แม้ว่าโรค [มนุษย์ต้นไทร] จะน่ากลัวกว่ามากๆ เเต่อย่างน้อยมันก็เป็นเฉพาะคนที่เกี่ยวข้องหรือก็คือชนกลุ่มน้อย
มีเพียงไวรัสที่กล่าวถึงข้างต้นอย่างอีโบล่าเท่านั้น ที่สามารถเเพร่ขยายได้เหมือนกับการระบาดของโรค [ความตายสีดำ] ที่ปรากฎในยุคยุโรปยุคกลาง
อาจารย์และนักศึกษาหลายคนสามารถจัดการกับความกังวลของพวกเขาได้เเล้ว นั่นก็เพราะมนุษย์มีชัยชนะเหนือโรคซาร์สและควบคุมอีโบลาได้ กับอีเเค่โรคของชนกลุ่มน้อย…ที่หากไม่โชคร้ายจริงๆ ก็ไม่มีวันติด
ดังนั้นพวกเขาจะไม่กลัวโรคต้นไทรนี้!
“ อย่างไรก็ตามสิ่งที่เราอาจจะต้องเผชิญในอนาคตไม่ได้มีเพียงโรคมนุษย์ต้นไทรเท่านั้น” คำพูดที่สงบและเคร่งขรึมของศาสตราจารย์ฉินดึงพวกเขากลับมาที่ขอบหุบเหวนรกอีกครั้ง…
“ ฉันเชื่อว่าตอนนี้ทุกคนเข้าใจจุดประสงค์ของการแข่งขันนี้แล้ว” ศาสตราจารย์ฉินหยุดชั่วคราว ก่อนที่จะเอ่ยปากพูดต่อ
“ แต่ตอนนี้…ฉันสามารถพูดได้ว่าสถานการณ์กำลังเปลี่ยนไปและเราต้องการความร่วมมือในการทำงานนี้มากขึ้น”
ทุกคนจับประเด็นสำคัญอีกครั้ง
สถานการณ์กำลังเปลี่ยนไป!
ศาสตราจารย์ฉินกล่าวต่อไปอย่างเศร้าสลด
“ น่าเสียดายที่ไม่ใช่ทุกคนที่มีคุณสมบัติที่เราจะให้ความสำคัญ การทดสอบที่จบไปเเล้วนี้เป็นเพียงการทดสอบครั้งแรกและอาจมีเพียงหนึ่งในสิบคนเท่านั้นที่จะผ่าน นักศึกษาเหล่านี้จะสามารถผ่านเข้ารอบเเละรับการประเมินต่อไปได้ ส่วนคนอื่น ๆ ที่ตกรอบยังสามารถเข้าร่วมการแข่งขันทักษะทางคลินิกได้และเป็นสะพานเชื่อมระหว่างแผนกของเรากับโรงพยาบาลปกติ”
ชายชรากล่าวต่ออย่างเคร่งขรึม
“ ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่าพวกคุณคือบุคลากรของรัฐทั้งหมด ประเทศต้องการตัวพวกคุณ ต้องการความสามารถของพวกคุณ และฉันอยากจะบอกว่านี่ไม่ใช่การแข่งขันธรรมดา พวกคุณจะได้เข้าถึงอาชีพและเส้นทางในอนาคต และตอนนี้เส้นทางที่ว่านั้นได้เปิดแล้ว จงใช้ความสามารถของคุณบุกเข้าไปและสร้างเวทีให้กับตัวเอง”
ดวงตาของศาสตราจารย์ฉินค่อยๆหมุนไปมองมหาวิทยาลัยอีสเทิร์นและจ้องทะลุไปยังกู้จวินซึ่งนั่งอยู่แถวหลัง
“สำหรับคุณสมบัติที่เราต้องการสำหรับแผนกของเรา อันดับแรกคือเจตจำนงเเห่งความกล้า อันดับที่สองคือทักษะทางการแพทย์จะต้องไม่ขาด…เอาล่ะ ทุกคนคงเหนื่อยมากเเล้ว กลับไปเถอะ”
อีกอย่างหนึ่งที่เขาไม่ได้บอกนักศึกษา นั่นคือสิ่งเหล่านี้ไม่ควรแยกจากกัน!! มันควรมีความเชื่อมโยงกันอยู่เเล้ว…หมอเเละความกล้า เรื่องพวกนี้มันจะอยู่คู่กันเสมอ ซึ่งเหล่าเด็กใหม่เเห่งวงการเเพทย์เหล่านั้นไม่น่าที่จะรู้
หลังจากพูดจบ ศาสตราจารย์ฉินและคณะกรรมการคนอื่น ๆ ก็เดินไปที่ทางเดินเเล้วไปพักผ่อนตามอัธยาศัย
ในที่สุดเจ้าหน้าที่ก็มาขนกรงเหล็กใหญ่ออกไป โดยเเม้เเต่คราบเหนียวที่พื้น พวกเขาก็ทำความสะอาดจนสะอาดสะอ้าน
เมื่อสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนหายไปจากสนาม ก็ทำให้อากาศดูสดชื่นขึ้นมาก อาจารย์และนักศึกษารู้สึกว่าเมฆมืดที่อยู่เหนือหัวของพวกเขาได้หายไปแล้ว
บางครั้งการไม่รู้ก็เป็นพรอย่างแท้จริง….
มันคือพรของคนโง่!!
ส่วนเรื่องที่ว่าพวกเขาผ่านการประเมินรอบนี้หรือไม่ พวกเขาเเตละคนต่างก็รู้คำตอบอยู่ในใจอยู่เเล้ว
เเน่นอนว่าพวกเขาเข้าใจว่าพวกเขาขาดคุณสมบัติแบบนั้นจริงๆ ถ้าพวกเขาถูกวางไว้ในตำแหน่งกับกู้จวิน และถูกบังคับให้ไปยืนอยู่ข้างต้นไทรแบบเมื่อกี้ ขาของพวกเขาจะเหลวกลายเป็นเยลลี่ไปนานแล้ว
ในขณะที่บางคนหวังและโหยหาว่าตัวเองจะผ่านเข้าสู่รอบต่อไป
เเละกู้จวินก็เป็นหนึ่งในนั้น
หลังจากนั้นไม่นาน…ผู้ที่ได้รับการคัดเลือกก็ถูกประกาศชื่อบนหน้าจอขนาดใหญ่ ชื่อของนักศึกษาที่ผ่านถูกระบุไว้ในนั้น ผู้ชมหลายร้อยคนต่างจ้องมองมาที่มันด้วยเเววตาที่เเตกต่างกันไป
หน้าจอด้านหน้าสนามกีฬาสว่างขึ้น และแสดงรายชื่อผู้ผ่านเข้ารอบเเรกทั้งหมด ซึ่งมีนักศึกษาทั้งหมด 32 คนเท่านั้นที่ได้รับการคัดเลือก
9 คนจากมหาวิทยาลัยอีสเทิร์น
7 คนจากมหาวิทยาลัยชิงหยุน
5 คนจากมหาลัยจื่อหัว
4 คนจากมหาลัยตงหยาง
และ 7 คนจากสถาบันอื่นๆ ที่เหลือ
ในบรรดานักศึกษาจากมหาวิทยาลัยอีสเทิร์น ชื่อของกู้จวินนั้นไม่น่าแปลกใจเลยเพราะเขาทำคะเเนนไว้ตั้งเท่านั้น ส่วนคนที่เหลืออย่างหวังรั่วเซียงเเละไช่ฉีวน…พวกเขาก็ทำได้ดีเช่นกัน
ครั้งนี้ศาสตราจารย์กู้หรงได้หน้าอย่างมาก เพราะลูกศิษย์ของเขาทำผลงานได้ดี เเละได้รับเลือกให้ผ่านเข้ารอบ ผลลัพธ์นี้เหนือกว่าทีมพิเศษของศาสตราจารย์หยูซึ่งมีเพียง 2 คนเท่านั้นที่ผ่านเข้ารอบ
“อาจารย์กู้ ลูกศิษย์ของคุณน่าทึ่งมาก” ศาสตราจารย์หยูตะโกนแสดงความยินดีจากระยะไกล ศาสตราจารย์คนอื่น ๆ ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมรับ
ที่ผ่านมาพวกเขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมศาสตราจารย์กู้ถึงลำเอียงรัก ‘กู้จวิน’ ขนาดนี้ ไม่ว่าเขาจะทำตัวเเย่เเละเลวร้ายเเค่ไหน เเต่ศาสตราจารย์กู้คนนั้นก็เอาเเต่ปกป้อง
พวกเขาคิดมาตลอดว่ากู้จวินเป็นคนหลอกลวง เเละศาสตราจารย์กู้ก็เป็นไอ้โง่ตาถั่วคนหนึ่ง เเต่ตอนนี้กลายเป็นว่าศาสตราจารย์กู้จวินเป็นคนฉลาด ในขณะที่พวกเขาตาบอดเเละโง่เง่า
ไม่มีใครกล้าที่จะล้อเลียนศาสตราจารย์กู้อีก แม้แต่เหล่านักศึกษาที่เคยเเอบล้อเลียนลับหลังเขา สายตาที่มองก็เปลี่ยนไป พวกเขาเริ่มนับถือศาสตราจารย์กู้ด้วยใจจริง
นับจากนี้ไปตำแหน่งและเกียรติประวัติของศาสตราจารย์กู้ในรั้วมหาวิทยาลัย ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจะทะยานขึ้นเหนือท้องฟ้าไปมากขนาดไหน
เมื่อมองไปที่ผลลัพธ์ศาสตราจารย์กู้ก็รู้สึกยินดีอย่างยิ่่ง เขาหันไปหาทีมของเขาเเละปลอบโยนผู้ที่ไม่ได้ถูกเลือก
“ พวกเธอทุกคนอย่าท้อแท้เพราะไม่ได้รับเลือก…พวกเธอคือเด็กที่มีความสามารถ ครั้งต่อไปพยายามให้มากขึ้น เข้าใจไหม!?”
ในขณะที่ฟังคำปลอบโยน…
ท้อ? มีอะไรให้ท้อใจบ้าง? เฮ่ออี้หานรู้สึกมีความสุขและรู้สึกขอบคุณผลการประกาศอย่างยิ่ง จะบอกอีกครั้งเธอเป็นนักศึกษาเภสัชศาสตร์ การผ่าศพและการผ่าตัดหนังศีรษะไม่เหมาะกับเธอ ต่อให้ผ่านเธอก็เกือบจะโยนผ้าขนหนูสีขาวยกธงยอมเเพ้ และกลับบ้านโดยพลัน…
เเต่ไม่ใช่กับซูไห่ เขาไม่พอใจมาก คนเช่นเขาเชื่อมาตลอดว่าเขาเป็น ‘คนเก่ง’ หลังจากนั้น ความเป็นจริงก็เข้ามาตอกย้ำเขา เเละย้ำมาเรื่อยๆว่าเขาเป็นคนไร้ความสามารถ
ในทางกลับกันจางห้าวหลันรู้สึกเสียใจที่ตนเองขาดการเตรียมตัว ในใจเขาคร่ำครวญไม่หยุด ถ้ารู้ว่ามันจะเกิดเรื่องเเบบนี้เขาควรจะดูหนังสยองขวัญและเลือดเน่าๆ สักกระป๋องก่อนที่จะมาคัดเลือก
นักศึกษารอบๆก็เช่นกัน… พวกเขาเป็นถึงนักศึกษาแพทย์ดีกรีหัวกระทิที่ถูกคัดอย่างเข้มงวดมาจากในคณะเเพทย์ประจำมหาลัยอีกที มันเป็นเรื่องยากมากที่พวกเขาจะได้รับเลือกและให้มานั่งตรงนี้ แต่สุดท้ายแล้วพวกเขาก็ต้องกลับโดยที่ยังไม่ทันได้ทดสอบอะไรจริงๆจังๆเลย
เสียงบ่นระงมดังไปทั่วอัฒจันทร์ นักศึกษาหญิงบางคนบ่นเสียดายที่ตนเองไม่ได้เข้ารอบ ในขณะที่อีกหลายๆคนก็รู้สึกโล่งอกที่ตัวเองตกรอบไปเสียที ความรู้สึกที่แตกต่างกัน ทำให้หลายคนมีทั้งความสุขและความเศร้าผสมผเสปนเปกันไป
ส่วนทางฝั่งของมหาวิทยาลัยอีสเทิร์นนั้นแน่นอนว่าทีมพิเศษประจำมหาวิทยาลัยอย่างทีมของศาสตราจารย์หยูเต็มไปด้วยความโศกเศร้า พวกเขามากันตั้งหลายคน เพียงแต่ผ่านเข้ารอบไปแค่สองคนเท่านั้นเอง
พวกเขารู้สึกอิจฉาศาสตราจารย์กู้อย่างยิ่ง มีลูกศิษย์ดีๆอย่างกู้จวินเอาไว้คอยกู้หน้า
ในทางกลับกันลูกศิษย์ของเขาที่เหลือแต่ละคนก็ล้วนแต่มีความสามารถและความกล้าที่มหาศาลทั้งนั้น
พวกเขาหันกลับมาที่ศิษย์ของตนเองเเละก็ได้เห็นใบหน้าเปื้อนน้ำตาเเห่งความเสียดาย พวกเขาก็ได้เเต่ปลอบเเละสั่งสอนให้พัฒนาตนเองครั้งต่อไปก็เท่านั้น
********************************************