าใจมันได้และพวกเขาก็คิดว่ามันน่ากลัว…ความคิดในใจอย่างเดียวคือหนี
เเต่อนิจจา…พวกเขายังมีศักดิ์ศรีค้ำคอ ต่อให้หนี ก็ไปไม่ได้ไกล
“ ฟู่!!! ” กู้จวินหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อปรับการหายใจของตนเองไม่ให้ความกลัวตามสัญชาตญาณที่กำลังครอบงำเขา เเม้จะเเทบสำลักฟอร์มาลินก็ตาม….
แม้ว่าจิตสำนึกของเขาจะประสงค์ให้เขาทำเช่นนั้น เเต่จิตใต้สำนึกของเขากลับเห็นแตกต่างออกไป ร่างกายของเขาแข็งทื่อ และไม่สามารถขยับได้แม้แต่ก้าวเดียว เขาควรจะทำอะไร? ทำตามคำสั่งของจิตสำนึกหรือจิตใต้สำนึกกันเเน่!?
หางตาของกู้จวินเหลือบไปเห็นการแสดงออกที่เงียบสงบบนใบหน้าของศาสตราจารย์ฉินและคณะกรรมการคนอื่น ๆ ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่ได้สะทกสะท้านอะไรเลย ทำหน้าบึ้งตึงบอกบุญไม่รับ เเค่มองก็รู้เเล้วว่าคนพวกนี้นั้นชั่วร้ายเเละประสงค์จะไม่ให้เขาผ่านการประเมิน…คนพวกนี้เเค่อยากเเกล้งเขาก็เท่านั้น!!
“เเต่! ฉันได้รับอนุญาตให้เข้าไปในกรงแล้ว ก็ไม่น่าจะมีอันตรายอะไรมั้ง? เพราะถ้าอันตราย…พวกเขาจะไม่ยอมให้เด็กอย่างกู้จวินต้องมาเสี่ยง”
จิตใจของกู้จวินเริ่มหาเหตุผลเข้าข้างตนเอง จากนั้นเมื่อคิดได้เขาก็สงบลงในทันที เขาย่อยความรู้ในสมองและครุ่นคิดหาคำตอบ
‘ตอนนี้ฉันควรมีวิธีรับมือ ทำไมจู่ๆต้นไม้รูปทรงมนุษย์ต้นนี้จึงส่งเสียง? มีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้าง? มันเป็นความจริงของฉันที่เข้ามา…ใช่ พอฉันเข้ามากลไกบางอย่างอาจจะเริ่มทำงานเเล้ว… ’
ยิ่งกลัวมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งไม่สามารถหนีได้
ขณะที่กู้จวินกำลังคิด เขาก็จ้องไปที่ดวงตาขุ่นมัวบนต้นไม้ที่คล้ายมนุษย์อีกครั้งและมองไปที่ใบหน้านับสิบของอีกฝ่าย
เมื่อเผชิญกับแรงกดดันที่เกิดจากเสียงกรีดร้องเหล่านั้น เขารู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในดวงตาคู่เหล่านั้น รูม่านตาของพวกเขาขยายขึ้น…
ภายใต้สถานการณ์ปกติ กระจกตาของคนเราจะขุ่นมัวเนื่องจากการสูญเสียน้ำหลังจากเสียชีวิต ยิ่งระยะเวลาตายนานเท่าใดกระจกตาก็จะยิ่งขุ่นมัวมากขึ้นเท่านั้น
แพทย์นิติเวชสามารถประมาณเวลาการเสียชีวิตโดยพิจารณาจากระดับความทึบของกระจกตา
แม้จะเสียชีวิตไม่นานรูม่านตาก็ไม่สามารถหดหรือขยายได้อีกต่อไปเนื่องจากกล้ามเนื้อเรียบจะหย่อนลง เเละขนาดของรูม่านตามันจะคงอยู่ในขนาดกลางเท่านั้น
เเต่…คนที่ตายแล้วภายในต้นไม้ที่คล้ายมนุษย์ดูเหมือนจะมีชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง!
นี่เป็นเพราะฉันปลุกพวกเขาหรือไง? กู้จวินอยากจะสัมผัสต้นไม้มนุษย์ที่กรีดร้องขึ้นมาอีกครั้ง เขาอยากจะลองพิสูจน์บางอบ่างดู?
“เอาล่ะ ฉันจะลองดู” กู้จวินจ้องมองต้นไม้ปีศาจพักหนึ่งและยกมือขึ้นเอื้อมไปหามันอีกครั้ง เเต่แทนที่จะหยุดชะงักเหมือนเดิม คราวนี้เขายืดมือออกเพื่อปิดเปลือกตาอย่างยากลำบาก นั่นก็เพราะกล้ามเนื้อหลับตานั้นตึงจัดและมีความแข็งอย่างผิดปกติ ดังนั้นเขาจึงต้องออกแรงมากขึ้นเพื่อให้เปลือกตาของต้นไม้นั้นหลับลงไป
เมื่อเปลือกตาปิดลง ใบหน้าทั้งหมดก็เงียบลงอย่างรวดเร็ว
เมื่อปิดตาหนึ่งได้ กู้จวินก็ขยับมาปิดเปลือกตาอีกข้างและขอโทษพวกเขาอย่างเงียบ ๆ ‘ฉันช่วยคุณไม่ได้ ขอให้ไปสู่สุขคติเถิด’
“ หืม?” นี่ไม่ใช่ฉากที่เหล่าคณะกรรมการคิดเอาไว้เลย พวกเขามองไปรอบ ๆ และเห็นความประหลาดใจที่น่ายินดีบนใบหน้าของกันและกัน คณะกรรมการส่วนใหญ่พ่อใจกับพฤติกรรมของกู้จวินเป็นอย่างมาก พวกเขาเอ่ยปากชมเเละเริ่มลงคะเเนนกัน
เด็กคนนี้สามารถแสดงประสิทธิภาพความกล้าเเละความรู้ระดับนี้ได้ในครั้งแรกที่เขาได้พบกับต้นไม้รูปร่างคล้ายมนุษย์ เขาสามารถแสดงความสงบและมีเหตุมีผล ช่างเป็นอะไรที่หายาก! คราวนี้พวกเขาคงได้พบ ‘ทอง’ ล้ำค่าเเห่งวงการเเพทย์เเล้ว
ขณะที่เสียงคร่ำครวญอย่างน่าสยดสยองของต้นไม้ปีศาจค่อยๆเบาลง นักศึกษาทั้งหมดก็สังเกตเห็นการตอบสนองที่เต็มไปด้วยความเงียบสงบของกู้จวินอย่างชัดเจน
พวกเขาไม่รีรอรีบส่งเสียงโห่ร้องด้วยความตื่นเต้นทันที เสียงกรีดร้องของความหวาดกลัวรอบ ๆ กู้จวินก็หยุดลงกลายเป็นเสียงเเห่งความยินดีเเล้ว ทุกคนกัดฟันพยายามอย่างเต็มที่เพื่อจัดระเบียบสติของตนเองใหม่ เเละพยายามสร้างภาพว่าพวกเขาไม่กลัว!
ใช่!! พวกเรา “ทาส” ทางการแพทย์ไม่เกรงกลัวอยู่เเล้ว!
ต้นไม้ปีศจาเเค่นี้เอง!!
“ อืม…” ศาสตราจารย์ฉินพยักหน้า เขาเองก็มองดูในขณะที่กู้จวินปิดเปลือกตาของใบหน้าต้นไม้ปีศาจ
ความพึงพอใจในหัวใจของศาสตราจารย์ฉินเพิ่มขึ้นอย่างไร้ขีดจำกัด เขาคิดในใจด้วยความชื่นชมต่อตัวของเด็กหนุ่ม
เเม้ความสามารถทางการแพทย์ของเขาจะยังไม่เป็นที่ประจักษ์ เเต่อย่างน้อยที่สุดคุณภาพทางจิตใจของชายหนุ่มคนนี้ก็ยอดเยี่ยม
“ นักศึกษากู้ หยุดได!! การประเมินสิ้นสุดลงเเล้ว คุณสามารถออกมาได้”
เจ้าหน้าที่คนหนึ่งก้าวไปข้างหน้าและดึงประตูกรงให้เปิดออก เสียงของประตูกรงที่ขูดกับพื้นดังไปเสียดเเทงหูคนขวัญอ่อนบางคนจนตัวสั่น
กู้จวินจ้องมองต้นไม้ที่มีรูปร่างเหมือนมนุษย์อีกครั้ง ก่อนที่จะเดินออกไปด้วยฝีเท้าที่มั่นคง เมื่อเขาจากไป ใบหน้าที่เปลือกตายังไม่ปิดสนิทก็ค่อยๆหยุดร้องครวญครางเเล้วเงียบไปในที่สุด
เมื่อกู้จวินออกจากกรงเหล็ก ผู้ชมต่างก็ปรบมือให้เขาอย่างลืมตัว มหาวิทยาลัยชิงหยุน คณะแพทย์จื่อหัว …นักศึกษาจำนวนมากจากมหาวิทยาลัยต่างๆ ต่างก็ปรบมือให้กับกู้จวิน
แน่นอนว่านักศึกษาของมหาวิทยาลัยอีสเทิร์นมีความภาคภูมิใจมากกว่าคนอื่น ๆ พวกเขาปฏิบัติต่อกู้จวินที่เพิ่งกลับไปนั่งที่เหมือนฮีโร่ที่กลับบ้านอย่างมีชัย
“เสี่ยกู้!! นายทำได้ดีจริงๆ นายกลายเป็นฮีโร่เเล้ว!”
“ นายใจเย็นมาก สุดติ่งไปเลยว่ะ!!”
กู้จวินกลับไปที่ที่นั่งเพื่อตอบรับคำชมของทุกคน ศาสตราจารย์กู้ยกนิ้วให้เขาอย่างภาคภูมิใจ
ซูไห่ จางห้าวหลัน และเฮ่ออี้หานรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง ดูเหมือนว่าพวกเขาต้องการที่จะยกกู้จวินไว้บนแท่นเพื่อบูชาอย่างเคารพอย่างที่สุด
พวกเขาเล่าว่าตอนนั้นพวกเขาหวาดกลัวต้นไม้มากจริงๆ และการกระทำของกู้จวินก็คล้ายกับการช่วยชีวิตที่เลวร้ายของพวกเขา
อย่างไรก็ตามยังไม่ทันที่กู้จวินจะนั่งลง เส้นประสาทที่ตึงเครียดของเขาดันนึกถึงความงามที่น่าสยดสยองและเป็นเอกลักษณ์ของต้นไม้รูปทรงคล้ายมนุษย์ได้ รูปลักษณ์ของมันนั้นยังคงตราตรึงหัวใจของเขาไม่มีวันลืม
เขายังคงครุ่นคิดถึงความหมายเบื้องหลังเสียงกรีดร้องนั้น บางทีมันอาจไม่มีความหมายเลย หรืออาจเป็นเพียงการที่มนุษย์ไม่เข้าใจมัน…หรือภาษาต่างดาวอีก กู้จวินครุ่นคิดจากนั้นก็เกาหัวอย่างงวยงง
“เฮ่อ เสี่ยกู้!” ไช่ฉีซวนกล่าวอย่างมีอารมณ์สนุกสนาน “ ตอนที่นายเดินเข้าไปในกรงเหล็ก มันทำให้ฉันนึกถึง ‘จูล่ง ’ที่กำลังเดินขึ้นไปบนเนินเขาเตียงปันโป๋”
หวังรั่วเซียงซึ่งนั่งอยู่อีกด้านหนึ่งตบไหล่กู้จวินเบาๆและถามว่าอย่างใส่ใจ “ เมื่อกี๊ฉันเห็นนายตกใจนิดหน่อย…เป็นอะไรมากไหม?” เธอสังเกตว่าเขายังคงประหม่าเล็กน้อยและจงใจปลอบโยนเขาเเบบอ้อมๆ
“ ไม่เป็นไรเเล้ว” กู้จวินยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ “ฉันตกใจเธอนั่นเเหละ! ไม่นึกเลยว่าเเม่หอสมุดเดินได้จะห่วงใยฉัน”
ในทางกลับกันศาสตราจารย์ฉินไม่รีบดำเนินการต่อ หลังจากสิ้นเสียงปรบมือเขาอธิบายอย่างจริงจัง
“ เอาล่ะ! นักศึกษาทั้งหลาย ฉันจะอธิบาย…ต้นไม้นั่นไม่ใช่ผี นั่นคือหนึ่งในสิ่งมีชีวิตที่ถูกขังในกรง…เอ่อ ขอเรียกมันว่าสิ่งมีชีวิต เพราะนั่นเป็นหนึ่งในอาการที่แสดงก่อนเสียชีวิตของมนุษย์….”