หลังจากจบการสัมภาษณ์ทางจิตวิทยาเเล้ว บวกด้วยการสืบสวนเรื่องโทรศัพท์เล็กน้อย กู้จวินก็ถูกพามาที่ลานตรวจสอบอีกด้านหนึ่งเเละต้องทำเเบบทดสอบเพื่อทดสอบด้านร่างกาย
เเละตอนนี้เขาทำแบบทดสอบทุกชุดเสร็จเรียบร้อย….
อย่างเเรกเป็นเเบบทดสอบ [ a category test to test the subject’s ability to summarise and reason] หรือแบบทดสอบเฉพาะของหมวดหมู่ความสามารถในการสรุปและหาเหตุผลของผู้ทดสอบ
จบจากอันเเรกก็มาต่อด้วยเเบบทดสอบชุดที่สอง มันก็คือ การทดสอบด้วยการทำงานของมอเตอร์ เพื่อตรวจสอบการรับรู้ การสัมผัส การเคลื่อนไหว การประสานมือและความยืดหยุ่นของผู้ทดสอบ…..
จากนั้นราวกับผู้ให้การทดสอบนั้นว่างมาก กู้จวินถูกจัดให้ทำเเบบทดสอบเรื่อยๆ อาทิ แบบทดสอบความสามารถในการรับรู้ แบบทดสอบความสามารถความยืดหยุ่นในการคิด ฯลฯ
เท่านั้นยังไม่พอ…เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทดสอบให้มากขึ้นอีกทางเเผนกตัดสินใจสร้างวิธีทดสอบเวอร์ชันปรับปรุงฉบับย้อนกลับ! เพื่อทบทวนอีกรอบ!
ตัวอย่างเช่น ในการทดสอบด้วยการทำงานของมอเตอร์ ตามวิธีการทั่วไปก็คือ การปิดตาแล้วเอาตัวต่อรูปต่างๆเช่นทรงกลม สามเหลี่ยม สี่เหลี่ยมใส่ไปในร่องบล็อกให้ตรงกับรูป ก็คล้ายๆกับเด็ก 3 ขวบที่ฝึกหัดเอาลูกกลมลงไปในบล็อคนั่นเเหละ…เพียงเเต่ต้องอาศัยประสาทสัมผัสขั้นสูงเพราะปิดตา เเต่การทดสอบของที่นี่จะเเปลกสักหน่อยนั่นก็คือ จะมีการเอาตัวต่อรูปเเบบที่ใกล้เคียงกันมาทดสอบด้วย…พร้อมกับจับเวลา
เเละก็มีอีกเเเบบทดสอบหนึ่ง ที่ยุ่งยากเเละเป็นการทดสอบที่แบ่งออกเป็นสามขั้นตอนมันในเเบบทดสอบเดียว อย่างเเรกต้องใช้มือที่ถนัดมือที่ไม่ถนัดเพื่อหยิบตัวต่อเเล้วเอามาต่อกัน และอย่างที่สองต้องใช้ทั้งสองมือในการหยิบตัวต่อเเล้วเอามาต่อกันอีก ท้ายที่สุดผู้ทดลองต้องอ่านรูปร่าง และบอกตำแหน่งของบล็อกตามความทรงจำในตอนเเรกที่ตนเองเคยต่อเอาไว้เอง…
สุดท้ายเมื่อเอาจับมารวมๆกัน ก็ได้วิธีทดสอบขั้นสุดท้ายมาจนได้ ซึ่งวิธีการทดสอบของเขาก็คือ การเผชิญหน้ากับกองบล็อกขนาดใหญ่ในขณะที่ปิดตาอยู่ และจำเป็นต้องประกบส่วนหนึ่งของบล็อก และประกอบให้เป็นรูปร่างต่างๆ ตามที่ผู้ให้การทดสอบประสงค์
สำหรับตัวต่ออื่น ๆ ที่ยังไม่ถูกแตะต้อง ตัวต่อที่เหลือทั้งหมดนั้นจะต้องเป็นบล็อกที่มีรูปร่างแตกต่างทั้งหมด จากนั้นผู้ให้ทดสอบจะผสมพวกมันและให้กู้จวินที่มารับการทดสอบใส่ตัวต่อลงในรางไม้ที่สอดคล้องกัน ในท้ายที่สุดผู้ให้การทดสอบจะพูดข้อมูลของส่วนที่ต่อกันของบล็อกเท่านั้น ที่เหลือเขาก็มีหน้าที่เเค่ใส่ตัวต่อลงในบล็อค
วิธีการทดสอบนี้ต้องการทดสอบการรับรู้ในระดับที่สูงมากๆขึ้น และง่ายต่อการจำตำแหน่งผิด อย่างไรก็ตามกู้จวินพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้มันเสร็จสมบูรณ์
“ เเผนกนี้เข้มงวดมาก เเถมการทดสอบก็โหดหิน การประเมินเพื่อเข้าเเผนกนี้นั้นไม่ง่ายเลยจริงๆ” ยิ่งกู้จวินผ่านการทดสอบมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรู้สึกแบบนี้มากขึ้นเท่านั้น มันยากจริงๆ ถ้าไม่ติดว่าจะต้องตามหาปริศนาเกี่ยวกับพ่อเเม่ภายใต้วงการเบื้องหลังเขาจะไม่มีวันทำเรื่องไร้สาระเเบบนี้
ทว่าทันใดนั้นเองความคิดของกู้จวินก็พลันเจิดจรัสขึ้น “ความสามารถที่พวกคนเเผนกนี้สรรหามา บางทีอาจจะไม่ได้มีแค่ความสามารถทางการแพทย์เท่านั้น อาจจะมีผู้มีความสามารถเเบบอื่นอีก…เเต่ไม่ว่าเเบบไหน เมื่อต้องผ่านบททดสอบเเบบนี้ พวกเขาล้วนยอดเยี่ยมเกินบรรยายทั้งนั้น”
นอกจากนี้เขายังได้รับการประเมินเพื่อตรวจสอบว่าเขามีความผิดปกติทางจิตหรือไม่อีกรอบ! โชคดีที่ผลการตรวจออกมาบอกว่าเขาไม่มีอาการป่วยทางจิต
ในฐานะ “ทาส” ทางการแพทย์ที่อุทิศตนให้การการผ่าตัดมาตลอดหลายปี กู้จวินสามารถบอกได้จากผลการตรวจที่ถูกเขียนในใบรับรองว่า เขาเป็นผู้มีสุขภาพดี สภาพจิตใจของเขาอยู่ในเกณฑ์ดีทั้งหมด
ยกเว้น!! ความจริงที่ว่าเขามีเนื้องอกที่ก้านสมอง บางทีเรื่องนี้มันอาจเป็นการพุ่งเป้าหมายไปที่เนื้องอกที่ก้านสมองของเขา
เเต่กู้จวินก็ได้รับการตรวจสอบอย่างดีด้วยคลื่นสนามแม่เหล็ก พวกเจ้าหน้าที่ใช้คลื่นสนามแม่เหล็กเพื่อตรวจสอบว่าเนื้องอกที่ก้านสมองของเขาเติบโตไปถึงขั้นไหนเเล้ว เเละอยู่ในระยะที่อันตรายหรือเปล่า
สำหรับผลการตรวจสอบเหล่านี้กู้จวินไม่ได้รับสำเนาเอกสารการตรวจมาให้เชยชมรับรู้เเต่อย่างใด มันถูกเก็บเข้าเเผนกไปจนหมด หลังจากเสร็จสิ้นการทดสอบหนึ่งครั้งเขาก็รีบไปทำการทดสอบต่อไปทันที
ในที่สุดก็เป็นเวลาถึง 5 โมงเย็น เขาได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ว่าได้ทำการทดสอบทั้งหมดจบสิ้นเเล้ว เเละตัวเขาก็ใช้เวลานานกว่าสิบชั่วโมงในการทดสอบ
หลังจากนั้นกู้จวินถูกพากลับไปที่ชั้นหนึ่งของอาคารและเข้าไปในห้องรอเพื่อรวมกับคนอื่นๆ
“ หืม?” เมื่อเขาผลักเปิดประตูและเดินเข้าไปในห้องรอ เขาพบว่ามีนักศึกษาอีก 8 คน รวมทั้งหวังรั่วเซียงเเละไช่ฉีซวนเพื่อนของเขาด้วย พวกเขาทั้งหมดกำลังนั่งเล่น พักผ่อนเเละพูดคุยกันสบาย ๆ บางคนถึงขนาดเอนหลังอ่านนิตยสารด้วยความเบื่อหน่าย
“พวกนายตรวจร่างกายกับทดสอบอย่างอื่นเสร็จเเล้วเหรอ? ทำไมไวจริง” กู้จวินเกาเเก้มเเล้วเอ่ยปากถาม จากนั้นเเต่ละคนก็ตอบเขาเเละเเลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันอย่างสนุกสนาน
ทำให้กู้จวินได้รู้ว่าทุกคนในที่นี้ได้รับการตรวจร่างกายและตรวจสุขภาพทางจิตเสร็จเรียบร้อยแล้ว
สำหรับกู้จวิน เขาเป็นคนแรกที่ถูกสัมภาษณ์ แต่สุดท้าย…เขาก็เป็นคนสุดท้ายที่ได้รับการตรวจสุขภาพเสร็จด้วยเช่นกัน
ตอนนี้ทุกคนได้รับอนุญาตให้พูดคุยกันเรียบร้อยเเล้ว ทำให้ในห้องรอมีเเต่เสียงครึกครื้น
กู้จวินเอ่ยปากถามไช่ฉีซวนเเละคนอื่นๆ เกี่ยวกับจำนวนคำถามทดสอบบุคลิกภาพที่แต่ละคนได้รับการทดสอบ เขาอยากรู้ว่าเเต่ละคนได้รับเเละเจอคำถามเเบบเดียวกันหรือไม่
คนเเรกที่ตอบเขาคือ ไช่ฉีซวน เขาสูดอากาศเฮือกใหญ่เเล้วตอบเเบบเชิงบ่นๆ
“บอกให้นะเสี่ย! 100 ข้อเเน่ะ พวกเขาถามคำถามฉันตั้ง 100 ข้อ กะจะให้ฉันหัวระเบิดให้ได้!!”
ถัดมาก็เป็นพี่ชายหม่าเจียหัว เขาเองก็ยักไหล่เเละตอบเหมือนไช่ฉีซวนนั่นก็คือ มีคำถามประมาณร้อยข้อเช่นกัน
ในขณะที่หวังรั่วเซียงครุ่นคิดสักพักและตอบอย่างไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่
“ ของฉัน…ถ้าจำไม่ผิด มันมีคำถามประมาณ 200 กว่าคำถาม?”
“แต่ฉันตอบคำถามมากกว่า 300 คำถาม!!” กู้จวินเเทบจะตะคอก ในใจของเขายังคงเต็มไปด้วยความสับสน สิ่งที่เขาไม่เข้าใจคือ เหตุใดรายการที่ต้องตรวจสอบและการตรวจทางการแพทย์ของเขาจึงมีมากกว่าปกติ เเถมยังมีความยากเเละซับซ้อนกว่าคนอื่นๆ และใช้เวลานานกว่าคนอื่นๆด้วย
แน่นอนว่าเขาถามทุกคนอีกครั้ง และพบว่าทุกคนไม่มีใครได้รับการตรวจสอบสุขภาพทางจิตสักคน…
“เฮ้ นี่ฉันดูเหมือนคนจิตป่วยขนาดนั้นเลยเหรอ? เอาจริงดิ!? ทำไมถึงทดสอบเเค่ฉัน” กู้จวินขมวดคิ้ว พลางคิดว่าตนเองดูป่วยทางจิตขนาดนั้นเลยเหรอ?
“ ฮ่า ฮ่า อย่างน้อยตอนนี้ฉันก็รู้แล้วว่าคุณไม่ใช่คนป่วยทางจิตน่ะ อย่าคิดมาก” หวังรัวเซียงกล่าวพลางหัวเราะเบาๆไปด้วย เธอไม่คิดว่ามันผิดปกติอะไร…ถ้าเป็นเสี่ยกู้ เธอเองก็อยากรู้ที่เขานิสัยเปลี่ยนมันเกิดจากโรคทางจิตหรือไม่!?
เเละหัวข้อที่ถูกกล่าวถึงมากที่สุดในหมู่พวกเขาก็คือ การทดสอบบุคลิกภาพ
ทุกคนต้องการทราบผลลัพธ์ของตนเอง โดยเฉพาะเหล่าเด็กผู้หญิงหลายคน และรวมถึงไช่ฉีซวนด้วย เขากระตือรือร้นเป็นพิเศษราวกับว่ามันเกี่ยวข้องกับดวงชะตาของพวกเขา
เข็มวินาทีของนาฬิกาบนผนังค่อยๆเคลื่อนที่เป็นวงกลม มันเป็นเวลากว่าหนึ่งชั่วโมงต่อมาตอนหกโมงเย็น จู่ๆประตูห้องรอก็เปิดออก
ศาสตราจารย์ฉินและคณะกรรมการอีกหลายคนเดินเข้ามาในห้องทีละคนๆ และทุกคนก็ลุกขึ้นยืนเพื่อต้อนรับเหล่าศาสตราจารย์พวกนี้ด้วยความเคารพ
กู้จวินมองใบหน้าที่สงบของศาสตราจารย์ฉิน และรู้สึกประหม่าเล็กน้อย
“นักศึกษาทุกคนเงียบ! ผลการประเมินออกมาแล้ว” ศาสตราจารย์ฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม จากนั้นเขาก็มองกู้จวินเเละเด็กนักศึกษาคนอื่นๆ
คำพูดของศาสตราจารย์ฉินหยุดลงชั่วขณะ ในทันใดนั้นบรรยากาศภายในห้องจากเดิมที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะก็พลันเปลี่ยนเป็นบรรยากาศที่อึมครึมเปี่ยมไปด้วยความกดดันสูงทันที
หัวใจของนักศึกษาเเพทย์ทั้ง 8 คนเต้นแรงอย่างควบคุมไม่ได้ บางคนถึงขนาดที่ตื่นเต้นจนหวัใจเเทบจะกระเด้งหลุดออกจากปาก พวกเขาจ้องมองที่ใบหน้าของศาสตราจารย์ฉิน
ด้วยประโยคเดียวของเขาที่กำลังจะพูดออกมา มันจะทำให้อนาคตของพวกเขาเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
เเถมยังตื่นเต้นเเละน่าหวาดเสียวราวกับพวกเขาถูกส่งตัวกลับไปในวันที่พวกเขากำลังรอผล [เกาเข่า] ของพวกเขาออก
เกาเข่าก็คือการสอบใหญ่ของนักเรียนจีน…สำคัญไม่ต่างอะไรจากโอเน็ต! ดังนั้นจึงไม่เเปลกที่ทุกคนจะตื่นเต้น…ราวกับชีวิตของพวกเขาเเฝงอยู่ในการสอบนี้ เเละเเน่นอนคำพูดของศาสตราจารย์ฉินไม่ต่างอะไรกับการประกาศผลคะเเนนเกาเข่าทั้งนั้น
“ยินดีด้วย! ทุกคนผ่าน” ใบหน้าเหี่ยวย่นของศาสตราจารย์ฉินยิ้มอย่างอ่อนโยนและอบอุ่นในขณะที่เขาแจ้งข่าวดีให้บรรดาเด็กๆ ได้รับฟัง
ทันใดนั้นความตึงเครียดเเละกดดันที่ทำให้ทุกๆคนหายใจไม่ออกก็หายไปอย่างรวดเร็สและแสงแห่งความสุขอันเต็มไปด้วยความโล่งใจก็ส่องมาที่ใบหน้าของทุกคน
เมื่อความทรมานจากการรอคอย เปลี่ยนเป็นช่วงเวลาเเห่งความสุขที่เบ่งบาน ซุนอี้เหิง หยางหมิงและทุกคนที่มารวมตัวกันก็ยิ้มเเย้มอย่างสุขใจและเปล่งเสียงหัวเราะสดใสออกมา ทางด้านไช่ฉีซวนก็เริ่มคร่ำครวญอีกครั้ง “ อานั่นเป็นโชคชะตา”
ใช่! เเม้ทุกคนจะดีใจจนเเทบจะกระโดด เเต่สำหรับกู้จวินนั้นการเเสดงออกของเขายังคงไม่เปลี่ยนแปลง เเต่อย่างน้อยหัวใจของเขาก็กรีดร้องด้วยความสุขและเต็มไปด้วยความโล่งใจเล็กน้อย
ในที่สุดภาระและความกดดันในใจของเขาก็ถูกยกขึ้น การถูกรับเข้าเเผนกลึกลับถือเป็นก้าวย่างที่ยิ่งใหญ่ในแผนการของเขา…เเต่มันก็ยังไม่ได้สิ้นสุด ทั้งหมดคือต่อจากนี้ต่างหาก