ตรงกันข้ามเฮ่ออี้หานที่ยืนอยู่ด้านข้าง เธอปรี่เข้ามาขัดจังหวะ “ อย่าฟังเขา ความปลอดภัยมาก่อน หากเธอจำเป็นต้องวิ่ง ก็จงเปิดเเน่บซะ! ในบรรดา 1000 กว่ากลุยุทธ์ หนีดีที่สุด!”
จางห้าวหลัน เเม้เขาจะเผชิญกับความผิดหวังมานับไม่ถ้วนเเต่เขาก็ยังคงเต็มไปด้วยความมั่นใจและยิ้มแย้มแจ่มใสดังเดิม “ ถ้าฉันมีคุณสมบัติเป็นหนึ่งในแผนกลึกลับนี้ได้บ้างในอนาคต พวกนายก็อย่าลืมพาฉันไปด้วย”
เมื่อเผชิญกับการสนับสนุนอย่างจริงใจของเพื่อนๆ ทางด้านกู้จวินนั้นไม่ตอบกลับใดๆทั้งสิ้น ในขณะที่หวังรั่วเซียงหัวเราะเบาๆ และตอบกลับเป็นครั้งคราว ส่วนไช่ฉีซวนนั้นตบหน้าอกรับปากอย่างหนักเเน่นเเละปลอบเพื่อนๆไม่ให้กังวล
ความปรารถนาดีของทุกคนทำให้หัวใจของพวกเขาอบอุ่น แต่ก็ไม่มีคำใดที่สามารถอธิบายความในใจของพวกเขาได้อย่างเพียงพอ
ตลอดมื้ออาหารบรรยากาศของการอำลาอาลัยเริ่มดำเนินไปอย่างอ้อยอิ่ง เนื่องจากค่ำคืนนี้ยังคงอยู่อีกยาวนานสำหรับทุกคน กว่าจะถึงเช้าวันรุ่งขึ้นทุกคนก็สนุกสนานกับอาหาร เเละฉลองกันอย่างร่าเริง
จนกระทั่งอาหารเริ่มหมด ศาสตราจารย์กู้ก็เดินไปชำระเงินเเละหลังจากจ่ายเงินเเล้ว พวกเขานั่งกันอีกพักใหญ่ก่อนที่จะออกมาจากห้องอาหารด้วยสภาพที่พุงเกือบเเตก หลังจากเดินออกจากภัตตาคาร พวกเขากระโดดขึ้นรถแท็กซี่ที่จอดอยู่เเถวนั้น และมุ่งหน้ากลับไปที่มหาวิทยาลัยอีสเทิร์นอย่างรวดเร็ว
เมื่อกลับมาที่หอพักนักศึกษาที่เเสนจะทรุดโทรม กู้จวินก็รีบอาบน้ำล้างตัวและนอนลงบนเตียงทันที ทุกคนพร้อมที่จะจบวันสำคัญนี้เเละหลับใหลไปอย่างเงียบๆ
อนิจจาความคิดมากมายวนเวียนอยู่ในใจของกู้จวินอย่างไม่หยุดยั้ง แม้จะเหนื่อยล้าอย่างหนัก พลังงานเเทบหมด เขาก็กลิ้งไปมาบนเตียงเเต่ก็ไม่สามารถหลับใหลไปได้
ในทางตรงกันข้าม ไช่ฉีซวนเขาอาบน้ำเสร็จก็ตรงเข้ามาที่เตียง จากนั้นก็เอาหัววางไว้บนหมอน เเละนับถอยหลังเพียงเเค่ 3 วินาที เขาก็กรนดังสนั่นไปทั่วห้องเเล้ว ความเหนื่อยล้าของเขาทำให้เขาลืมไปว่าหม้อหุงข้าวอิเล็กทรอนิกส์สุดที่รักของเขาถูกทิ้งไว้โดยที่ยังไม่มีใครมาล้างให้สะอาดเลย
เปลือกตาที่อ่อนล้าของกู้จวินค่อยๆปิดลงเมื่อจ้องมองไปที่เพดานนานเนิ่นและในที่สุดจิตวิญญาณของเขาก็ล่องลอยไปสู่ดินแดนแห่งความฝันในเวลาต่อมา
***
เช้าวันรุ่งขึ้นกู้จวินตื่นขึ้นมาด้วยความตกใจ เพราะเสียงกรีดร้องของไช่ฉีซวนที่เเหกปากร้องประดุจมีชายมากมายบุกขึ้นหอพัก
“ หม้อหุงข้าวของฉัน! มีคนเอาไปใช้! เกิดอะไรขึ้น? ใครบุกเข้ามา”
“ นี่มันเรื่องอะไรกัน? จะส่งเสียงดังอะไรนักหนา! เรื่องเเคjนี้เอง อย่าตื่นตระหนกเพราะเรื่องไม่เป็นเรื่องสิ สิ่งที่นายจะเข้าร่วมคือแผนกการแพทย์ไม่ใช่เหรอ ไม่ใช่แผนกสืบราชการลับ!! ใครมันจะมาติดตามเเละขโมยของๆนาย”
กู้จวินพึมพำขณะที่เขาพลิกไปรอบ ๆ เตียงอย่างเหนื่อยอ่อน ถูกต้องเเล้ว! เมื่อคืนเขานอนไม่พอเพราะมัวเเต่คิดอะไรไม่เป็นเรื่องทั้งคืน เเละเขาหงุดหงิดเต็มที่เเล้ว
“ อ่า ฉันใช้มันเองเเหละ ฉันปรุงอะไรบางอย่าง เเต่อย่าห่วง! สิ่งที่นายต้องทำมีเเค่ล้างมัน เเค่นั้นเเหละ ฉันไม่ใช้มันเเล้ว!”
“ โอ้! อย่างงั้นเหรอ!? ฉันนึกว่ามีคนมาบุกหอพักเราเสียอีก ตกใจหมดเลย” ไช่ฉีซวนเกาหัวกึ่งหัวล้านของเขาในขณะที่มองไปที่หม้อหุงข้าวที่เต็มไปด้วยคราบไขมันบริสุทธ์
“อ๋อเหรอ!? โอเคๆ ได้ๆ ว่าเเต่นายทำอาหารอะไร ทำไมถึงใส่น้ำมันเยอะขนาดนี้ ไม่เลี่ยนตายเลยรึไง?”
แม้ว่าหัวใจกับสมองของกู้จวินจะยังสิงสถิตอยู่กับเตียงอันอบอุ่นของเขา แต่ในไม่ช้าเขาก็จำใจต้องลุกขึ้น เจ้าหน้าที่ของผู้จัดงานบอกว่าวันนี้รถบัสเเบบพิเศษจะมารับพวกเขาเวลาเจ็ดโมงครึ่งของเช้าวันนี้ กู้จวินต้องรีบจัดการตัวเองและหยิบโทรศัพท์ของหลี่เยี่ยรุ่ยพร้อมกับเอาการ์ด SD ไปซ่อนอยู่ในรอยแยกที่มุมของห้องในหอพัก
เมื่อทั้งสองมาถึงทางเข้าด้านหลังของบริเวณหอพัก หวังรั่วเซียงก็ยืนรออยู่ที่นั่นเรียบร้อยแล้ว หลังจากนั้นไม่นานพี่ชายหม่าเจียหัวก็มาถึงเช่นกัน
เมื่อถึงเวลาเจ็ดโมงครึ่งรถตู้เเบบหรูหรา ดำ 8 ที่นั่งก็ขับเข้ามาในมหาวิทยาลัยของพวกเขาตรงเวลาเเบบเป๊ะๆ พวกเขาทั้งสี่คนขึ้นรถมาอย่างเรียบง่าย จากนั้นรถก็สตาร์ทและพาพวกเขาไปยังจุดหมายที่ลึกลับซับซ้อนทันที
หลังจากนั่งมานานในที่สุดก็ถึงที่หมาย
เเต่ที่นี่ไม่ใช่ค่ายทหารหรือพื้นที่ถูกจำกัดการเข้าถึงเเต่อย่างใด เเละไม่ใช้พื้นที่ลึกลับจำกัดเฉพาะทางทหารอย่างที่พวกเขาคิดด้วย มันเป็นอาคารสำนักงานเก่าที่ทรุดโทรมในเขตชานเมือง มีความสูงมากกว่า 10 ชั้นด้วยรูปลักษณ์ที่ไม่โดดเด่น เห็นได้ชัดว่านี่เป็นเพียงพื้นที่ต้อนรับไม่ใช่สำนักงานใหญ่ของ “ แผนก” ลึกลับเเต่อย่างใด
เจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวกประจำอาคารสำนักงานทั้ง 4 คนรวมตัวกันพร้อมกับซุนอี้เหิงและคนอื่น ๆ
จากผู้ผ่านการคัดเลือก 9 คน ทุกคนมารวมตัวกันที่นี่เเละไม่มีใครตัดสินใจปฏิเสธข้อเสนอเเม้เเต่คนเดียว
จากนั้นใบหน้าที่คุ้นเคยก็ปรากฏขึ้น ศาสตราจารย์ฉินและคณะกรรมการเดินออกมาและอธิบายกำหนดการที่ได้วางแผนไว้สำหรับพวกเขาเเล้ว พวกเขาต้องนั่งสัมภาษณ์และทำเเบบทดสอบหลายชุด ทว่าคราวนี้ศาสตราจารย์ฉินหรือคณะกรรมการของเขาจะไม่ดำเนินการอีกต่อไป แต่เป็นเจ้าหน้าที่ของแผนกเฉพาะทางต่างหากที่รับผิดชอบตรงส่วนนี้
ในขณะที่ทุกคนยังคงไม่หวั่นไหวเเละรู้สึกตื่นเต้นด้วยซ้ำ! เเต่ในทางกลับกันความรู้สึกไม่สบายใจบางอย่างก็เกิดขึ้นภายในจิตใจของกู้จวิน
ให้ตายเถอะดูเหมือนว่าฉันจะหนีไม่พ้นเรื่องพวกนี้อีกเเล้ว!!
“ นักศึกษา ขอแค่ร่วมมือกับผู้สัมภาษณ์อย่างเต็มที่ ทุกอย่างจะออกมาดีเอง” ศาสตราจารย์ฉินกล่าวด้วยท่าทีที่สบายใจ “ มันเป็นขั้นตอนประจำที่ต้องทำอยู่เเล้ว พวกคุณอย่าเครียด ส่วนกู้จวินนายมากับฉันสักพัก”
หัวใจของกู้จวินเต้นระรัวเหมือนกลองโดยไม่รู้ตัว ในขณะที่เขาเดินตามหลังศาสตราจารย์ฉินต้อยๆ ในสายตาของนักศึกษาคนอื่น ๆ พวกเขาคิดว่าศาสตราจารย์ฉินคงให้ความสำคัญกับกู้จวินมาก และเขาต้องการให้คำแนะนำส่วนตัวกับกู้จวิน อย่างไรก็ตามกู้จวินสังเกตว่าการจ้องมองของศาสตราจารย์ฉินนั้นดูแตกต่างจากเมื่อวานเล็กน้อย…ช่างน่าสงสัยจริงๆ หวังว่าจะไม่ใช่เรื่องร้าย พอนึกถึงความน่าสงสัย กู้จวินก็เริ่มกังวลขึ้นมาทันที
“ กู้จวิน…” ใบหน้าวัยชราของศาสตราจารย์ฉินสงบและจริงจังมากกว่าเดิม เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่กังวลอย่างยิ่งต่อกู้จวิน “ อย่าลืมตอบคำถามอย่างตรงไปตรงมาระหว่างการสัมภาษณ์ ประเทศชาติรู้มากกว่าที่คุณคิดอีกเข้าใจไหม?”
เมื่อกู้จวินได้ยินศาสตราจารย์ฉินพูดคำนี้ออกมา เขาสูดลมหายใจเย็นๆเข้าปอด จากนั้นก็เตรียมความพร้อมทางจิตใจแล้ว
ว่าเเต่คำถามคือ รัฐรู้อะไร?
รู้เเค่ไหน?
มีอะไรที่ลับกว่านี้อีกไหม!?
หรือจะเป็นเรื่องพ่อเเม่?
โทรศัพท์ของหลี่เยี่ยรุ่ย
ลัทธิ!?
เขารู้ว่าในบรรดาคณะกรรมการผู้ตัดสิน ศาสตราจารย์ฉินเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับเขามากที่สุด ดังนั้นเเล้วบางทีเขาอาจจะมีสิทธิพิเศษเเละอาจจะถามล้วงคำตอบอะไรได้บ้าง กู้จวินคิดว่าจะเอ่ยปากถาม แต่ก่อนที่เขาจะทำได้ ศาสตราจารย์ฉินได้ชิงกล่าวตัดบทอย่างจริงจัง
“กู้จวิน! ฉันไม่สามารถพูดอะไรได้มากกว่านี้เเล้ว เธอก็รู้…ทุกอย่างมันคือข้อมูลภายใน ฉันสามารถบอกได้เท่าที่เธอรู้ เอาล่ะ รีบไปได้เเล้ว ไม่อย่างนั้นเธอจะสายเอาได้”
หลังจากพูดอย่างนั้นจบ ศาสตราจารย์ฉินเเละบรรดาคณะกรรมการคนอื่น ๆ ก็ทยอยเดินจากไป ทิ้งให้กู้จวินถอนหายใจเบา ๆ แล้วเดินกลับเข้าไปข้างในอย่างเศร้าซึมเเละเเอบเคร่งเครียด
‘ตกลง…ประเทศนี้รู้อะไรเกี่ยวฉันกันเเน่!? อะไรคือสิ่งที่ฉันควรจะบอก!?’
นักศึกษาทุกคนที่อยู่ด้านในมองกู้จวินด้วยสายตารังเกียจปะปนอิจฉา พวกเขานั้นคิดว่าศาสตราจารย์ฉินให้คำแนะนำแก่กู้จวินเป็น ‘พิเศษ’ เเละลำเอียงต่อพวกเขาทั้งๆที่เป็นผู้ผ่านการคัดเลือกเช่นกัน
“กู้จวิน มีอะไร? เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า!? หน้าของนายมันดูซีดๆ” ความคิดของหวังรั่วเซียงนั้นแตกต่างจากคนอื่น ๆ และเธอคิดอย่างละเอียดอ่อนมาก อีกทั้งไร้ซึ่งความอิจฉา
นั่นก็เพราะเมื่อไม่นานมานี้ เธอได้เข้าใจนิสัยกู้จวินจริงๆ ขึ้นมาบ้าง และเธอก็สังเกตเห็นว่าใบหน้าของกู้จวินซีดลงหลังจากถูกเรียกพบ ดังนั้นเธอจึงเดาว่าบางทีมันอาจจะเป็นเรื่องไม่ดี
“ไม่เป็นไร! ไม่มีปัญหาอะไรหรอก ขอบใจเธอมาก” กู้จวินส่ายหัวตอบกลับความหวังดีของเพื่อน เเต่มันจะไม่มีปัญหาได้อย่างไร เเต่ถึงจะบอกไปก็ไม่มีใครเข้าใจเขาอยู่ดี พวกนั้นไม่มีวันรู้ว่าวันๆ เขาต้องเเบกอะไรไว้บนบ่าบ้าง
จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็นำผู้ผ่านการคัดเลือกทั้ง 9 คนเข้าไปในลิฟต์ทันที จากนั้นก็ขึ้นลิฟท์เเละเมื่อมาถึงทางเดินบนชั้นสอง ทุกคนก็เห็นว่ามีป้ายเล็ก ๆ ติดอยู่ เเละมันเขียนว่า “ ห้องสัมภาษณ์” ป้ายนี้แขวนอยู่นอกประตูสำนักงานตรงสุดทางเดิน
จากนั้นพวกเขาก็นั่งลงบนเก้าอี้ เเละรอคอยเจ้าหน้าที่มาเรียกอย่างว่าง่าย เพียงเเต่นั่นมันคือสำหรับคนอื่น….สำหรับกู้จวินที่ได้อันดับหนึ่งเขาเป็นคนแรกที่ต้องได้รับการสอบสัมภาษณ์เดี๋ยวนี้เลย
กู้จวินตกใจเล็กน้อย เเต่เขาไม่มีเวลาให้คิดมาก เขาทำได้เพียงเดินไปผลักเปิดประตูสำนักงาน แล้วเข้าไปในห้องสอบสัมภาษณ์ทันที ส่วนนักศึกษาคนอื่น ๆ ก็คอยดูเเผ่นหลังองอาจของเขาที่คอยๆห่างออกไปหลังจากประตูค่อยๆถูกปิด