บทที่ 114 ผู้มีดวงชะตายิ่งใหญ่เต็มสำนัก เส้นทางการกลับมาของซูฉี
หานเจวี๋ยครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ คิดว่าจะไม่สนใจฟางเหลียงไปก่อน
บุตรแห่งฟ้าดินดูแล้วท่าจะร้ายกาจ หากมีนิสัยไม่ต่างจากหยางเทียนตงและสุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้น กลับกลายจะสร้างความเดือดร้อนให้เขามากขึ้น เช่นนั้นก็ได้ไม่คุ้มเสีย
ตอนนี้หานเจวี๋ยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาพลังของผู้อื่น
คิดไปพลาง หานเจวี๋ยก็หลับตาลงอีกครั้ง ก่อนจะฝึกฝนต่อไป
…..
วันคืนล่วงเลยผ่านไป
ตั้งแต่เซวียนฉิงจวินจากไป มารหลัวฉิวผู้ที่ต้องการล้างแค้นให้กับพญาอสรพิษหยกก็ไม่ได้ปรากฏตัวมาโดยตลอด ดูเหมือนว่าเซวียนฉิงจวินจะจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว
เมื่อสำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นทุกที หานเจวี๋ยก็ไม่เจอปัญหาที่ต้องให้เขาลงมืออีก ทำให้เขาจดจ่อกับการเพียรบำเพ็ญได้
เวลาห้าปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว ราวม้าขาวผ่านช่องว่าง
ที่ตีนเขาเพียรบำเพ็ญเซียน เหล่าศิษย์ที่คุกเข่าคาราวะเปลี่ยนผ่านไปอีกกลุ่ม ทว่าฟางเหลียงยังคงอยู่
หานเจวี๋ยรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง ไม่คิดว่าบุตรแห่งฟ้าดินผู้นี้จะมีความอดทนได้ถึงเพียงนี้
เขาลุกขึ้นแล้วเดินออกจากถ้ำเทวา ไปหาสวินฉางอันก่อนเอ่ยว่า “เจ้ายังอยากรับศิษย์หรือไม่”
ทันทีที่วาจาเหล่านี้ออกมา หยางเทียนตง ไก่คุกรัตติกาลและมู่หรงฉี่ก็ลืมตาขึ้นอย่างอดไม่ได้
สวินฉางอันเอ่ยอย่างลังเล “อาจารย์อยากให้ข้ารับหรือ”
การชี้แนะมู่หรงฉี่ก็ทำให้เขาเป็นกังวลมากแล้ว เพราะพรสวรรค์ของมู่หรงฉี่แข็งแกร่งกว่าเขา อีกทั้งตบะก็ไล่ตามตนได้ทันแล้วเช่นกัน
หลังจากนี้ศิษย์จะแข็งแกร่งกว่าอาจารย์ หากเรื่องนี้แพร่ออกไป เขายังมีหน้าไปพบใครอีกหรือ
หากจะรับศิษย์เพิ่มอีก เช่นนั้นยังต้องเสียเวลาในการฝึกฝน
“อาจารย์ เช่นนั้นให้ข้ารับดีหรือไม่” หยางเทียนตงเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
เห็นพรสวรรค์ของมู่หรงฉี่แข็งแกร่งมากถึงเพียงนั้น เขาก็คันยุบยิบในหัวใจมานานแล้ว
หานเจวี๋ยถลึงตามองเขา เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ให้เจ้ารับ เกรงว่าจะส่งไปเป็นหลานของราชาปีศาจตนอื่นน่ะสิ!”
เข่าของหยางเทียนตงพลันทรุดในทันใด ก้มศีรษะลงด้วยความละอาย
“เอาเถิด อาจารย์ ท่านอยากให้ข้ารับผู้ใดเป็นศิษย์ ลูกศิษย์ที่ตีนเขาหรือ” สวินฉางอันพูดขึ้นอย่างหน่ายใจ
หานเจวี๋ยโบกมือ พาฟางเหลียงที่ตีนเขาขึ้นมาทันที
ตบะของฟางเหลียนอ่อนแอ เมื่อคุกเข่าเป็นเวลาห้าปี ร่างของเขาก็พลันทรุด นั่งลงกับพื้นในทันที แม้กระทั่งลุกยืนก็ยังไม่ไหว
เมื่อเขาเห็นหานเจวี๋ย ก็พลันตื่นเต้นดีใจขึ้นมา
“ผู้อาวุโส ท่านยอมรับข้าเป็นศิษย์แล้ว?” ฟางเหลียงเอ่ยถามอย่างตื่นเต้น
มู่หรงฉี่เอ่ยอย่างไม่แยแสว่า “กราบอาจารย์? อย่างเจ้านี่นะ? เจ้าเป็นได้เพียงศิษย์น้องของข้าเท่านั้นแหละ!”
ฟางเหยียนนิ่งงัน
หานเจวี๋ยหันไปกำชับกับสวินฉางอันว่า “สามารถถ่ายทอดวิชาหยกพิสุทธิ์ให้กับเขาได้ ก่อนระดับรวมแก่นปราณ ไม่อนุญาตให้เขาลงจากเขา”
กล่าวจบ หานเจวี๋ยก็เดินกลับไปที่ถ้ำเทวา
ตั้งแต่นั้น ฟางเหลียงก็กราบตนเข้าเป็นศิษย์ของสวินฉางอัน กลายเป็นศิษย์หลานคนที่สอง
หลังจากกลับไปที่ถ้ำเทวาแล้ว หานเจวี๋ยนั่งสมาธิลงบนเตียง เขากำลังลูบคางครุ่นคิด
หยางเทียนตงศิษย์คนโต สายเลือดเทพปีศาจ
ซูฉีศิษย์คนรอง ดาวตัวซวยแห่งวังสวรรค์กลับชาติมาเกิด
สวินฉางอันศิษย์คนที่สาม โสมวิญญาณบรรพกาลสรวงสวรรค์กลับชาติมาเกิด
มู่หรงฉี่ศิษย์หลานคนโต เทพสงครามวังเทพกลับชาติมาเกิด ได้รับสมญานามว่าจักรพรรดิเทพเมี่ยวเจิน
ฟางเหลียงศิษย์หลานคนรอง บุตรแห่งฟ้าดิน
ไก่คุกรัตติกาล เทพปีศาจสวรรค์กลับชาติมาเกิด ร่างเดิมคือหงส์คุกรัตติกาล
สุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้น สัตว์เทพโชคชะตา!
นอกจากนี้ยังมีหญ้าโลกาสวรรค์ที่สามารถกลายเป็นเทพเซียนได้
จิ๊ๆ
ผู้มีดวงชะตายิ่งใหญ่เต็มสำนัก กำลังพลยิ่งใหญ่!
โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว หานเจวี๋ยได้รวบรวมกองกำลังที่มีศักยภาพไว้ในมือมากมายเช่นนี้แล้ว
ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดน่าจะเป็นมู่หรงฉี่
‘เช่นนั้นก็รอให้พวกเขาเติบโตมากกว่านี้ก่อน ข้าค่อยขึ้นสวรรค์? หรือจะให้พวกเขาขึ้นสวรรค์ไปก่อน หลังจากนั้นค่อยสนับสนุนข้า?’
หานเจวี๋ยลอบคิดอย่างเงียบๆ เขาส่ายหน้าหุบรอยยิ้ม ไม่คิดให้มากความอีก กลับไปฝึกฝนต่อ
…..
ผ่านไปอีกสามปี
นักพรตเต๋าจิ่วติ่งกลับมาพร้อมกับศิษย์กลุ่มหนึ่ง หนึ่งในนั้นมีฉางเยวี่ยเอ๋อร์อยู่ด้วย เรื่องนี้ทำให้เกิดความเคลื่อนไหวในสำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์ไม่น้อย
เดิมทีฉางเยวี่ยเอ๋อร์คิดอยากไปกราบคารวะเซียนซีเสวียน แต่เมื่อรู้ว่าเซียนซีเสวียนย้ายไปอยู่บนเขาลูกเดียวกับหานเจวี๋ย นางก็อดขมวดคิ้วขึ้นมาไม่ได้
แปลกยิ่งนัก
คิดใคร่ครวญไปมา หรือว่าอาจารย์…
ฉางเยวี่ยเอ๋อร์ยิ่งคิดยิ่งสับสน เมื่อคิดย้อนกลับไปอย่างละเอียด หานเจวี๋ยก็เย็นชากับทุกคน ยกเว้นเซียนซีเสวียนคนเดียวที่เขามักจะมีรอยยิ้มให้
หรือที่หานเจวี๋ยปฏิเสธนาง โม่จู๋และสิงหงเสวียน จะเป็นเพราะเขาชอบเซียนซีเสวียน
ฉางเยวี่ยเอ๋อร์รีบตามหาใครสักคนมาเพื่อสอบถามสถานการณ์ทันที หลังจากนั้นถึงได้รู้ว่าท่านเจ้าสำนักเองก็ย้ายไปที่เขาเพียรบำเพ็ญเซียนด้วยเช่นกัน นางถึงได้ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
ดูท่าจะเป็นข้าที่คิดมากไป
ศิษย์น้องดูไม่เหมือนคนที่ตกหลุมรักใครง่ายๆ เพียงนั้น
ฉางเยวี่ยเอ๋อร์รีบไปที่เขาเพียรบำเพ็ญเซียนทันที
หานเจวี๋ยเปิดค่ายกลคุ้มกันภูเขาออก ปล่อยให้ฉางเยวี่ยเอ๋อร์เข้ามาในถ้ำเทวา
ทันทีที่ไก่คุกรัตติกาลเห็นฉางเยวี่ยเอ๋อร์ หัวของมันก็พลันหดลง มันจำได้ว่าเมื่อครั้งยังเด็ก ทุกครั้งที่ฉางเยวี่ยเอ๋อร์มาก็มักจะลูบหัวมัน แม้กระทั่งยังดึงขนของมัน เรียกได้ว่าเป็นความทรงจำอันเลวร้ายในวัยเยาว์
“ศิษย์น้อง! ไม่เจอกันนานเลยนะ!”
ฉางเยวี่ยเอ๋อร์ทักทายอย่างตื่นเต้นดีใจ รีบพุ่งเข้าไปหาหานเจวี๋ยทันที
หานเจวี๋ยยกมือขึ้นเล็กน้อยเพื่อหยุดนางไว้ ก่อนเอ่ยอย่างจนใจว่า “ศิษย์พี่หญิง ท่านยังคิดที่จะทำอะไร”
จากไปนานเพียงนี้ ตบะของฉางเยวี่ยเอ๋อร์ก็พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนอยู่ในระดับรวมแก่นปราณขั้นเก้าแล้ว
ที่สำคัญที่สุดคือฉางเยวี่ยเอ๋อร์ยังมีพรสวรรค์อย่างพวกฝึกยันต์ ค่ายกล เพาะปลูกและหลอมโอสถ กล่าวได้ว่าพัฒนารอบด้าน
“นี่ไม่ใช่เพราะข้าคิดถึงเจ้าหรอกหรือ”
ฉางเยวี่ยเอ๋อร์บ่นอุบอิบ ในใจรู้สึกตกตะลึง นี่ศิษย์น้องทำอะไรกันแน่
คิดไม่ถึงว่าจะทำให้นางขยับตัวไม่ได้!
หากในเวลานี้ศิษย์น้องจะ…
เฮ้อ!
น่าเสียดาย เขาไร้ความรู้สึก
หานเจวี๋ยปล่อยนาง ทั้งคู่นั่งลงบนเตียงและเริ่มพูดคุยสัพเพเหระ
ฉางเยวี่ยเอ๋อร์เล่าถึงประสบการณ์ที่ได้พบเจอในช่วงหลายปีที่ผ่านมา หานเจวี๋ยตั้งใจฟัง ถือโอกาสเรียนรู้เกี่ยวกับต่างแดนไปด้วย
สำนักต่างแดนที่นักพรตเต๋าจิ่วติ่งพำนักอยู่นั้นกลับไม่ได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ที่นั่นก็มีศัตรู ศิษย์ของสำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์ที่ติดตามเขาไปยังมีผู้ที่ตกตายไปไม่น้อย
หานเจวี๋ยลอบดีใจอย่างเงียบๆ โชคดีที่ในตอนนั้นเขาไม่ได้เลือกติดตามนักพรตเต๋าจิ่วติ่งออกไป หากเป็นเช่นนั้นคงมีปัญหาตามมาไม่จบสิ้น ตบะคงไม่สูงเท่าตอนนี้แน่
ทั้งคู่พูดคุยกันเป็นเวลานาน
ก่อนจากกัน หานเจวี๋ยขอให้ฉางเยวี่ยเอ๋อร์ย้ายมาที่เขาลูกนี้
ฉางเยวี่ยเอ๋อร์ยิ้มรับอย่างดีใจ หลังจากนั้นก็ออกไปเลือกสถานที่และเปิดถ้ำเทวา
ไม่รู้ว่าหานเจวี๋ยคิดมากเกินไปหรือไม่ แต่ฉางเยวี่ยเอ๋อร์เลือกที่จะเปิดถ้ำเทวาระหว่างเซียนซีเสวียนและสิงหงเสวียน และระยะห่างระหว่างสองด้านนั้นก็แทบจะเท่ากัน
เซียนซีเสวียนและสิงหงเสวียนออกไปหาประสบการณ์ข้างนอกก่อนหน้านี้ไม่นาน และยังไม่ได้กลับมา
เรื่องที่ฉางเยวี่ยเอ๋อร์กลับมาเรียกได้ว่าเป็นเรื่องเล็กเท่านั้น แทบไม่ได้กวนใจหานเจวี๋ยแต่อย่างใด
หานเจวี๋ยก็ไม่ได้จงใจเจียดเวลาเพื่อพัฒนาความสัมพันธ์กับฉางเยวี่ยเอ๋อร์ แต่กลับฝึกฝนต่อไป
ความรักคือเมฆที่ลอยฟุ้ง!
ตบะนั้นถึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด!
เพียงแค่เขาแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อยๆ คนที่ชอบเขาก็จะยิ่งชอบเขามากขึ้น
สตรี ไม่สามารถครอบครองตำแหน่งที่สำคัญที่สุดในหัวใจของเขาได้ตลอดกาล
…..
พลบค่ำ เส้นทางเล็กๆ ระหว่างภูเขา
ซูฉีถือกระบี่เดินไปข้างหน้า ใบหน้าที่ผ่านโลกมาอย่างโชกโชน สกปรกมอมแมมไปด้วยฝุ่นธุลี
เขากำลังมุ่งหน้าไปทางต้าเยี่ยน ไม่รู้เพราะเหตุใด เขามักรู้สึกว่าเส้นทางขากลับนั้นอันตรายกว่าตอนที่เขามายิ่งนัก ช่วงนี้ผู้บำเพ็ญสายมารที่เขาพบเจอมีมากเกินไป แต่ละตนล้วนชั่วร้ายอย่างยิ่ง
ซูฉีอดไม่ได้ที่จะใช้หางตาเหลือบมองผู้ชราที่เดินอยู่บนยอดเขาข้างๆ เขา
คนผู้นี้ก็คือยอดผู้บำเพ็ญระดับฝ่าด่านเคราะห์ที่เขาพบในซากปรักหักพังของสำนักมารปีศาจก่อนหน้านี้ มีนามว่าตู้ขู่
สำนักมารปีศาจถูกทำลาย ตู้ขู่รู้สึกเสียใจมาโดยตลอด หากไม่สามารถทำความปรารถนาของตนให้สำเร็จ วันใดที่เขาขึ้นสวรรค์ สุดท้ายก็จะกลายเป็นมารในใจ เพราะอย่างนั้นเขาจึงติดตามซูฉีมาตลอดทาง ต้องการที่จะรับซูฉีเป็นศิษย์
ซูฉีมีอาจารย์อยู่แล้ว ดังนั้นจะกราบไหว้เขาได้อย่างไร
ตู้ขู่เองก็ไม่ได้บีบบังคับเขา ตลอดทางที่ติดตาม ก็ช่วยเหลือซูฉีสังหารผู้บำเพ็ญสารมารไปจำนวนไม่น้อย
ซูฉีพอจะเข้าใจนิสัยของตู้ขู่ดี เขาไม่พึ่งพาตบะที่แข็งแกร่งของตนบีบบังคับผู้เยาว์ เพราะอย่างนั้นเขาจึงกล้าที่จะล้อเล่นกับตู้ขู่ ตอนนี้ทั้งสองคนเป็นราวกับคู่กัด มักจะต่อสู้ฟาดฟัน ประเดี๋ยวทะเลาะประเดี๋ยวคืนดี
“หยุดก่อน!”
จู่ๆ ตู้ขู่ก็ตะโกนขึ้น ทำเอาซูฉีตัวสั่นด้วยความตกใจ รีบร้อนหยุดการเคลื่อนไหว มองไปรอบๆ อย่างระมัดระวัง ป้องกันการโจมตีของศัตรู
ตู้ขู่เคลื่อนร่างมาหาซูฉี เอ่ยด้วยสีหน้ามืดครึ้ม “มารหลัวฉิว เจ้าจ้องมองศิษย์ของข้าตลอดเวลา มีแผนการอะไรกันแน่”
มองตามสายตาที่เขามองไป ใต้เงาต้นไม้เบื้องหน้าปรากฏเป็นเงาสีดำสายหนึ่ง ยากที่จะแยกแยะใบหน้าที่แท้จริงได้ เรือนร่างน่ากลัว ดูราวกับผีร้าย
“ศิษย์ของเจ้า? นี่ก็ไม่ใช่ศิษย์ของประมุขมารหรอกหรือ ตู้ขู่ หากเจ้าต้องการขึ้นสวรรค์อย่างราบรื่น จงเชื่อฟังแล้วรามือเสีย! ข้าต้องการเจ้าเด็กนี่!”
………………………………………………………………………