กู้จวินตัวแข็งด้วยความตกใจเล็กน้อย ปัญหานี้เป็นสิ่งที่เขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะถูกถาม
เเละทันใดนั้นเองกู้จวินก็ตระหนักได้ทันทีว่าเนื่องจากเขาแสดงอาการเสียความสงบอย่างเห็นได้ชัดออกไป เขาจึงรีบทำตัวให้ปกติทันที เขาอุทานด้วยเสียงงุนงงขึ้นมาทันที ‘เอ๋!!!’
“คุ้นเคย? คุณหมายถึงอะไร? ผมเรียนแพทย์นะครับ เมื่อผมได้สัมผัสพื้นผิวของศพนั้น ผมก็พบว่าผิวหนังนั้นเป็นผิวหนังที่ตายแล้วทั้งหมด หน้าอกของศพนั้นถูกปิดกั้นโดยกระดูก [ลาเมลน่า] และยังเชื่อมต่อกับกระดูกซี่โครง ความคิดของผม คือการเอากระดูกนั้นออกก่อนที่ผมจะผ่าตัดเข้าไปในทรวงอก….มันเป็นธรรมดาอยู่เเล้วที่ผมจะเดาได้เเละผ่าเป็น”
ตรรกะที่เขาให้นั้นดูสมเหตุสมผลอย่างสมบูรณ์ แม้ว่าจะไม่มีการอ้างอิงทางกายวิภาคที่ไม่สมบูรณ์ แต่ก็มีความเป็นไปได้ทั้งหมดที่จะเกิดขึ้น ใช่! อย่างน้อยกู้จวินก็เป็นอัจฉริยะภาพคนหนึ่ง
ในขณะที่ชายคนนั้นบันทึกคำตอบของเขา ผู้หญิงคนนั้นก็เข้ามาคุยอีกครั้ง
“ คุณคิดอย่างไรกับโรคมนุษย์ต้นไทร? โปรดใช้คำสองสามคำเพื่ออธิบายความคิดของคุณ”
กู้จวินจำได้ว่าเขารู้สึกว่าต้นไทรนั้นสวยงามเเละแปลกตา บางทีอาจเป็นการดีกว่าที่จะตอบแบบเดิม ๆ ว่า“ น่าขยะแขยง”? เเล้วอีกอย่างหนึ่ง…เนื่องจากการตอบคำถามก่อนหน้านี้ของเขา หากเขาตอบคำถามนี้อย่างคลุมเครือคำพูดทั้งหมดที่เขาพูดจนถึงตอนนี้อาจสูญเสียความน่าเชื่อถือ
หลังจากความคิดนี้แวบเข้ามาในใจ เขาก็ตัดสินใจที่จะพูดความจริง
“ น่ากลัวและบิดเบี้ยว แต่มันน่าสนใจและงดงามมาก”
ผู้สัมภาษณ์ทั้งสามยังคงไม่แสดงออก ในตอนนั้นหญิงสาวคนกลางหยิบรีโมทคอนโทรลขึ้นมา และกดมันสองสามครั้ง ทันใดนั้นโคมไฟเหนือเก้าอี้ก็สว่างขึ้น และแสงไฟนั้นได้ส่องสว่างอย่างท่วมท้น กู้จวินทำได้เพียงแค่หรี่ตาเเคบลงรู้สึกไม่สบายตาเอาเสียเลย …
“ นักศึกษากู้โปรดดูที่หน้าจอ” ผู้หญิงคนนั้นพูดเเล้วหันไปทางจอด้านข้าง
กู้จวินหรี่ตาและเห็นภาพที่น่าขนลุกปรากฎอยู่บนหน้าจออย่างเงียบ ๆ
มันคือภาพนิ้วมนุษย์ ฝูงหนอน ประภาคารริมทะเลยามค่ำคืน ป่าแห้งในภูเขา…
ยิ่งเขามองมากเท่าไหร่ ความรู้สึกบีบคั้นในใจของเขาก็ยิ่งรุนแรงขึ้น
ในสิบนาทีต่อมา กู้จวินไม่รู้ว่าเขาเห็นภาพต่างๆกี่ภาพและความรู้สึกบีบคั้นก็ค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นความหดหู่และความไม่สบายเนื้อสบายตัว
จู่ๆเขาก็ได้ยินเสียงที่ไม่คุ้นเคย ซึ่งคนพูดนั้นเป็นคนทางซ้ายที่ยังไม่ได้พูดอะไรกับเขามาตั้งเเรกเลย เเละเช่นเดียวกับสองคนเเรก….ไม่มีร่องรอยของอารมณ์ในเสียงของเขา
“นักศึกษากู้ ฉันจะถามคำถามคุณต่อ เเละคุณต้องตอบด้วยหนึ่งในสามคำตอบที่ฉันจะบอกให้ ให้เลือกเอาที่ตรงใจคุณที่สุด
ถ้าตอบ A คือ ใช่
ถ้าตอบ B อยู่ระหว่างใช่และไม่ใช่
ถ้าตอบ C สำหรับไม่ใช่
คุณต้องตอบภายใน 5 วินาทีเท่านั้น ไม่ว่าคุณจะตอบหรือไม่ก็ตาม ฉันจะถามคำถามต่อไปหลังจาก 5 วินาที “
กู้จวินได้ยินสิ่งนี้และเข้าใจจุดประสงค์ที่อยู่เบื้องหลังสิ่งนี้ทันทีนั่นคือการประเมินทางจิตวิทยาเป็นการทดสอบบุคลิกภาพ
เพื่อจีบสาวในอดีต เขาได้หยิบความรู้เกี่ยวกับจิตวิทยาการแพทย์มาบ้าง ทางเลือกของ A, B และ C ควรเป็นไปตามแบบจำลองของ
<< แบบสอบถามปัจจัยบุคลิกภาพสิบหกเเบบของเเคสเติลล์ >>
ผู้ทดสอบจะถูกให้คะแนนตามคำตอบของเขา และคะแนนของผู้ทดสอบจะถูกจัดทำเป็นตารางเพื่อกำหนดประเภทบุคลิกภาพของผู้ทดสอบ
จู่ๆ กู้จวินก็รู้สึกว่านี่คือจุดประสงค์ที่แท้จริงเบื้องหลังการสัมภาษณ์
ประสบการณ์ชีวิตและความเจ็บป่วยของเขาไม่ได้เป็นจุดสนใจเท่าไหร่ รัฐมีความกังวลมากขึ้นหากเขา “ปลอดภัย” ซึ่งนั่นจะไม่สะดวกที่จะใช้งานเลย
หากจิตวิทยาและบุคลิกภาพของเขาถูกพิจารณาว่าไม่เหมาะสมกับงานประเภทนี้ก็จะไม่ได้ผลอย่างแน่นอน
“ ปีศาจมีอยู่บนโลกหรือไม่?” ผู้ชายทางซ้ายถามคำถามแรกออกมา
5 วินาที 4 วินาที 3 วินาที กู้จวินยังคงเงียบ …
มีปีศาจอยู่บนโลกหรือไม่?
อะไร!? ยังไง!? ปีศาจแบบไหน? ปีศาจเชิงเปรียบเทียบ? หรือมารศาสนา? มารเเท้หรือมารเทียม!? หมายถึงคนที่จิตใจชั่วร้ายหรือเปล่า!?
กู้จวินไม่ได้โง่! เขารู้ดีว่าคำว่า ‘ปีศาจ’ เเละการ ‘ตีความ’ มัน เป็นส่วนหนึ่งของการทดสอบ
เพื่อที่ผู้สัมภาษณ์จะได้ทำความเข้าใจเเละรู้ตัวตนของผู้สมัครเกี่ยวได้อย่างชัดเจน ซึ่งแบบสอบถามอาจสะท้อนถึงจิตสำนึก คุณลักษณะส่วนบุคคล และความเชื่อของบุคคลได้
ปีศาจที่อยู่ในความคิดของเขาตอนนี้คือปีศาจทางศาสนา! อย่างไรก็ตามเขาไม่แน่ใจเกี่ยวกับคำตอบนี้เหมือนกัน เขาเป็นนักศึกษาเเพทย์! ที่สำคัญมีปีศาจที่ไหนที่วิทยาศาสตร์อธิบายได้กัน? ถ้าวิทยาศาสตร์อธิบายได้…คำว่าไสยศาสตร์คงไม่เกิด
ถ้าเป็นไม่กี่เดือนก่อนกู้จวินอาจจะบอกว่า ‘ไม่’ เเต่เห็นได้ชัดว่าตอนนี้มันแตกต่างกันเเล้ว! ประสบการณ์ชีวิตไม่กี่เดือนที่ผ่านมานับตั้งได้รับระบบ ชีวิตของเขาเเละวิทยาศาสตร์มันก็เป็นอะไรที่ค่อยๆห่างไปทุกทีๆ
ในขณะที่เวลาผ่านไป 5 วินาที เขาก็ตอบว่า“ ใช่”
ในขณะที่เขาตอบคำถามนี้ ผู้สัมภาษณ์ทั้ง 3 คนก็เขียนลงบนเอกสารตรงหน้าอย่างรวดเร็ว
เเน่นอนว่ากู้จวินไม่รู้ว่าอะไรคือคำตอบที่เเท้จริงเเละได้คะเเนนดีที่สุด
ตามปกติการตอบคำถามในเชิงเเบบทดสอบนี้ ถ้าตอบตรงกับจุดประสงค์มักจะได้ 2 คะเเนน เเละสำหรับคำตอบที่แตกต่างกันคะเเนนก็คือ 0 คะแนนสุดท้ายคือ 1 คะแนนสำหรับการตอบกลับที่เป็นกลาง
ชายหน้าเหลี่ยมทางด้านซ้ายถามอีกครั้ง “ คุณอยากไปสวรรค์หลังความตายไหม!?”
“ใช่” ใครมันจะอยากไปนรก ปัญญาอ่อนหรือเปล่า!? กู้จวินเเค่นเสียงเหอะในใจเบาๆ
“ สุนัขจรจัดตัวหนึ่งถูกทิ้งลงทะเลและจมน้ำตาย นั่นทำให้คุณเศร้าหรือเปล่า”
“เเน่นอน…ใช่” กู้จวินรู้สึกเศร้าจริงๆ นี่ไม่ได้เสเเสร้ง
“ คนแปลกหน้าตายจากไป เมื่อเทียบกับสุนัขที่ตายจากไป อย่างไหนที่ดึงดูดใจคุณมากกว่ากัน?”
คำถามนี้เป็นคำถามที่แปลกจริงๆ เพราะหนึ่งคำถามดันมีสถานการณ์ที่แตกต่างกัน เเละคำตอบที่ถูกต้องจะเปลี่ยนไปอย่างมาก เเละคะเเนนก็ด้วย ทันใดนั้นจิตใจของกู้จวินก็พลันดิ่งลง เขารีบคิดถึงความเป็นไปได้ในจิตใจของตนเองทันที
จะเป็นอย่างไรถ้าคนแปลกหน้าคนนั้นเป็นฆาตกร?
จะเกิดอะไรขึ้นถ้าสุนัขตัวนั้นเป็นคู่หูที่ดีที่สุดของฉัน เเละฉันเลี้ยงมันมาหลายปี?
ว่าเเต่…ทำไมฉันไม่คิดว่าเป็นคนจะเป็นคนดี เเละสุนัขคือสุนัขที่ชั่วร้าย?
หรือว่าที่จริงฉันเชื่อว่าสุนัขมีความเมตตามากกว่ามนุษย์ถูกหรือไม่?
นี่เป็นคุณลักษณะส่วนตัวของฉันเกี่ยวกับความเข้าใจโลกใบนี้หรือเปล่า?
หลังจากครุ่นคิดแล้วกู้จวินก็ต้องเลือกสักคำตอบ
“ฉันไม่เเน่ใจ…”
“ คุณชอบอารมณ์ที่รุนแรง และมักมีความหลงใหลอย่างบ้าคลั่ง?”
“ฉันไม่เเน่ใจ….”
“ คุณคิดว่าคนบ้านั้นน่ารังเกียจหรือเปล่า?”
“ ฉันไม่เเน่ใจ….”
ไม่ว่ากู้จวินจะตอบอย่างไร ไม่ว่าจะขมวดคิ้วเเค่ไหน คำตอบที่หลุดออกมาจากปากของเขาทุกอย่างล้วนเเต่ไม่เป็นที่สนใจของใครเลย
ผู้สัมภาษณ์ทั้ง 3 คนยังคงเย็นชาและไม่แสดงออกทางอารมณ์ใดๆทั้งสิ้น การพูดของผู้ชายหน้าเหลี่ยมก็ยังคงใช้น้ำเสียงโทนเดิมซ้ำซากจำเจเเละไต่ถามด้วยคำถามที่ชวนให้กู้จวินสับสน
“ ในฐานะหมอ คุณจะช่วยชีวิตคนชั่วได้ไหม?”
กู้จวินนิ่งงันอีกครั้ง นี่เป็นคำถามเกี่ยวกับศีลธรรมของเขาสินะ ในฐานะแพทย์….คำตอบที่ถูกต้องคือช่วยชายคนนี้
พวกเขาควรทำหน้าที่ของตนและฝากผลการตัดสินไว้ที่ผู้ประกอบวิชาชีพกฎหมายอย่างตำรวจ อย่างไรก็ตาม…..ไม่มีทางที่ความเป็นจริงจะเรียบง่ายเช่นนั้น เพราะคนชั่วเเละคนดีย่อมเเตกต่าง…ถ้ากู้จวินจะช่วยคนชั่วจริง เเละเป็นคนดีเช่นนั้นจริง เรื่องเเก้เเค้นกับตามหาพ่อเเม่คงจบลงไปนานเเล้วด้วยการปล่อยวาง ดังนั้นกู้จวินจึงเลือกตอบ “ ฉันไม่เเน่ใจ”
“ คุณคิดว่าอดีตของคุณเป็นเรื่องจริงหรือไม่?”
ยังมีคำถามแปลก ๆ ตามมาเรื่อยๆ เเละมันทำให้กู้จวินต้องคิดมาก เขาได้เชื่อมโยงความคิดของเขาเข้ากับการทดลองแบบ ‘double-slit’ ของกลศาสตร์ควอนตัม จากนั้นเขาก็ตอบว่า “ ฉันไม่เเน่ใจ”
“ ความรู้เป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดหรือ?”
กู้จวินตอบ “ไม่”
“ คุณต้องการอำนาจหรือไม่?”
“ใช่”
“ ความหมายของชีวิต ขีดจำกัดของวิทยาศาสตร์และความจริงของจักรวาล คุณสนใจเรื่องนี้หรือไม่?”
“ใช่” กู้จวินชอบปริศนาทุกประเภท…เเละอะไรที่เขาไม่รู้มันจะทำให้เขานอนไม่หลับทั้งคืน
“ เพื่อคำตอบเหล่านี้ คุณจะเสี่ยงทุกอย่างหรือไม่? ”
กู้จวินตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง เสี่ยงทุกอย่าง? นี่เป็นคำพูดที่มีน้ำหนักและแน่นอน แต่ถ้าเขาต้องตอบคำถามนี้จริงๆ เเน่นอนว่า…..
กู้จวินตอบว่า “ ฉันไม่เเน่ใจ….” เขาสามารถเพิกเฉยต่อความปลอดภัยของตัวเองได้ แต่เขาไม่ต้องการทำร้ายผู้อื่น….อย่างน้อยเขาก็เป็นคนดี!
“ คุณไว้วางใจในความสัมพันธ์ในครอบครัวหรือไม่?”
“ใช่” กู้จวินตอบอย่างไม่ลังเล เขารักพ่อเเม่มาก เเม้หน้าจะจำไม่ได้เเล้วก็ตาม….
“ คุณเชื่อใจในมิตรภาพไหม”?
“ใช่” กู้จวินคิดว่าเพื่อนของเขาเเต่ละคนนั้นนิสัยดีมากๆ
“ คุณเชื่อใจในความรักไหม?”
“……..”
คำถามสั้น ๆ นี้ทำเอาคาสโนว่ากู้จวินหยุดชะงัก ความรัก? สิ่งนี้ซับซ้อนกว่าคำถามเดิมๆมาก
เขาเชื่อโลกนี้มีสิ่งที่เรียกว่ารัก! เเละเขาก็คิดว่าความรักก็มีกฎเกณฑ์ของมัน เเละถ้ามันเป็นไปตามกฎเกณฑ์ นั่นจะเรียกว่าความรัก…ใช่ไหม? กู้จวินเองก็ไม่มั่นใจเหมือนกัน ถึงเขาจะมีผู้หญิงพันคนที่ร่วมหอลงโลงกันเเบบชั่วคราวในผับเเละบาร์ เเต่จนป่านนี้ความรัก มันก็ยังเป็นสิ่งงี่ดูเเล้วเเปลกสำหรับเขาอยู่ดี
กู้จวินจึงเลือกตอบว่า “ ไม่เเน่ใจ…อาจจะทั้งสองอย่าง”
“ คุณเชื่อไหมว่ามีความจริงทางปรัชญาที่ลึกลับกว่ามนุษย์บนโลกใบนี้?”
ความคิดของกู้จวินหยุดไปชั่วขณะ เขาทราบว่ามนุษย์เป็นส่วนเล็ก ๆ ของจักรวาล ชีวิตก็สั้น…เต็มที่ก็ไม่มีใครอยู่นานเกิน 150 ปี เเล้วเราจะเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้ได้อย่างไร?
เเต่เขาก็ตอบว่า “ ใช่” อยู่ดี…กู้จวินคิดว่าการไม่ทำตัวเเปลกมันน่าจะดีกว่าถูกไหม?
“ ความจริงเหล่านี้สำคัญกว่าความสำคัญของครอบครัว เพื่อนและคนรักของคุณหรือไม่?”
มาเเล้ว…คำถามเด็ด!!