ทันใดนั้นเมฆสีดำเเห่งลางร้ายก็ปรากฏขึ้นเหนือหัวใจของกู้จวินอย่างเชื่องช้า และมันก่อตัวขึ้นโดยที่เขาไม่รู้ตัว เมื่อนึกถึงคำถามเเละคำตอบที่เตรียมมันก็ทำให้กู้จวินตั้งรู้สึกเหน็ดเหนื่อยใจหัวใจจนเขาต้องถอนหายใจออกมาเบา ๆ
ดังนั้นกู้จวินจึงตอบเเบบโกหกให้มันผ่านๆไป “ ฉันไม่เเน่ใจ”
เเละมันก็เหมือนเดิม…คราวนี้ชายหน้าเหลี่ยมก็เริ่มลงมือเขียนเอกสารอีกครั้ง เเน่นอนว่าเขาเว้นวรรคเพื่อรอกู้จวินตอบก่อนที่เขาจะลงมือเขียน
เมื่อคำถามถูกถามออกมาทีละคำถาม เเต่กู้จวินก็ตอบทุกอย่างภายใน 5 วินาทีตามคำสั่งเเบบเป๊ะๆ เเละทุกคำถามที่โจมตีเข้ามา…ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่าว่าคำถามมันเริ่มจะมีสีเทาปะปนด้วย ศีลธรรมที่ได้รับการอบรมมาตั้งเเต่เด็กเริ่มถูกท้าทายขึ้นเรื่อยๆ ทำให้กู้จวินเริ่มรู้สึกถึง ‘จิตสำนึก’ เเละ ‘สันดาน’ ของเขาที่เเท้จริงที่ค่อยๆทยอยเปิดเผยออกมา ด้วยการตอบคำถามกู้จวินก็สามารถสัมผัสได้ถึงรูปแบบความคิดของตัวเขาเอง อย่างไรก็ตามมันเป็นสิ่งแปลกใหม่สำหรับตัวเขา และไม่เหมือนกับศีลธรรมที่ได้รับการปลูกฝังมาจากโรงเรียนตั้งเเต่ยังเด็ก
นอกจากนี้เขายังได้รับความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นเกี่ยวกับการทดสอบบุคลิกภาพที่ผิดปกตินี้มากขึ้นจนเขาสามารถระบุได้เเล้วว่าคำถามพวกนั้นนำมาจากไหนเเละมีจุดประสงค์อะไร…ทำยังไงคะเเนนถึงจะได้เยอะๆ เเละผ่านการทดสอบได้!
เเบบทดสอบการสอบสัมภาษณ์ครั้งนี้ก็เหมือนกับ “ แบบสอบถามปัจจัยบุคลิกภาพ 16 ประการของเเคสเทลล์” นั่นเเหละ เเละการทดสอบบุคลิกภาพ 16 ประเภท ก็เเบ่ง 16 อย่าง อาทิ ความกล้าหาญ ทักษะทางสังคม ความมั่นคงทางอารมณ์ การใช้เหตุผล ความเป็นนามธรรม เเละอื่น ๆ
นอกจากนี้ยังมีการทดสอบอื่น ๆ จากทฤษฎีคนอื่นๆ มาผสมปนเปอีกด้วยเช่น ‘แบบสอบถามบุคลิกภาพของ Eysenck’ เเละ ‘การทดสอบการมีส่วนร่วมและการพัฒนาของโรคประสาทและโรคทางจิตเวช’ เเม้เเต่เเบบวัดผลประเมินผลด้วยตนเองยังถูกเอามาดัดเเปลงเเล้วมาถาม…นอกจากนี้ยังมีทฤษฎีของผู้ที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ อีกมากมาย
ทว่า! นี่มันไม่เหมือนกับการทดสอบทั่วไปที่เคยเอามาใช้ในการสอบวัดระดับทางจิตวิทยาที่เคยเล่นเลย
การทดสอบที่พวกเขาจัดทำเเละเอามาถามนี้ มันดูเหมือนจะวัดความเข้าใจของเขาเกี่ยวกับมนุษย์…ใช่! มนุษย์ต่างดาว วัตถุประหลาด เศษซากจิตวิญญาณ ถูกและผิดและอื่น ๆ
จากนั้นพวกเขาก็จะรวมคะเเนนเเล้วประเมินประเภทบุคลิกภาพของเขาออกมา เเละหลักเกณฑ์การประเมินก็คงเเอบทำเองในเเผนกเเบบเงียบๆ ด้วย ดังนั้นเเล้วเนื่องจากถูกดัดเเปลงคำถาม…ฉะนั้นมันก็ชัดเจนว่าเกณฑ์การให้คะเเนนมันก็ต้องเปลี่ยนไปด้วย ดังนั้นกู้จวินจึงตอบคำถามตามหลักที่คิดว่าใช่ เเละพยายามทำตัวให้น่าสงสัยน้อยลงกว่าเดิม
เมื่อคำถามสิ้นสุดลงก็เป็นเวลาอีกครึ่งชั่วโมงต่อมาเเล้ว กู้จวินรู้สึกว่าตัวเขาได้ตอบคำถามมากกว่าสามร้อยข้อไปเเล้ว…ตอบจนตอนนี้เขาเองก็มึน เวียนหัวเเละยังจำคำถามที่ผู้สัมภาษณ์ทั้งหมดถามเขาได้เลย เชื่อไหม? ตอนนี้สมองของเขายังท่องมันออกมาได้ อาทิ!
“คุณคิดว่าปีศาจมีจริงไหม!?”
“คุณคิดว่าระหว่างสุนัขที่ถูกทิ้งลงแม่น้ำกับคนที่กำลังจะตาย เหตุการณ์ไหนที่น่าสงสารกว่ากัน!?”
“คุณคิดว่าเทพเจ้ามีจริงไหม!?”
“สำหรับคุณแล้วสิ่งที่สวยงามคืออะไร!?”
“ถ้าให้เลือกระหว่างชีวิตของคุณกับคนรักคุณเลือกอะไร”!?
“วันหนึ่งถ้าคุณตกไปอยู่ในโลกที่แปลกประหลาด คุณจะเลือกที่จะใช้ชีวิตต่อหรือจบชีวิตตัวเองเพื่อหลีกหนีความแปลกประหลาดนั้น!?”
“ถ้าคนป่วยของคุณเป็นฆาตกรที่แสนโหดเหี้ยมฆ่าคนมากว่า 100 ศพและมีวีรกรรมที่เลวร้ายมากมาย หากทุกคนคัดค้านไม่ให้คุณรักษาเขา คุณจะปล่อยวางหรือรักษาเขาล่ะ!?”
“คุณคิดว่าจรรยาบรรณแพทย์สำหรับคนชั่วแล้วเป็นอย่างไร!?”
แน่นอนว่าคำตอบของเขาที่เตรียมเอาไว้ ก็คือคำตอบตามหลักแนวคิดที่ทำยังไงให้ได้คะแนนมากที่สุด
“ใช่”
“ไม่ใช่”
“ดีใจ”
ทันทีที่คำถามออกมาไม่ถึง 2 วินาที กู้จวินก็สามารถบอกคำตอบได้… ที่จริง ควรจะเรียกว่าเดาคำตอบดีกว่า เพราะเขาตอบคำถามตามหลักที่ว่าตอบยังไงให้ได้คะแนนมากที่สุด จากนั้นก็ตอบมันลงไป
“ คุณคิดว่าตัวเองเป็นคนสำคัญหรือเปล่า?”
“ ไม่เเน่ใจครับ…”
เมื่อกู้จวินตอบคำถามนี้เสร็จ ชายที่มีใบหน้าสี่เหลี่ยมก็พยักหน้าเล็กน้อย
“ โอเค! การทดสอบจบลงแล้ว”
แม้จะมีคำสั่งว่าการทดสอบจบเเต่เเท้จริงมันเพิ่งเริ่ม ชายหน้าเหลี่ยมเก็บเอกสารฉบับนั้นกลับลงไปเเละหยิบเอกสารฉบับใหม่ขึ้นมา จากนั้นเขาก็มองหน้ากู้จวินด้วยเเววตาเฉยเมย ก่อนที่จะเริ่มเอ่ยปากพูดกับกู้จวิน
“กู้จวิน! ต่อไปจะเป็บเเบบทดสอบชุดใหม่ คราวนี้ฉันจะพูดคำขึ้นมาหนึ่งคำ…จากนั้นคุณจะต้องบอกความหมายออกมาใน 2 วินาที เข้าใจไหม?” ชายหน้าเหลี่ยมเอ่ยปากถาม จากนั้นเขาก็สังเกตปฏิกิริยาของกู้จวิน
กู้จวินรีบพยักหน้าอย่างว่องไว จากนั้นในใจของกู้จวินก็เริ่มคิด…นี่อาจจะเป็นการทดสอบแบบชี้ให้เห็นภาพ เพื่อกระตุ้นและดึงเอากระบวนการคิดของจิตใต้สำนึกของบุคคลออกมาชัวส์ๆ ดังนั้นจะมากจะน้อยกู้จวินย่อมรีดเค้นสมองเอาคำตอบออกมา
“ เอาล่ะเราจะเริ่มกันเลย” ชายหน้าเหลี่ยมเห็นกู้จวินนั่งนิ่งจึงคิดว่าเขาพร้อมเเล้วเเละสั่งเริ่ม หลังจากเริ่มไม่ถึง 1 วินาที คำถามเเรกก็มา…
“ โนเบล….”
“ นี่คือ…บุค…ผลงานที่มีเกียรติ” ในขณะที่กู้จวินกำลังพูดว่า ‘บุคคลที่ทรงเกียรติ’ เขาก็ตระหนักถึงบางสิ่งที่แปลกประหลาดได้ จากนั้นเขาก็รีบเปลี่ยนคำตอบอย่างว่องไวเป็น“ งานที่มีเกียรติ” ไม่ใช่บุคคลที่มีเกียรติ
“ สุดจะพรรณนา” ผู้สัมภาษณ์กล่าวถามต่อ
กู้จวินหยุดคิดสักครู่หนึ่ง ก่อนที่จะตอบประโยคเปรียบเทียบมาทั้งดุ้น
“ ผู้หญิงคนนั้นมีความงามที่ไม่อาจพรรณนาได้”
คำตอบนี้เปิดเผยจิตใต้สำนึกของเขาหรือไม่? ไม่นะ! เขาเคยคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ มันไม่ได้เเปลกอะไร? นี่คือคำตอบที่มีสติของเขาเเล้ว…ผู้หญิงสวยเเปลกตรงไหน!?
เห็นได้ชัดว่าผู้สัมภาษณ์ก็สังเกตคำตอบสุดเเปลกประหลาดของกู้จวินด้วยเช่นกัน
นั่นก็เพราะ 2 วินาทีเป็นช่วงเวลาที่สั้นมาก มันสั้นกว่าเวลา 3 วินาทีที่ใช้สำหรับการทดสอบหาความสัมพันธ์ของคำอยู่แล้ว
ในช่วงเวลาเพียงเเค่นั้นไม่ค่อยมีใครที่สามารถตั้งสติก่อนตอบได้อยู่เเล้ว แม้ว่าคำตอบจะเป็นการตอบเเปลกๆที่ไม่ได้ตั้งใจตอบก็ตาม…เเต่นั่นพิสูจน์ได้ทันทีว่านั่นคือ คำตอบของบุคลิกของคนๆนั้นอย่างเเท้จริง
หากคำตอบได้รับการไตร่ตรองแล้ว อีกทั้งมีเวลาให้คิดอย่างเหลือเฟือ ย่อมไม่มีวิธีใดที่การทดสอบเเล้วเปิดเผยจิตใต้สำนึกของผู้รับการทดสอบได้อีกเเน่นอน
“ กู้จวิน โปรดตอบกลับภายใน 1 วินาทีหลังจากได้ยินคำถาม” ชายหน้าเหลี่ยมไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเปลี่ยนเเบบทดสอบใหม่ เพราะคาดไม่ถึงว่ากู้จวินจะตอบได้ทันเวลา
ผู้ชายที่มีริ้วรอยลึกมองไปที่ผู้หญิงที่มีใบหน้ายาวทางด้านขวาด้วยความเเปลกใจ นี่เป็นครั้งแรกที่กู้จวินเห็นพวกเขาแสดงออกเเบบนี้…เกิดอะไรขึ้น!!
สิ่งที่พวกเขาต้องการเปิดเผยคือ จิตใต้สำนึกของเขา!
หรือพวกเขารู้อะไรเเล้ว!!
เมื่อรู้เเบบนี้กู้จวินก็คิดกับตัวเองอย่างเงียบ ๆ
ผิดพลาดตรงไหนนะ!? หรือว่าฉัน…ฉลาดเกินไป!? เเล้วถ้าฉันเลิกฉลาดเเล้วตอบเเบบเอ๋อๆล่ะ!? ถ้าทำเเบบนั้นแล้วพวกเขาจะคิดยังไงกับการสัมภาษณ์ครั้งก่อน…เอายังไงดีนะ กู้จวินครุ่นคิดอย่างเคร่งเครียด จากนั้นก็เงยหน้ารับการทดสอบต่อ
“ ความตาย” ชายหน้าเหลี่ยมพูดต่อ…โดยไม่สนใจว่ากู้จวินพร้อมตอบหรือไม่!?
“ ชีวิตหรือความตาย…คืออย่างเดียวกัน” กู้จวินตอบทันที อนิจจามันยังคงเป็นคำตอบที่สติของเขายังดีอยู่เเละคิดมาอย่างดี เเถมยังได้รับผลกระทบจากคำพูดของเชกสเปียร์จากคำเปรยๆของไช่ฉีซวนในสมัยก่อน
เเละนี่เป็นอีกครั้งที่ชายหน้าเหลี่ยมไม่ได้จดบันทึกไว้ คราวนี้เขาเอากระดาษขาวและปากกาลูกลื่นกองหนึ่งขึ้นมา จากนั้นเขาก็เอามันมาให้กู้จวิน
“ กู้จวิน ให้เราใช้วิธีการวาดภาพทดสอบคุณ ฉันจะแสดงภาพบางส่วนบนหน้าจอ คุณเพียงแค่ต้องมองไปที่หน้าจอจากนัั้นก็คิดเกี่ยวกับภาพนั้นออกมา และวาดลงบนกระดาษต่อ จำไว้ว่าอย่าหยุดคิดเเละอย่าหยุดเขียน”
“รับทราบครับผม” กู้จวินรับปากกาและกระดาษมาโดยดี เขารู้ดีแม้ว่าเขาจะวาดภาพพุดเดิ้ลที่ไร้สาระ แต่มันก็เป็นวัสดุที่ดีเยี่ยมในการวิเคราะห์จิตใต้สำนึกของเขาในสายตาของนักจิตวิทยา เเละเขาไม่สงสัยเกี่ยวกับความสามารถของแผนกในสาขานี้เเม้เเต่น้อย
จากนั้นกู้จวินก็มองไปที่หน้าจอเเล้วหายใจเข้าลึก ๆ ในขณะที่ชายหน้าเหลี่ยมกดปุ่มบนคอนโทรลเลอร์ เเล้วจากนั้นหน้าจอก็พลันสว่างขึ้น
ภาพแรกเป็นท้องฟ้าที่มืดครึ้มเเละถูกปกคลุมไปด้วยเมฆดำหนาจนมองอะไรเเทบไม่ออก
“ ท้องฟ้า เมฆมืด” กู้จวินมองไปที่หน้าจอ จากนั้นเขาก็เริ่มพูดในขณะที่มือของเขาเริ่มวาดเส้นบนกระดาษ สติของเขาจดจ่ออยู่กับการอธิบายภาพนั้นจากนั้นมือของเขาก็วาดภาพอย่างรวดเร็ว เขาปล่อยให้ตัวเองอยู่ในจิตใต้สำนึกไปอย่างไร้กังวล
ภาพบนหน้าจอถูกเปลี่ยนไป มันเป็นภาพการประหารชีวิตที่เต็มไปด้วยเลือด กองซากศพที่ถูกแยกชิ้นส่วน จากนั้นก็เป็นทะเลสีฟ้าคราม แมลงวันเเบบขยายส่วน ภาพขาวดำของหญิงสาวข้างกำแพง …เเละอื่นๆ
กู้จวินยังคงอธิบายภาพที่เปลี่ยนแปลงไปในขณะที่มือของเขาก็วาดภาพต่อไปโดยไม่หยุด ทว่า! หลังจากจอจ่อกับกระบวนการนี้เขาก็ไม่รู้เลยว่าเขากำลังวาดภาพอะไร อย่างไรก็ตามจิตใจของเขาเริ่มเเสดงความหงุดหงิดเล็กน้อย
ในขณะที่กระบวนการดำเนินต่อไป ชายที่มีใบหน้ารูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสก็จับจ้องไปที่กระดาษในมือของกู้จวินอย่างช้าๆ จากนั้นเขาก็เริ่มขมวดคิ้วจนรอยย่นบนใบหน้าเริ่มเเจ่มชัดขึ้น ทั้งชายที่มีรอยย่นลึกและหญิงสาวหน้ายาวต่างลุกขึ้นยืนดู
“ กู้จวิน ขอบคุณมาก คุณหยุดได้แล้ว”
หน้าจอมืดลงทำให้กู้จวินหลุดจากภวังค์เเล้วร้องอุทานเสียงดัง “ โอ้…”
หลังจากเขียนลวก ๆ มาตลอด มือขวาของเขารู้สึกเหนื่อยมากจริงๆ เมื่อเขาลงมือกระดิกข้อมือ เขาก็พบว่าสีหน้าของผู้สัมภาษณ์เปลี่ยนไปอย่างมากเเล้ว หัวใจของกู้จวินจมลงและเต้นแรงอย่างหวาดหวั่น
นี่ฉันวาดอะไร?
เขาเหลือบมองลงไปบนกระดาษ บนแผ่นกระดาษสีขาวเรียบๆนี้มีเส้นที่ถูกเขียนปากกาลูกลื่นสีน้ำเงิน เเละขีดเขียนอย่างบ้าคลั่ง
มันเป็นภาพลายมือที่เขียนด้วยภาษาต่างโลก
ที่สำคัญมันคือภาษาที่เขาสามารถอ่านได้
มันเป็นลางร้าย น่าขนลุกและบิดเบี้ยว
“ ผลไม้แห่งความมืดงอกงามปกคลุมไปด้วยความมืดมิดของอเวจี ปรสิตแห่งความตายจะอยู่กับสวรรค์และโลกตลอดไป”