บทที่ 17 ผู้บำเพ็ญระดับมหายานกลับชาติมาเกิด ตบะที่เพิ่มขึ้น
หานเจวี๋ยไม่ได้กลับถ้ำเทวา แต่ไปฝึกฝนที่สระวิญญาณของสำนักฝ่ายใน
ในเมื่อต้องเข้าร่วมการทดสอบของสำนักฝ่ายใน เขาก็จำเป็นต้องช่วงชิงสามอันดับแรกมาให้ได้!
เมื่อมีถ้ำเทวาฟ้าประทานแล้ว เขาก็ไม่ต้องกังวลเรื่องพลังวิญญาณอีก สามารถเก็บตัวไม่โผล่หน้าได้อย่างแท้จริง
ก่อนอื่น เขาต้องเพิ่มพูนตบะให้แกร่งที่สุดเท่าที่จะทำได้
เขาสอบถามจากเซียนซีเสวียนมาแล้ว การทดสอบของสำนักฝ่ายในครั้งหน้ายังมีเวลาอีกแปดปี
หานเจวี๋ยไปที่สระวิญญาณอัคคีก่อน และซื้อเวลาใช้สระหนึ่งปี
ในสระวิญญาณอัคคีมีคนไม่น้อย ราวยี่สิบถึงสามสิบคน หานเจวี๋ยหามุมสำหรับตนเองแล้วเริ่มนั่งขัดสมาธิฝึกฝน
การปรากฏตัวของเขาดึงดูดความสนใจของศิษย์หญิงจำนวนหนึ่ง
“คนผู้นั้นรูปงามมากเลย”
“หรือว่าจะเป็นศิษย์รูปงามที่ลึกลับของยอดเขาหยกวิเวกผู้นั้น?”
“น่าจะใช่กระมัง นอกจากเขาแล้ว ข้ายังไม่เคยเห็นผู้ใดรูปงามเท่าเขาเลย”
“ข้าอยากรู้จักเขาจริงๆ”
หานเจวี๋ยได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของพวกนางแว่วๆ แต่ทำเหมือนไม่ได้ยิน
ไม่มีสตรีในใจ ย่อมฝึกฝนได้ดีกว่า!
……
หนึ่งปีต่อมา
รากวิญญาณอัคคีของหานเจวี๋ยก็บรรลุถึงระดับสร้างฐานขั้นแปด
บางทีอาจเป็นเพราะรากวิญญาณอัสนีถึงระดับสร้างฐานขั้นเก้าแล้ว จึงส่งผลให้การฝึกฝนพลังวิญญาณสายอื่นเร็วขึ้นกว่าแต่ก่อนเล็กน้อยด้วย
หานเจวี๋ยตรงไปยังสระวิญญาณวารีโดยไม่คิดจะหยุดพัก
เช่นนี้เอง สี่ปีต่อมา
รากวิญญาณธาตุอื่นๆ ของหานเจวี๋ยก็บรรลุระดับสร้างฐานขั้นแปดทั้งหมดเช่นกัน!
ยังมีเวลาเหลืออีกสามปี
เขายังคงฝึกฝนต่อ
พยายามทำให้รากวิญญาณทั้งหกสายไปถึงระดับสร้างฐานขั้นเก้าก่อนการทดสอบของสำนักฝ่ายใน!
ณ สระวิญญาณวายุ
หานเจวี๋ยเพิ่งเข้ามาก็เห็นบรรดาศิษย์ล้อมวงอยู่ด้วยกัน
“โจวฝาน ไม่ใช่ว่าเจ้าขู่ว่าจะเหนือกว่าพวกเราก่อนการทดสอบของสำนักฝ่ายในครั้งหน้าหรือ เหตุใดถึงมีตบะแค่ระดับสร้างฐานขั้นหนึ่ง”
“ฮ่าๆๆ คุณสมบัติรากวิญญาณระดับเขา จะเหนือกว่าพวกเราได้อย่างไร”
“วันนี้หากเจ้ายอมคุกเข่าโขกหัวให้พวกข้า พวกข้าจะไม่สร้างความลำบากใจให้กับเจ้า”
“ศิษย์พี่ แต่ก่อนเจ้าเด็กนี่พึ่งพาศิษย์น้องหญิงลู่มาโดยตลอด ตอนนี้ศิษย์น้องหญิงลู่เตรียมเป็นคู่บำเพ็ญเพียรกับศิษย์เอกของยอดเขากระบี่แล้ว ต่อไปต้องตัดสัมพันธ์กับเขาแน่นอน ตอนนี้พวกเราจัดการเขาได้ ไม่แน่ว่าศิษย์น้องหญิงลู่อาจจะดีใจด้วยซ้ำ”
ได้ยินคำพูดของศิษย์เหล่านี้แล้ว หานเจวี๋ยส่ายหน้า จากนั้นก็เดินไปหามุมนั่งลงฝึกบำเพ็ญ
ความขัดแย้งเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกในสำนักหยกพิสุทธิ์
แม้ว่าสำนักหยกพิสุทธิ์จะเป็นสำนักคุณธรรมที่มีชื่อเสียง แต่สถานที่ใดมีคนก็ย่อมมียุทธภพ
แต่ก่อนหานเจวี๋ยเคยพบเจอเหตุการณ์เช่นนี้ไม่ใช่แค่ครั้งเดียว
“ฮึ สวะอย่างพวกเจ้ากล้าลงมือกับข้าที่นี่หรือ ไม่กลัวหอคุมกฎลงโทษหรือไร ช่วงนี้ลัทธิมารกระเหี้ยนกระหือรือจะก่อการร้าย พวกเจ้ายังจะขัดแย้งกันภายในอีก ข้ามีเหตุผลที่จะสงสัยว่าพวกเจ้าเป็นไส้ศึกของลัทธิมาร!”
เสียงฮึดฮัดดังขึ้นตามมา แข็งกร้าวเป็นอย่างมาก
หานเจวี๋ยลืมตามองไป คนพูดคือโจวฝานที่ถูกล้อมอยู่
[ตรวจสอบพบผู้มีดวงชะตาแต่กำเนิด จะตรวจสอบที่มาหรือไม่]
ตัวอักษรแถวหนึ่งพลันปรากฏขึ้นตรงหน้าหานเจวี๋ย ทำให้เขาอึ้งงัน
ผู้มีดวงชะตาแต่กำเนิด?
เขาเลือกตรวจสอบดูทันที
[โจวฝาน ผู้บำเพ็ญระดับมหายานกลับชาติมาเกิด ถือกำเนิดในเมืองมนุษย์ ถูกสำนักหยกพิสุทธิ์ตรวจสอบพบรากวิญญาณพร้อมกับคนรักที่เติบโตมาด้วยกัน มีสมบัติวิญญาณซ่อนอยู่ในส่วนลึกของวิญญาณ สมบัติวิญญาณได้รับความเสียหายอย่างหนักเพราะปกป้องเขา ตอนนี้กำลังซ่อมแซมตัวเอง ขณะที่โจวฝานฝึกฝนจะดูดซับพลังวิญญาณโดยไม่รู้ตัว ทำให้การฝึกฝนของเขาช้าลงอย่างน่าประหลาด ขณะนี้สมบัติวิญญาณใกล้จะซ่อมแซมตัวเองสำเร็จแล้ว]
หานเจวี๋ยเผยสีหน้าประหลาด
‘ภูมิหลังที่มาดุเดือดไปหน่อยนะ
ถ้าอยู่ในนิยายก็เป็นพระเอกได้เลย’
เขาหรี่ตามองไป เห็นว่าโจวฝานที่ถูกล้อมอยู่มีสีหน้าสงบมาก ต่อให้ถูกคนผลักก็ไม่โมโหเลย แม้รูปโฉมไม่หล่อเหลา แต่ให้ความรู้สึกว่าเป็นผู้ใหญ่ที่เด็ดเดี่ยวแน่วแน่และอดทนอดกลั้น
จะช่วยตัวเอกคนนี้ดีหรือไม่?
ช่วยมะเหงกอะไรเล่า!
หานเจวี๋ยหลับตาลงทันใด
ต่อให้ที่มาของโจวฝานสุดยอดมากกว่านี้ ก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับหานเจวี๋ย
ตรงกันข้าม โจวฝานเป็นผู้มีดวงชะตาแต่กำเนิดเช่นนี้ ยิ่งทำให้เขาคิดจะทำเวลาฝึกฝนกว่าเดิม
เป้าหมายของหานเจวี๋ยคือมีชีวิตเป็นอมตะ ไร้คู่ต่อกร
รอจนเขาไร้คู่ต่อกรแล้ว ก็จะสามารถทำอะไรได้ตามใจ
ในตอนนี้หากไม่เกิดปัญหาได้ ก็พยายามให้ถึงที่สุด
ศิษย์กลุ่มนั้นด่าโจวฝานอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายถูกโจวฝานด่าจนถอยหนีไม่กล้าลงมือ
อยู่ข้างในนี้ต้องใช้หินวิญญาณแลกมา หากลีลาต่อไปพวกเขามีแต่จะเสียเปรียบ
สระวิญญาณวายุตกเข้าสู่ความเงียบสงบอีกครั้ง
หนึ่งปีผ่านไป
รากวิญญาณวายุของหานเจวี๋ยบรรลุถึงระดับสร้างฐานขั้นเก้าแล้ว
เขาลุกขึ้นและออกไปจากที่แห่งนี้
เมื่อมาถึงหอสระวิญาณวายุ เขาก็พบกับโจวฝานโดยบังเอิญอีก
โจวฝานกำลังสนทนากับสตรีชุดเขียวที่มีใบหน้างดงามผู้หนึ่ง
เขาสังเกตเห็นว่ามือทั้งสองที่อยู่ใต้แขนเสื้อของโจวฝานกำหมัดไว้แน่น เห็นชัดว่ากำลังควบคุมอารมณ์
สตรีชุดเขียวมีสีหน้าสงบ ไม่นานก็หมุนตัวเดินจากไป
โจวฝานยังยืนอยู่กับที่ ไหล่ของเขาสั่นเทา
หานเจวี๋ยพอจะเดาอะไรได้คร่าวๆ
เขายกฝีเท้าเดินเฉียดไหล่โจวฝานไป
โจวฝานยังโกรธอยู่ เมื่อเหลือบเห็นร่างของหานเจวี๋ยก็ขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้
“ช้าก่อน!”
โจวฝานตะโกน
ครั้นเอ่ยออกไป ศิษย์ที่สัญจรไปมาบริเวณนั้นก็พากันหยุดฝีเท้าลง
หานเจวี๋ยกลับไม่หยุด ยังคงเดินออกไปจากหออย่างรวดเร็ว เตรียมตัวไปสระวิญญาณอื่นต่อ
โจวฝานมายืนขวางอยู่ตรงหน้าเขา
หานเจวี๋ยเลิกคิ้วถามว่า “พี่ชายท่านนี้มีเรื่องอันใดหรือ”
“ท่านก็คือหานเจวี๋ยสินะ”
“หือ? ท่านรู้จักข้าหรือ”
“ข้าน้อยโจวฝานจากยอดเขาอัสนี ได้ยินศิษย์พี่โม่เอ่ยถึงท่านบ่อยๆ บอกว่าท่านจะเป็นผู้บำเพ็ญที่ทรงพลังของสำนักหยกพิสุทธิ์ในภายหน้า”
หานเจวี๋ยเหงื่อตก ไม่คิดว่าโม่ฟู่โฉวจะคุยโวเรื่องเขาไปทั่ว
เขาตอบกลับอย่างสุภาพ “ท่านหาข้ามีเรื่องอันใด”
โจวฝานมีสีหน้ากลัดกลุ้ม หายใจเข้าลึกๆ ก่อนพูดว่า “ข้าได้ยินมาว่าท่านได้รับความชมชอบจากสตรีมาก ตอนที่ศิษย์น้องโม่จู๋พูดถึงท่าน แววตาก็เต็มไปด้วยความชื่นชม ข้าใคร่ถามสักหน่อย…ข้าควรจะตามจีบนางในดวงใจอย่างไร”
ใบหน้าของหานเจวี๋ยเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม
อะไรกันเนี่ย
ข้าคิดว่าเจ้าจะประลองเวทกับข้าเสียอีก!
หานเจวี๋ยพูดอย่างจริงจัง “ผู้บำเพ็ญจะหมกมุ่นเรื่องอิสตรีได้อย่างไร สตรีนับเป็นอะไรได้ หากสำเร็จมหามรรคา ใต้หล้ายอมสยบให้ ท่านอยากได้สิ่งใดย่อมได้สิ่งนั้น! ท่านดูข้าสิ เคยเข้าไปใกล้ชิดสตรีเมื่อใดกัน”
หลังจากทิ้งคำพูดไว้ หานเจวี๋ยก็เคลื่อนกายผ่านโจวฝานแล้วจากไปอย่างรวดเร็ว
‘เจ้าโง่ หน้าตาของเจ้าเทียบกับข้าได้หรือ’
หานเจวี๋ยค่อนแคะอยู่ในใจ
รูม่านตาของโจวฝานหดลง มองแผ่นหลังหานเจวี๋ยด้วยความตระหนกตกใจ
‘ท่าร่างรวดเร็วมาก คนผู้นี้ร้ายกาจจริงๆ ด้วย!’
โจวฝานแอบคิดในใจ ไม่นานก็เริ่มขบคิดถึงคำพูดของหานเจวี๋ย
โม่ฟู่โฉวเคยพูดว่า จากความตั้งใจในการฝึกฝนของหานเจวี๋ย จะต้องเป็นคนแรกที่เขาเคยเห็นในชีวิตนี้แน่
เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นตามหานเจวี๋ยไป
[โจวฝานเกิดความประทับใจในตัวท่าน ระดับความประทับใจในขณะนี้คือ 1 ดาว]
ครั้นหานเจวี๋ยเห็นตัวอักษรแถวนี้ ก็แอบประหลาดใจเล็กน้อย
เขารับรู้ได้ว่าโจวฝานกำลังตามเขามา แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจ
หนึ่งปีต่อมา หานเจวี๋ยอาศัยอยู่ในสระวิญญาณอัคคี ฝึกฝนรากวิญญาณให้บรรลุระดับสร้างฐานขั้นเก้า
โจวฝานออกไปได้สองเดือนแล้ว
ตอนที่จากไป เขามีสีหน้าไม่พอใจเป็นอย่างมาก
หานเจวี๋ยเดาว่าเขาคงไม่มีหินวิญญาณแล้ว
ปัจจัยสี่ประการในการบำเพ็ญเซียนคือทรัพย์ สหาย วิธีการ และหลักแหล่ง เจ้าหมอนี่ไม่มีทั้งทรัพย์ทั้งสหาย ช่างน่าอนาถแท้!
หานเจวี๋ยเคลื่อนตัวไปยังสระวิญญาณพฤกษา ใช้เวลาหนึ่งปีฝึกฝนรากวิญญาณพฤกษาจนไปถึงระดับสร้างฐานขั้นเก้า
จนกระทั่งบัดนี้ รากวิญญาณของเขาก็เหลือเพียงวารีกับปฐพีเท่านั้นที่ยังอยู่ระดับสร้างฐานขั้นแปด!
หานเจวี๋ยพอใจกับอัตราความเร็วในการเพิ่มขึ้นของตบะมาก
การทดสอบของสำนักฝ่ายในก็ใกล้จะเริ่มขึ้นแล้ว
หานเจวี๋ยกลับไปรอที่ถ้ำเทวา
เพิ่งกลับไปได้ไม่ถึงครึ่งเดือน ระฆังของยอดเขาหยกวิเวกก็ส่งเสียงดัง ศิษย์ทั้งหมดมารวมตัวกันที่หน้าตำหนักหยกวิเวก
ผู้เฒ่าเถี่ยก็มาเช่นกัน
ตบะของผู้เฒ่าเถี่ยยังคงค้างอยู่ที่ระดับสร้างฐานขั้นหนึ่ง
คุณสมบัติด้อยเกินไป
หานเจวี๋ยอดเห็นใจเขาไม่ได้
เมื่อศิษย์ทั้งหมดคุกเข่าคารวะอยู่หน้าประตูตำหนักใหญ่ ศิษย์พี่ใหญ่หลิ่วซานซินก็พลันถ่ายทอดเสียงมาหาหานเจวี๋ย ‘ศิษย์น้องหาน เจ้ารู้จักสตรีที่ชื่อสิงหงเสวียนหรือไม่’
……………………………………….