ห้องสัมภาษณ์นี้นั้นค่อนข้างคับแคบ ไม่มีหน้าต่างใดๆเลยสักบาน ทันทีที่กู้จวินเดินเข้ามา เขาก็เห็นเก้าอี้ตัวหนึ่งอยู่ตรงหน้าเขาและมีเจ้าหน้าที่สามคนนั่งอยู่หลังโต๊ะ
เป็นชายสองคนและหญิงหนึ่งคน ทุกคนนั้นอยู่ในวัยกลางคน พวกเขาไม่แสดงออกทางสีหน้าใดๆทั้งสิ้น กู้จวินลอบมองพวกเขาอย่างละเอียด เเละเขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่เย็นชาซึ่งแตกต่างอย่างมากจากบรรดาคณะกรรมการรอบคัดเลือก ถ้าให้พูดตามตรง…คนพวกนี้เหมือนกับ ‘คนเก็บศพ’ ไม่ก็ ‘ซากศพ’ ซะเอง….
ดวงตาที่แหลมคมของพวกเขาดูเหมือนจะสามารถเจาะเข้าไปในจิตวิญญาณของใครคนใดคนหนึ่งได้ ประดุจว่าความลับใดๆ ก็ไม่อาจจะรอดพ้นสายตาของพวกเขา นั่นทำให้กู้จวินรู้สึกหวั่นในใจเเละจำต้องลอบกลืนน้ำเหนียวลงคอด้วยความหวั่นใจ
กล้องอัดวีดีโอถูกวางไว้ที่มุมห้อง และจอทีวีขนาดกว้างเองก็ถูกแขวนอยู่บนผนังที่อยู่ติดกัน เหนือเก้าอี้มีหลอดไฟนีออนที่ไม่ค่อยจะส่องสว่างแขวนอยู่บนเพดาน มันชวนให้เขานึกถึง ‘ห้องสอบสวน’ ในสำนักงานตำรวจจริงๆ ทั้งเก่าเเละน่าหวาดกลัวอย่างยิ่ง
“ สวัสดีครับอาจารย์” กู้จวินทักทายทั้งสามคนด้วยมารยาทที่สุภาพ เพียงเเต่เขาไม่รู้ว่าทั้งสามคนนี้เป็นใคร พวกเขาไม่พูดอะไรสักนิด…เอาเเต่หน้าบึ้ง เเถมบนโต๊ะยังไม่มีป้ายชื่อหรือเเม้เเต่ชื่อตำเเหน่ง เเล้วเขาจะไปตรัสรู้ได้ยังไง กู้จวินจึงเรียกพวกเขาด้วยคำว่าอาจารย์ ซึ่งเป็นการเรียกกลางๆเท่านั้น ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ
“นั่งสิ! นักศึกษากู้” ชายที่นั่งตรงกลางพูดเชิญชวนกู้จวินนั่นลงที่เก้าอี้ด้านตรงข้าม ลักษณะของชายคนนี้ค่อนข้างน่างกลัว ใบหน้าของเขาดูเหมือนจะสูญเสียคอลลาเจนไปทั้งหมดมีร่องลึกมากมายและริ้วรอยถูกสลักไว้บนใบหน้านั้น ลักษณะของเขาเหมือนเป็นคนกร้านโลกที่เผชิญสิ่งเลวร้ายในโลกนี้มาเเล้วทั้งหมด
ส่วนผู้หญิงคนเดียวนั้น เธอนั่งอยู่ทางด้านขวาเเละสวมแว่นตาหนาเตอะ เธอมีใบหน้าที่คล้ายกับทรงเหลี่ยมๆ และดวงตาของเธอคล้ายกับลูกปัดขนาดเล็ก เป็นผู้หญิงที่ค่อนข้างสะดุดตาเเละทำให้หวาดกลัวในทันทีที่ได้เห็น
ในทางกลับกันผู้ชายอีกคนที่นั่งทางด้านซ้ายมีลักษณะเเบบชาวจีนทั่วไป ทั่วไปเเบบทั่วไปมาก หน้าตาของเขานั้นโครตจะธรรมดา เรียกได้ว่าถ้าโยนลงไปในกลุ่มคน…กู้จวินจะหาคนๆนี้ไม่เจอทันที
พวกเขาทั้งหมดถือปากกายี่ห้อหนึ่ง เเละมีเเฟ้มเอกสารวางอยู่ข้างหน้า สิ่งเหล่านี้ควรเป็นรายละเอียดส่วนตัวของกู้จวินและแบบสอบถามสำหรับการประเมินของเขา
“………..”
กู้จวินไม่มีคำพูดใดๆ เขานั่งลงบนเก้าอี้ด้วยท่าทางที่พยายามเงียบสงบ ทว่าเลนส์กล้องและหลอดไฟหันไปทางด้านข้างของเขา ทำให้กู้จวินรู้สึกถึงเเรงกดดันที่มองไม่เห็น
เเละยังไม่ทันที่กู้จวินจะได้หายใจเพื่อตั้งตัว….เส้นรอยลึกบนใบหน้าของชายที่อยู่ตรงกลางก็กระตุกจนสั่นไปทั้งหน้า และเขารีบปรี่เข้าไปถามกู้จวินอย่างจริงจัง
“พ่อเเม่ของคุณทำอาชีพอะไร….ครอบครัวคุณเป็นยังไง? คุณสามารถให้ข้อมูลของครอบครัวคุณได้หรือไม่?”
“ …”
กู้จวินสบถอยู่ในใจอย่างเกรี้ยวกราด เขาอยากจะชูนิ้วกลางถวายให้ชายคนนี้เเต่พระเจ้ารู้ดีว่าเขาไม่ควรทำ
ประเทศชาติควรจะรู้อย่างถ่องแท้เกี่ยวกับภูมิหลังของเขา ใช่! ประเทศจะต้องรู้ภูมิหลังจริงๆของเขาเเล้วเเน่ๆ ไอ้ความกังวลที่ผ่านมานั่นมันอะไร…กังวลทั้งคืน เตรียมตัวตั้งนานไม่มีประโยชน์โดยเเท้ กู้จวินถอนหายใจด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความหนักอึ้ง เขารู้สึกเบื่อหน่ายเหลือเกินที่วันๆ จะต้องคิดเเต่เรื่องการซุกซ่อนความจริง
“ พ่อเเละเเม่ของผม…พวกท่านทำงานเป็นพนักงานบริษัทครับ ตำเเหน่งนักวิจัยทางวิทยาศาสตร์ของบริษัทที่มีชื่อว่า ‘บริษัทวิจัยเเละพัฒนาไล่เฉิง’ เเต่พวกท่านได้ประสบอุบัติเหตุและเสียชีวิตจากอุบัติเหตุเรืออับปางไปนานเเล้วครับ เเต่ผมสงสัยครับ…ผมคิดมาตลอดว่าพวกเขาต้องยังไม่ตายเพราะเรื่องเเค่นี้เเน่นอนครับ นายจ้างของพวกท่าน ‘บริษัทวิจัยเเละพัฒนาไล่เฉิง’ จะต้องมีความผิดปกติบางอย่างที่ให้ใครรู้ไม่ได้ ดังนั้นผมจึงตัดสินใจที่จะทำการสืบสวนเเละค้นหาความจริงด้วยตนเอง แต่เเม้จะผ่านไปนานหลายปี…เเต่ผมก็ไม่ได้อะไรเลย”
กู้จวินจินตนาการถึงสถานการณ์ดังกล่าวในใจแล้ว จริงๆ เขาคิดเรื่องนี้มาตั้งเเต่เมื่อคืน…เเละผ่านการคิดอย่างถี่ถ้วนมาเเล้วกว่า 100 ครั้ง มันทำให้เขาทราบคำตอบของตนเองว่า…จะเปิดเผยเรื่องนี้ไปซะเลย!
เนื่องจากเขาตัดสินใจที่จะสารภาพความจริงเเล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่ควรปิดบังอะไรอีก มิฉะนั้นมันอาจจะดูเหมือนว่าเขาจะมีแรงจูงใจแอบแฝงหากเขาถูกบังคับให้เปิดเผยความจริงในภายหลัง
เป็นเรื่องที่เห็นกันบ่อยๆในฉากการสืบสวนสอบสวน คนร้ายมักจะไม่สารภาพเเละเอาเเต่พูดโกหกไปเรื่อย…เเต่เมื่อถูกบังคับให้มาเจอหลักฐานมากๆเข้า เขาก็จนมุม…สุดท้ายก็ต้องเผยความจริงออกมาอย่างเลี่ยงไม่ได้
เเละจุดจบของคนประเภทนี้มักไม่ดีสักเท่าไหร่!
หรือต่อให้มีบทลงโทษ…ไม่ต้องเดาเลยว่าคนที่ไม่สารภาพ กับคนที่บอกหมดเปลือก คนไหนจะโดนอะไรมากกว่ากัน…ความจริงมันเห็นๆอยู่เเล้ว
กู้จวินสูดหายใจเข้าลึกอีกที เเละกล่าวความจริงออกมา
“ที่จริง…สถานการณ์ของผมตอนนี้ไม่ดีสักเท่าไหร่ครับ! มีชายคนหนึ่งติดตามผมเมื่อไม่นานมานี้ ผมสงสัยว่าเขามาจากไล่เฉิง แต่ผมไม่รู้ว่าเขามีจุดประสงค์อะไรกันเเน่ ผมหวังว่าพวกคุณจะช่วยไขข้อสงสัยเหล่านี้ให้ผมได้”
ผู้สัมภาษณ์ทั้งสามคนต่างจ้องมองมาที่กู้จวินด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึม เเละไม่ละสายตาไปจากกู้จวินเลยเเม้เเต่น้อย เเต่ในขณะเดียวกันพวกเขาก็ใช้ปากกาของพวกเขาก็เขียนอะไรบางอย่างในเเฟ้มเอกสารเบื้องหน้านั่น
“ คุณรู้อะไรเกี่ยวกับบริษัทไล่เฉิงบ้าง!?” ชายคนนั้นถามอีกครั้ง คราวนี้เขาเตรียมปากกาเเละพร้อมจดอย่างดี ใบหน้าของเขาเคร่งเครียดกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด เเต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรนอกประเด็นกู้จวินจึงจับพิรุษใดๆไม่ได้
“ ในทางปฏิบัติไม่มีอะไรที่ผมรู้เลย แต่ตอนนี้ผมรู้สึกว่าพวกเขาเป็น…องค์กรลับบางอย่าง” กู้จวินตอบตามความจริง ไล่เฉิงนั้นต้องมีความลับอะไรซ่อนอยู่เเน่! พวกเขาระรานชีวิตกู้จวินจนกินไม่ได้นอนไม่หลับมานานเนิ่น หลังจากเจอชายคนนั้น กู้จวินมั่นใจว่าเขาเคยเจอชายคนนั้นมาก่อน…เป็นไปได้ว่าชายคนนี้อาจจะตามกู้จวินมาตั้งเเต่เขายังเด็กเเล้วก็ได้
“ อะไรทำให้คุณคิดอย่างนั้น?”
“ ผมเดาว่าเป็นลางสังหรณ์ครับ” กู้จวินกล่าวตามความจริง เพราะเขาไม่มีหลักฐานยืนยันอะไรสักอย่าง…อย่าว่าเเต่หลักฐาน ความระเเวงทุกวันนี้เกิดมาจากการนั่งนอนมโน
พวกเขาไม่ได้พูดอะไรอีก และยังคงเขียนข้อความอะไรก็ไม่รู้ต่อไปในเเฟ้มเอกสารอย่างเมามัน จากนั้นหญิงสาวหน้าเหลี่ยมก็เอ่ยถาม
“ได้ยินว่าคุณป่วย! คุณมีเนื้องอกที่ก้านสมองในระยะลุกลามแล้ว ทำไมคุณถึงตัดสินใจเข้าร่วมการแข่งขันอีก!?” คำถามนี้ทำให้กู้จวินตกใจเล็กๆ จนเลือดในกายนั้นเย็นเฉียบ มือของเขาที่ซ่อนอยู่ใต้โต๊ะเริ่มมีเหงื่อผุดขึ้น จริงๆ เขาก็คาดการณ์ไว้เเล้วว่าทางผู้จัด…ไม่สิ ประเทศ! พวกเขามีพลังมากพอที่จะดูอะไรก็ได้ที่อยากดู เเละอาการป่วยของกู้จวินมันจะรอดพ้นไปได้ยังไง
“ เพราะผมต้องการเข้าสู่วงในของวงการนี้ครับ” ขณะที่กู้จวินพูดคำตอบนี้ เขาก็มีสติมากขึ้นเรื่อย ๆ เขาเริ่มตระหนักเเล้วว่าให้ประเทศรู้เรื่องเขาบ้างมันก็เป็นเรื่องดี….
“ ผมคิดว่าเรื่องที่พ่อแม่ของผมทำ มันน่าจะเกี่ยวข้องกับแวดวงนี้” กู้จวินตอบด้วยความมั่นใจ
“ทำไมคุณถึงคิดอย่างนั้น ?” ผู้หญิงคนนั้นถามอีกครั้ง คราวนี้น้ำเสียงของเธอค่อนข้างเข้มเล็กน้อย
“ ระหว่างไปเที่ยวทัวร์ดำน้ำลึกที่ลองกาน ผมได้ยินสิ่งที่หลี่เยี่ยรุ่ยและคนอื่น ๆ พูดคุยเกี่ยวกับข่าวบางอย่างและเรื่องลับๆในเเวดวงการรวมถึงข่าวลือแปลก ๆ เกี่ยวกับลองกาน หลังจากนั้นน้ำวนลึกลับก็ปรากฏขึ้นที่ก้นทะเล พ่อแม่ของผมก็หายไปจากที่นั่น เเละไม่กี่วันที่ผ่านมา ผมเริ่มเชื่อว่าโลกนี้มีเรื่องลึกลับจริง…เช่นเดียวกับน้ำวนลึกลับใต้ทะเล เมื่อผมได้เห็นผู้ป่วยโรคมนุษย์ต้นไทร ผมก็รู้ว่า….โลกนี้ยังมีสิ่งที่คาดไม่ถึงอีกเยอะ ดังนั้นเพื่อค้นหาสิ่งเหล่านั้นเเละเบาะเเสพ่อเเม่ที่หายสาปสูญ…ผมถึงจะต้องเข้าวงการเเพทย์เบื้องหลังให้ได้ครับ”
คำอธิบายของกู้จวินส่วนใหญ่เป็นความจริง มีเพียงลำดับของเหตุการณ์นั้นที่ถูกปรับสลับกันอย่างเเยบยล อะไรที่ไม่จำเป็น เขาก็ไม่พูด…อย่างเช่นการมีอยู่ของระบบ….ดังนั้นเขาจึงพูดได้อย่างเป็นธรรมชาติมาก
“ คุณเห็นอะไรที่ด้านล่างของลองกาน!?” ชายที่อยู่ตรงกลางถามอีกครั้ง
กู้จวินรู้อยู่เเล้วว่าเขาจะต้องถามคำถามนี้แน่ ๆ ดังนั้นกู้จวินจึงเวียนท่องคำตอบมาตลอดทั้งคืน เขาซ้อมอย่างหนักจนเเทบไม่ได้นอน
“ ตอนนั้นมันวุ่นวายมากครับ นอกหน้าต่างก็มืดมากและน้ำทะเลก็ไหลเชี่ยวอย่างคาดไม่ถึง หลังจากนั้นก็มีฝูงปลาที่ตกใจกลัวอีกหลายตัวที่พยายามจะหนี พวกมันว่ายหนีเเล้วมีผ่านหน้าต่างที่ผมนั่งมองจนหมด ผมเลยไม่เห็นอะไรสักอย่างครับ”
จากนั้นเขาก็หยิบโทรศัพท์มือถือของหลี่เยี่ยรุ่ยออกจากกระเป๋าโดยสมัครใจและพูดด้วยน้ำเสียงกระตือรือล้น
“ นี่คือโทรศัพท์มือถือของหลี่เยี่ยรุ่ย…หนึ่งในเพื่อนร่วมทัวร์ของผม ตอนกลับผมได้รับแพคเกจจดหมายเเปลกๆ จากมัลดีฟส์ ผมไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันเเน่โทรศัพท์ถึงได้มาอยู่ที่ผม แต่ผมรู้สึกว่าพวกเขาถูกจับโดยหน่วยงานภายในของรัฐที่อยู่เบื้องหลัง เเละอาจจะมีเเนวโน้มว่าเป็นความลับ เเละผมคาดเดาเอาเองว่าหลังจากที่เสร็จสิ้นการท่องเที่ยวที่ลองกาน พวกเขาคงถูกจับตัวไป เเละโทรศัพท์เครื่องนี้…เป็นไปได้ว่าพวกเขาจะส่งมาให้ผมก่อนที่จะถูกจับ” กู้จวินรายงานตามสิ่งที่เขาคาดเดา เเน่นอนว่าคำพูดของเขานั้นเเม้เเต่ตัวของกู้จวินเองก็ยืนยันไม่ได้
“คุณเก็บโทรศัพท์เข้าไปก่อน…หลังจากเสร็จสิ้นการสัมภาษณ์จะมีคนไปพบคุณ” ชายคนนั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา เเละไร้อารมณ์อย่างยิ่ง
กู้จวินพยักหน้าตกลง และนำโทรศัพท์ของหลี่เยี่ยรุ่ยกลับเข้าไปในกระเป๋าเสื้อตามที่เขาได้วางเเผนเเละคาดการณ์ไว้
‘กะเเล้ว…ว่าพวกเขาต้องเอา หึๆ’
“ คุณคิดว่าเราจะจ้างคุณหลังจากได้รู้เกี่ยวกับสภาพร่างกายของคุณหรือไม่?” ผู้หญิงคนนั้นถามด้วยน้ำเสียงธรรมดา
“ ใช่ครับ! เพราะอาการของผมเองก็ยังคงทรงตัวอยู่ ไม่ได้ย่ำเเย่ บางทีผมอาจจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่กี่ปี….บางทีอาจจะสองหรือสามปี”
กู้จวินหัวเราะเยาะสภาพร่างกายตัวเองอย่างปลงตก เเละหลังจากนั้นเขาก็พูดต่อ…เเละคำนี้ก็คือ คำตอบที่เขานึกมาทั้งคืนด้วยเช่นกัน
“งั้น…ทางเเผนก ไม่สิ ทางองค์กรของคุณมั่นใจเหรอว่า ‘มนุษยชาติ’ จะยังอยู่ได้อีกหนึ่งหรือสองปี!?”
แน่นอนว่าทั้งสามคนไม่ตอบคำถามเรื่องนี้ เเละไม่มีร่องรอยของความผันผวนทางอารมณ์บนใบหน้าด้วย แต่พวกเขายังคงจดบันทึกต่อไปราวกับไม่ได้สนใจที่กู้จวินพูด
“ ทำไมคุณถึงคุ้นเคยกับตัวอย่างหน้าอกของตัวอย่างศพนั่น!?” ชายที่อยู่ตรงกลางถามอีกครั้ง เเละคำถามครั้งนี้กระเเทกใจกู้จวินอย่างเเรงจนเขาเเทบหน้าซีด