บทที่ 144 แผนการของวังสวรรค์ การกลับมาของฟางเหลียง
‘เขารู้สถานะและตบะของข้าได้อย่างไร
เป็นไปได้อย่างไร!’
ในใจของราชามังกรสามหัวเกิดความรู้สึกอันตรายขึ้นมา
เขามีพลังวิเศษประจำกายที่สามารถเก็บซ่อนตบะและร่างที่แท้จริงไว้ได้ แล้วถูกผู้อาวุโสสังหารเทพค้นพบได้อย่างไร
นี่หมายความว่าอย่างไรกัน
หมายความว่าอีกฝ่ายแข็งแกร่งกว่าเขามาก!
ยามที่หานเจวี๋ยกล่าววาจานั้นเรียบนิ่งเป็นอย่างมาก ไม่เหมือนการสร้างสถานการณ์ขู่ขวัญลวงตาแต่อย่างใด
ราชามังกรสามหัวมีลางสังหรณ์บางอย่าง หากเขาลุกขึ้นมา จะต้องถูกสังหารอย่างแน่นอน!
แม้แต่โอกาสที่จะหนีก็ไม่มี!
หานเจวี๋ยจ้องมองเขาด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก รอฟังคำตอบจากเขา
เพียงแค่ราชามังกรสามหัวกล้าพูดว่าไม่ออกมาเพียงคำเดียว หรือว่าคิดที่จะหนี เช่นนั้นก็จงตายไปเสีย!
เรื่องต้นฝูซังถูกเปิดเผยแล้ว ต้นไม้เทพระดับนี้ไม่อาจให้แพร่งพรายออกไปได้!
หานเจวี๋ยก็ไม่กลัวว่าจะล่วงเกินมังกรแท้ที่อยู่เบื้องหลังของราชามังกรสามหัว เดิมทีมังกรก็ไม่สอดคล้องกับหลักทำนองคลองธรรมโดยทั่วไป ผีที่ไหนจะรู้ว่าทายาทมังกรแท้มีเท่าไร
ราชามังกรสามหัวกัดฟันเอ่ยว่า “ผู้อาวุโสเป็นเทพศักดิ์สิทธิ์จากที่ใดกันแน่”
หานเจวี๋ยกล่าว “ข้า วัฏจักรหกวิถี กายไม่อยู่ในธาตุทั้งห้า วิญญาณไม่ตกอยู่ในวัฏสงสาร”
แม้ราชามังกรสามหัวจะไม่เข้าใจ แต่ก็รู้สึกว่าร้ายกาจมาก
เขายังคงลังเลอยู่บ้าง
แค่ทำตัวเป็นสุนัขเฝ้าประตูให้อีกฝ่ายอย่างนั้นหรือ
หานเจวี๋ยเอ่ยถามขึ้นว่า “เจ้าคิดว่าข้าขู่ขวัญเจ้ารึ ไม่อย่างนั้นเจ้าลองรับข้าหนึ่งดรรชนี หากยังมีชีวิตอยู่รอดเจ้าก็ควรที่จะยอมแพ้”
“ไม่ ไม่ ไม่…”
ราชามังกรสามหัวรีบโบกไม้โบกมือเป็นพัลวัน เขาเกือบตกใจตายแล้ว
เขาก้มหน้าลงในทันที กัดฟันกล่าวว่า “นับแต่นี้เป็นต้นไป ข้าราชามังกรสามหัวจะเป็นแม่ทัพพิทักษ์เขาของผู้อาวุโส! ภูเขาอยู่ ปีศาจอยู่ ภูเขาสลาย ปีศาจตาย!”
หานเจวี๋ยลุกขึ้นเดินมาตรงหน้าและลูบศีรษะของเขา ก่อนที่จะแอบประทับตราหกวิถีลงไป
“อยู่กับข้า เจ้าไม่มีทางเสียเปรียบแน่ นี่คือโอกาสวาสนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตนี้ของเจ้า” หานเจวี๋ยกล่าวเบาๆ
ราชามังกรสามหัวรีบร้อนขอบคุณหานเจวี๋ย
แต่ว่า…
ไม่ได้เกิดความรู้สึกประทับใจ!
ดียิ่งนัก!
ภายหลังยังต้องจับตามองเจ้าอีกสักหน่อย หากมีอะไรที่ไม่ชอบมาพากล จะได้สังหารในทันที!
หานเจวี๋ยลอบคิดอย่างเงียบๆ
จากนั้นเขาก็ให้ราชามังกรสามหัวออกไปจากถ้ำเทวา
เขาถ่ายทอดเสียงให้กับอีกาทองคำทั้งสอง ให้พวกมันจับตามองราชามังกรสามหัวตลอดเวลา
อีกาทองตัวน้อยอยากจะกินราชามังกรสามหัวยิ่งนัก แต่ราชามังกรสามหัวในขณะนี้ไม่ได้ทำเรื่องเลวร้ายอะไร และก็ไม่ได้เกิดความเกลียดชังต่อหานเจวี๋ย
หานเจวี๋ยคิดว่าสามารถบ่มเพาะได้สักหน่อย
รอยามที่เขาเหนือกว่าจูเชวี่ยและขึ้นสู่สวรรค์ จะต้องพาเขาเพียรบำเพ็ญเซียนขึ้นไปพร้อมกันอย่างแน่นอน
เมื่อถึงตอนนั้น ศิษย์และศิษย์หลานของเขาอาจจะถึงธรณีประตูสวรรค์แล้วก็ได้ ยิ่งกำลังของเขาเพียรบำเพ็ญเซียนแข็งแกร่งเท่าไรก็ยิ่งดี
ราชามังกรสามหัวกลับมาที่ใต้ต้นฝูซัง หยางเทียนตงเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจว่า “เร็วเช่นนี้เชียวหรือ”
เมื่อเห็นเขา ราชามังกรสามหัวก็รู้สึกรำคาญใจเป็นอย่างมาก จึงกล่าวอย่างฮึดฮัดว่า “อืม ตั้งแต่นี้ไปข้าก็เป็นแม่ทัพพิทักษ์เขาของเขาเพียรบำเพ็ญเซียน!”
“แม่ทัพพิทักษ์เขา?”
“ไม่ผิด ข้าเป็นถึงราชามังกรสามหัวระดับมหายานขั้นหก ข้าไม่อยากเสแสร้งอีกแล้ว เจ้าไสหัวไปไกลๆ หน่อยเถอะ!”
“อะไรนะ”
หยางเทียนตงตื่นตระหนกตกใจเป็นอย่างมาก
ไก่คุกรัตติกาล อู้เต้าเจี้ยน สวินฉางอันและสุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้นต่างพากันมองมาทางเขาด้วยความประหลาดใจ
ศีรษะมนุษย์ของราชามังกรสามหัวพลันเปลี่ยนเป็นหัวมังกรสามหัวในทันที ทำเอาหยางเทียนตกใจจนต้องกลิ้งไสหัวไป ทั้งกลิ้งทั้งคลานให้อยู่ห่างจากเขา
เมื่อเห็นท่าทีเช่นนี้ของเขาแล้วราชามังกรสามหัวก็เป็นสุขยิ่งนัก
“ราชาปีศาจเตี่ยนซู่ที่เจ้าพูดถึง ยามที่เผชิญหน้ากับข้าก็อ่อนแอเช่นเจ้าไม่มีผิด!”
ราชามังกรสามหัวกล่าวอย่างทระนงองอาจ หยางเทียนตงที่ได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกอับอายจนอยากแทรกแผ่นดินหนี
หานเจวี๋ยที่อยู่ในถ้ำเทวาเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด แต่กลับไม่พูดอะไรออกมา
ราชามังกรสามหัวเปิดเผยสถานะของตนเองเช่นนี้ทำให้เขารู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก อย่างน้อยก็แสดงว่าราชามังกรสามหัวไม่ใคร่สนใจชื่อเสียง อีกทั้งยังทำให้คนอื่นๆ เกิดความระแวดระวังในตัวเขาด้วย
หานเจวี๋ยเข้าสู่สภาวะการฝึกฝนอีกครั้ง
……
ภายในอารามเต๋าแห่งหนึ่งตลบอบอวลไปด้วยไม้จันทน์หอม ดูราวกับหมอกเซียนที่หมุนวนเป็นเกลียว
นักพรตเต๋าชราที่กำลังเข้าฌานผู้หนึ่งพลันกระอักเลือดออกมา สภาพดูอ่อนระโหยโรยแรง
เขาลืมตาขึ้น หลังจากปาดเช็ดคราบเลือดตรงมุมปากออกแล้วก็กัดฟันกล่าวด้วยสีหน้าดุร้าย “สมควรตาย! ใครกันแน่ที่กำลังสาปแช่งข้า”
กี่ปีแล้ว!
พลังสาปแช่งลึกลับนั้นนับทีจะแข็งแกร่งขึ้นทุกวัน!
เขาก็จำไม่ได้แล้วว่าโดนสาปแช่งไปกี่ครั้ง
ใช่!
เขาก็คือนักพรตเต๋าเจวี๋ยเหยี่ยน!
นายท่านของพญาอสรพิษหยก อาจารย์ของมารหลัวฉิว ศัตรูคู่แค้นของคนแซ่หานผู้หนึ่ง!
แม้นักพรตเต๋าเจวี๋ยเหยี่ยนจะกำลังด่าทอ แต่ในใจกลับรู้สึกหวาดกลัวยิ่งกว่า
อีกฝ่ายจะต้องเป็นผู้ทรงพลังเป็นแน่!
พลังการสาปแช่งในช่วงนี้เริ่มสั่นคลอนแม้กระทั่งรากเต๋าของเขา นี่ยังไม่พออีกหรือ
หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เขาจะถูกสาปแช่งจนตายหรือไม่
นักพรตเต๋าเจวี๋ยเหยี่ยนกัดฟัน หยิบแผ่นหยกชิ้นหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ ก่อนที่จะกรอกพลังวิญญาณเข้าไปในนั้น
ผ่านไปสักพัก
เงาร่างหนึ่งพุ่งออกจากแผ่นหยกนั้น แสงสีครามเปล่งประกายรอบตัว ทำให้มองใบหน้าและอาภรณ์ไม่ชัดเจน
“เกิดเรื่องใดขึ้น”
“ผู้อาวุโส ข้าถูกคนสาปแช่งแล้ว”
“หืม? ข้าคำนวณดูก่อน”
นักพรตเต๋าเจวี๋ยเหยี่ยนรอคอยอย่างเป็นกังวลใจ
เงาแสงสีครามกล่าวด้วยความประหลาดใจ “ข้าคำนวณไม่ได้เลย เจ้าได้ไปล่วงเกินใครหรือไม่”
นักพรตเต๋าเจวี๋ยเหยี่ยนกล่าวด้วยความกล้ำกลืน “ตั้งแต่ขึ้นสวรรค์มา ข้าปิดด่านฝึกฝนมาโดยตลอด ไหนเลยจะไปล่วงเกินผู้ใดได้”
“น่าแปลกยิ่งนัก”
เงาแสงสีครามลอบเอ่ยพึมพำกับตนเอง
นักพรตเต๋าเจวี๋ยเหยี่ยนตื่นตระหนกตกใจยิ่งกว่าเดิม แม้แต่ผู้อาวุโสท่านนี้ยังคำนวณไม่ได้ นั่นไม่เท่ากับว่าเขาต้องตายลงอย่างแน่แท้หรอกหรือ
“ช่วงนี้วังสวรรค์ถูกเทพปีศาจบุกโจมตี เผ่ามารจึงอาศัยโอกาสนี้ไปก่อความวุ่นวายในโลกมนุษย์หลายครั้ง เจ้าเพิ่งขึ้นสวรรค์มาไม่กี่พันปี อาจจะเกี่ยวข้องกับดวงชะตาโลกมนุษย์ก็เป็นได้ อย่างมากที่สุดพันปี รอวังสวรรค์คลายความตึงเครียดลง วังสวรรค์ก็คงจะสะสางกลุ่มอิทธิพลในโลกมนุษย์ของเผ่ามารเอง”
“มีโลกมนุษย์บางแห่งที่ถูกเผ่ามารกัดกร่อนลึกเกินไป เมื่อถึงเวลาที่จะต้องชำระล้างโลกทั้งใบ ข้าจะอาศัยโอกาสนี้ให้เจ้ากลายเป็นทหารสวรรค์ ยึดกุมโอกาสให้ดี”
เงาแสงสีครามเอ่ยปากกล่าว คำพูดของเขาทำให้นักพรตเต๋าเจวี๋ยเหยี่ยนประหลาดใจเป็นอย่างมาก
นักพรตเต๋าเจวี๋ยเหยี่ยนรีบกล่าวขึ้นมาในทันทีว่า “โลกมนุษย์ที่ข้าอยู่ก็ถูกเผ่ามารเข้ารุกราน ข้ากำลังวางแผนจะลงไปดูที่โลกมนุษย์ในอีกหลายร้อยปีนี้”
“อืม ลงไปทำความเข้าใจสถานการณ์ก่อนก็ดี เมื่อถึงเวลานั้นก็สามารถแจ้งข่าวให้กับวังสวรรค์ได้”
เงาแสงสีครามหายไปอย่างไร้ร่องรอย นักพรตเต๋าเจวี๋ยเหยี่ยนเก็บแผ่นหยกอย่างระมัดระวัง
“เผ่ามารอันน่าสมควรตาย ไม่คาดคิดว่าจะกล้าสาปแช่งข้า!”
นักพรตเต๋าเจวี๋ยเหยี่ยนคิดด้วยความโกรธแค้น รอเขาลงไปโลกมนุษย์ก่อน จะต้องทำลายแผนร้ายของเผ่ามารให้จงได้!
…….
วสันตฤดูผ่านพ้น สารทฤดูเข้ามาเยือน
เวลาสิบเอ็ดปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว
หานเจวี๋ยทะลวงถึงระดับมหายานขั้นหกอย่างราบรื่น
วันนี้เอง
ฟางเหลียงกลับมาแล้ว
ไก่คุกรัตติกาล สุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้น สวินฉางอัน มู่หรงฉี่ อู้เต้าเจี้ยนและหยางเทียนตงล้วนมาห้อมล้อมรอบตัวเขา
คิดไม่ถึงว่าฟางเหลียงจะบรรลุระดับสุญตาแล้ว!
ทุกคนพากันตื่นตะลึงเป็นอย่างมาก
มู่หรงฉี่ติดอยู่ที่ระดับเปลี่ยนวิญญาณขั้นเก้า เดิมทีคิดว่าการพัฒนาของตนเองไม่เป็นไปตามครรลองแล้ว คิดไม่ถึงว่าฟางเหลียงจะเกินจริงยิ่งกว่า
ไก่คุกรัตติกาลรู้สึกหดหู่ขึ้นมา เรื่องที่มันกังวลใจก่อนหน้านี้ได้เกิดขึ้นแล้ว ยามนี้หากฟางเหลียงกับมู่หรงฉี่ร่วมมือกัน เป็นไปได้อย่างมากที่มันจะสู้พวกเขาไม่ได้
สวินฉางอันก็รู้สึกหดหู่เช่นเดียวกัน สุดท้ายเขาก็ถูกศิษย์แซงหน้าไปไกล
ความอิจฉาของหยางเทียนตงกลายเป็นความริษยา เขาเองก็อยากได้ศิษย์เช่นนี้!
ส่วนสุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้นนั้นทึ่มทื่อไปเลย
ศิษย์ของพระอัปลักษณ์นั่นก็แข็งแกร่งกว่ามันอย่างนั้นหรือ
“หลายปีมานี้ได้รับโอกาสวาสนาไม่น้อย ดังนั้นจึงมีขอบเขตพลังอย่างทุกวันนี้” ฟางเหลียงเอ่ยยิ้มๆ อย่างถ่อมตน
ทว่าทุกคนสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าเขาได้เปลี่ยนไปแล้ว
เปลี่ยนไปเป็นมั่นใจในตนเองกว่าก่อนหน้านั้นมาก จิตใจฮึกเหิมและองอาจห้าวหาญ
ราชามังกรสามหัวรู้สึกเหยียดหยามยิ่งนัก แค่ระดับสุญตาก็ทำให้พวกเขาตื่นตะลึงได้เช่นนี้เชียวหรือ
อีกาทองสองตัวพลันทะยานมาเกาะลงบนไหล่ของฟางเหลียง และถูไถเสียดสีกับใบหน้าของเขาอย่างสนิทสนม
ฟางเหลียงเอ่ยถามด้วยความสงสัยว่า “เจ้าเด็กน้อยสองตัวนี้คือ…”
ไก่คุกรัตติกาลเอ่ยด้วยรอยยิ้มร้ายว่า “เป็นปู่ไก่ที่คลอดมาเอง ก่อนหน้านี้นายท่านให้ปู่ไก่จับวิหคเพลิงมาตัวหนึ่ง…”
มันยังพูดไม่ทันจบ อีกาทองน้อยสองตัวก็หันหน้ามามองมัน ทำเอามันตกใจจนไม่กล้าคุยโวอีก
……………………………………….