อันดับแรกเขาต้องอยู่ในสถานที่ที่มีจุดประสงค์การกระทำคล้ายกันหรือต้องจับคู่การใช้อุปกรณ์ในการกระทำ อาทิ…โต๊ะผ่า มีดผ่าตัด ประการที่สองเขาต้องมีสื่อกลางในการเชื่อมโยงทางจิตใจ ประการที่สามจะต้องเกิดเหตุการณ์ที่คล้ายคลึงกัน เช่นการทดลอง การเคลื่อนย้ายศพ หรือการผ่าศพ
การปรากฏของนิมิตทั้งสามนั้น…ตรงตามเงื่อนไขทั้งสามประการที่เขาคิดขึ้นมาเเบบพอดิบพอดี
นี่อาจไม่ใช่กฎทั้งหมดที่จำเป็น แต่ดูเหมือนว่ามันจะถูกกระตุ้นด้วยวิธีนี้ เเละวิธีนี้น่าจะได้ผลมากที่สุด
“ เนื้อหาของบันทึกการวินิจฉัยทั้งสามหน้านั้น…” กู้จวินกลอกตาของเขาเเล้วพลางครุ่นคิดอย่างเคร่งเครียด
“ บันทึกนั่นอาจเป็นคำอธิบายประกอบของความพยายามของแพทย์ในการช่วยชีวิตผู้ป่วย อาจจะเป็นไปได้มากว่าวิธีนั้นไร้ผล และเขาทำได้เพียงเฝ้าดูผู้ป่วยเสียชีวิตด้วยกันในที่สุด ด้วยสิ่งนี้…ตอนนี้ฉันมีสื่อกลางในการเชื่อมต่อทางจิตโดยตรง เเต่สิ่งที่ขาดหายไปคือ สถานที่เดียวกัน ไม่ก็สถานการณ์ที่คล้ายกัน”
เมื่อความคิดนี้แวบเข้ามาในใจของกู้จวิน ความคิดใหม่ก็พุ่งเข้ามาในจิตใจของเขาเเบบกะทันหัน
การให้คำจากพยาน..เเละญาติผู้ป่วยที่เพิ่งเสียชีวิตในโรงพยาบาลจะเพียงพอหรือไม่? อืม! เรื่องนี้น่าทดสอบดูจริงๆ
เมื่อคิดเช่นนี้หัวใจของกู้จวินก็เต้นรัวอย่างไม่สามารถควบคุมได้ เขาต้องทดสอบสิ่งนี้ ความคิดนี้ไม่สามารถรั้งรอได้อีกต่อไป เขาจะต้องหาโอกาสลงมือทำเเละพิสูจน์ความจริงให้จงได้
ภาพนิมิตเหล่านั้นสามารถให้ข้อมูลที่สำคัญเพิ่มเติมแก่เขา และทำให้เขาสามารถเข้าใจสถานการณ์ที่เขาอยู่ได้ดีขึ้น เเละบางทีภาพในนิมิตพวกนั้นอาจมีบทบาทสำคัญมากกว่าที่เขาคิดอีก เเต่น่าเสียดายตอนนี้กู้จวินยังไม่สามารถระบุอะไรได้
หากเขาสามารถการเกิดนิมิตได้ มันก็จะต้องมีประโยชน์อย่างแน่นอน เขาต้องพยายามควบคุมภาพลวงตาเหล่านี้ให้เชี่ยวชาญ
“ เอาล่ะฉันต้องควบคุมมันให้ได้” กู้จวินพึมพำกับตัวเอง เขาหายใจเข้าลึก ๆ เเละในขณะนี้เวลาที่แสดงบนโทรศัพท์ของเขาใกล้จะถึงหนึ่งทุ่มแล้ว ภายในกลุ่มการสนทนากับศาสตราจารย์กู้นั้นยังไม่มีข้อความใหม่ เป็นไปได้มากว่าการแข่งขันทักษะทางคลินิกยังคงดำเนินอยู่และเพื่อนๆคนอื่น ๆ ยังไม่ได้ออกจากสนามกีฬาหรือเล่นโทรศัพท์ของพวกเขา
กู้จวินเดินไปปิดหม้อหุงข้าวที่เดือดเเล้วเเละเทซุปทั้งหม้อลงในท่อระบายน้ำที่ระเบียง จากนั้นเขาก็ใส่หนูที่ต้มสุกเคี่ยวจนยุ่ยแล้วกลับเข้าไปในถุงพลาสติกที่เขียนว่าถุงอันตราย จากนั้นเขาก็เอาบัตรนักศึกษาของเขาออกมาเเละสวมเสื้อคลุมสีขาวอีกครั้ง เขาเดินออกจากหอพักพร้อมกับศพหนูที่เปลือยเปล่าในถุงอันตราย สำหรับหม้อหุงข้าวที่เพิ่งหุงหนูไปนั้น…เขาจะทิ้งมันไว้ให้ไช่ฉีซวนล้างแทน เขาไม่มีวันไปเเตะหม้อนั่นเป็นครัั้งที่สองเเน่
หลังจากมาถึงนอกอาคารหอพัก กู้จวินก็โยนถุงอันตรายลงในถังสีเหลืองข้างหน้าหอ เพราะเขารู้ว่าในไม่ช้าศพของหนูเหล่านี้จะถูกส่งไปยังโรงเผาโดยไม่ทิ้งร่องรอยไว้ข้างหลังให้ใครเเอบติดตามอีก เเต่เอาจริงๆมันก็ไม่ได้ปลอดภัย 100%
หากในเวลานี้มีคนกำลังติดตามเขาอยู่ เป็นไปได้ว่าคนเหล่านั้นอาจจะมาคุยถังขยะและตรวจสอบดูว่าเขาทิ้งอะไรกันแน่ และเอาซากศพหนูพวกนั้นไปตรวจสอบด้วยกรรมวิธีทางวิทยาศาสตร์
และผลก็จะออกมา… แม้จะค่อนข้างกังวลแต่กู้จวินมั่นใจว่าเขาเก็บยาพวกนั้นไปแล้ว ต่อให้สถานการณ์จะย่ำแย่ยังไง แต่อย่างน้อยก็ไม่มีหลักฐานถูกต้องไหม
ดังนั้นแล้วแม้จะค่อนข้างกังวลแต่กู้จวินก็ตัดสินใจเลือกที่จะทิ้งหนูลงในถุงอันตรายแล้วทิ้งเอาไว้ที่ถังขยะหน้าหอ
อีกอย่างหนึ่ง ถ้ายึดเวลาตามปฏิทินแล้ว อีกไม่นานรถขยะของมหาวิทยาลัยก็จะผ่านมาแล้ว
ขยะหน้าหอนี้ก็จะถูกนำไปทำลายให้สิ้นซาก ถ้าเทียบระยะเวลาแล้วก็คงไม่เกิน 1 ชั่วโมงกว่าหลังจากนี้ ดังนั้นกู้จวินจึงไม่ค่อยข้างที่จะกังวลอะไร
แน่นอนว่าวิธีที่ปลอดภัยที่สุดคือให้กู้จวินกินหนูเหล่านั้น รวมถึงซุปหนูเข้าไปทั้งหมด อย่างไรก็ตาม….ต่อให้โลกพังทลาย ธรณีนี้วิบัติสิ้น หรือซอมบี้จะบุกโลกในวันนี้ กู้จวินก็จะไม่มีทางที่เขาจะเขมือบซากหนูพวกนั้นอย่างแน่นอน
จากนั้นกู้จวินเดินทางไปที่โรงพยาบาลในเครือมหาวิทยาลัยอีสเทิร์นทางฝั่งตะวันตกของวิทยาเขตด้วยจักรยานอย่างรวดเร็ว เขาเดินเข้าไปในอาคารผู้ป่วยนอกและอาคารผู้ป่วยใน
ตามแผนการที่เขาได้วางไว้ เขาตัดสินใจที่จะไปสืบหาข้อมูลก่อนเพราะถ้าขืนปล่อยให้มันล่วงเลยไป ปริศนาเหล่านั้นจะทำให้เขานอนไม่หลับเเน่ๆในคืนนี้
อีกอย่างหนึ่ง ตอนนี้ก็เป็นเวลาว่างไม่มีวิชาเรียน แถมยังอยู่ในช่วงปิดเทอม การแข่งขันก็จบสิ้นไปแล้ว เหลือแต่เพียงการแข่งขันแบบธรรมดาที่เพื่อนๆในกลุ่มของเขากำลังเผชิญอยู่
แถมเวลานัดกินอาหารก็ยังไม่เริ่มต้น ยังเหลือเวลาอีกนานแสนนานเพียงพอที่เขาจะติดเตร็ดเตร่ไปทั่วภายใต้ค่ำคืนราตรีหฤหรรษ์คืนนี้
ตอนนี้เป็นเวลาอาหารค่ำเเล้วเเละเกือบจะเกินเวลาเยี่ยมผู้ป่วย ดังนั้นจึงมีผู้มาเยี่ยมญาติในห้องโถงผู้ป่วยนอกชั้นหนึ่งไม่มากจนเกินไป ในเวลานี้แม้แต่แพทย์และพยาบาลก็หายากเช่นกัน ไม่รู้ว่าไปเเอบอู้งานหรือขลุกกันอยู่ตรงไหน ปัจจุบันมีพยาบาล เจ้าหน้าที่ไม่กี่คนที่กำลังจัดการงานของพวกเขาอย่างเงียบ ๆ
ในห้องโถงกว้างขวางชั้นหนึ่งเเม้จะมีคนเดินผ่านไปมาเเต่กลับเต็มไปด้วยความเงียบไม่ต่างอะไรกับห้องเก็บศพ กู้จวินไม่พบสิ่งที่น่าสนใจเเม้เเต่น้อย
จากนั้นเขาไปยังแผนกฉุกเฉินที่ยังคงคึกคัก ถึงกระนั้นเขาก็ยังไม่พบใครอีกเช่นกัน ภายในโรงพยาบาลการเกิดและการเสียชีวิตเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นทุกวัน ผู้ป่วยที่เสียชีวิตเนื่องจากภาวะแทรกซ้อนทางการแพทย์เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นทุกวัน
อย่างไรก็ตามแผนกที่มีผู้เสียชีวิตนั้นมักจะไว้อาลัยเเละส่งไปห้องเก็บศพหรือไม่ก็เอากลับบ้านเลย ซึ่งกู้จวินไม่น่าจะไปยุ่งย่ามได้ เเถมเสียชีวิตเพราะอะไรก็สุดที่เขาจะล่วงรู้
แต่ยังมีสถานที่หนึ่ง…ที่เขาสามารถเข้าไปได้
เเละนั่นก็คือ อาคารเก็บศพ
ตามความเข้าใจของกู้จวิน เมื่อผู้ป่วยเสียชีวิต โดยทั่วไปร่างกายจะถูกทิ้งไว้ในวอร์ดเป็นเวลาหนึ่งถึงสองชั่วโมงเพื่อให้ครอบครัวได้มีเวลากล่าวคำอำลา
จากนั้นศพก็ถูกส่งไปยังห้องเก็บศพโดยเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งหลังจากนั้นได้มีการเตรียมการร่วมกับครอบครัวเพื่อส่งผู้เสียชีวิตไปที่บ้านเเละจัดงานศพภายในไม่กี่วัน
สำหรับศพเหล่านั้น เเน่นอนว่าต้องมีสาเหตุการเสียชีวิตที่เเตกต่างกัน พวกเขาจะต้องมีการชันสูตรพลิกศพก่อน เเล้วสาเหตุก็จะถูกระบุในใบมรณะบัตร เเละศพเหล่านี้ก็จะถูกส่งตรงไปยังศูนย์ประเมินซึ่งเป็นอาคารนิติวิทยาศาสตร์และกู้จวินก็ไม่เคยก้าวเท้าเข้าไปในห้องนั้นเเม้เเต่ครั้งเดียว
ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าจะเป็นศพเเบบไหน เเละเก็บในศูนย์การแพทย์หลักหรือห้องเก็บศพอิสระตามโรงพยาบาลต่างๆ ทั้งขนาดใหญ่และขนาดเล็กอื่นใด ทั้งหมดล้วนไม่ได้จัดมาตรการรักษาความปลอดภัยหนาเเน่นเท่าไหร่นัก เพราะยังไงการขโมยก็ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยๆ
ศพทั้งหมดได้รับการคุ้มกันโดยเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเพียงหนึ่งหรือสองคน และเจ้าหน้าที่เฉพาะทางอีกสองสามคน ท้ายที่สุดจะไม่มีใครเบื่อพอที่จะไปไหนมาไหนในสถานที่แบบนั้นได้ ไม่ต้องพูดถึงขโมย…ใครมันจะสิ้นคิดไปขโมยศพคนตายกัน ของมีค่าใดๆก็ไม่มี ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ระบบรักษาความปลอดภัยจะย่ำแย่ถึงขนาดนั้น เอาจริงๆด้วยฐานะของนักศึกษาแพทย์ก็เพียงพอที่จะเข้าไปได้ในนั้นแบบสบายๆ
โรงพยาบาลในเครือมหาวิทยาลัยอีสเทิร์นไม่มีการชันสูตรศพเเบบภายนอก ศพของผู้ป่วยจะเก็บอยู่ที่ชั้นใต้ดิน และเชื่อมต่อกับที่จอดรถเพื่อความสะดวกในการขนส่งศพของผู้ป่วยที่เสียชีวิต
เมื่อเดินออกมาจากล็อบบี้ลิฟต์ B1 กู้จวินก็สวมหน้ากากและจัดเสื้อคลุมทางการแพทย์สีขาวอันสง่างามของเขาจนเรียบร้อย หลังจากนั้นเขาก็เดินทางไปที่ชันสูตรศพ
“ เอ่อ?” ลุงพนักงานรักษาความปลอดภัยที่กำลังเฝ้าโต๊ะข้างประตูห้องเก็บศพ ยืนจ้องมองไปที่หมอหนุ่มที่กำลังเดินอาดๆเข้ามา และเขาก็บังเกิดความงงงงวยขึ้นในทันที
สถานที่เก็บศพคืออะไร ไม่มีใครที่ไม่ล่วงรู้มันคือสถานที่เก็บคนตาย ปกติแล้วมีใครเข้ามาในนี้กันบ้าง หากไม่ติดภาระหน้าที่หรือเป็นศพของคนรักหรือครอบครัวที่เสียชีวิต แม้จะเป็นสถานที่ถูกกฎหมายและเป็นสถานที่ที่เปี่ยมด้วยความเมตตา คนส่วนมากก็ไม่ค่อยเข้ามากันหรอก
แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงมีหมอเดินมาที่นี่ได้ ซึ่งปกติแล้วแพทย์ทั้งหลายนั้นมักจะอยู่รักษาคนเป็นข้างบน พวกเขาไม่มีวันมาแยแสคนตายที่อยู่ข้างล่าง
แต่ไม่รู้วันนี้หมอคนนี้กินยาผิดหรืออย่างไร ถึงได้เดินมาที่นี่ พนักงานความปลอดภัยชราอย่างเขาที่เฝ้าตรงนี้อยู่มานาน รู้สึกงงกับพฤติกรรมของหมอคนนี้เป็นอย่างยิ่ง จนถึงขนาดคิดว่าหมอคนนี้เข้าใจผิดเลยเดินมาที่นี่หรือเปล่า
อีกอย่างหนึ่ง…กฎของห้องเก็บศพก็ระบุไว้ชัดเจน ห้ามบุคคลทั่วไปเข้า ยกเว้นครอบครัวของผู้เสียชีวิต บุคลากรการขนส่งศพและเจ้าหน้าที่รับศพ เเพทย์…เเต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีแพทย์คนใดเลือกเข้าไปในห้องเก็บศพมาก่อน
“อืม!? ดูเหมือนหมอคนนี้กำลังจะมีปัญหา” ลุงรักษาความปลอดภัยพึมพำและมองลงไปที่วิดีโอกล้องวงจรในโทรศัพท์ของเขาด้วยความงงงวยอย่างยิ่ง