บทที่ 178 หินสีแดงลึกลับ หานเจวี๋ยที่แข็งแกร่งขึ้น
“เจ้าไม่ได้บำเพ็ญเพียร จะรู้ได้อย่างไรว่าตบะคือสิ่งที่ขัดความความสงบสุขของใต้หล้า” หานเจวี๋ยหันมาจ้องมองฉู่ซื่อเหรินแล้วเอ่ยถาม
ฉู่ซื่อเหรินตอบ “การใช้อำนาจบาตรใหญ่กดขี่ผู้อื่นเป็นสัญลักษณ์ของความอยุติธรรม อำนาจใหญ่สุดของมนุษย์ปุถุชนคืออำนาจจักรพรรดิ อำนาจใหญ่สุดของใต้หล้าคือการบำเพ็ญพรต หากคนในใต้หล้าล้วนเป็นมนุษย์ปุถุชนหมด ก็ไม่ต้องแสวงหาการบำเพ็ญเพียร ทุกคนเท่าเทียม ไหนเลยจะมีแบ่งแยกแข็งแกร่งกับอ่อนแอ”
หานเจวี๋ยเอ่ยถาม “หากคนในใต้หน้าล้วนเป็นมนุษย์ปุถุชน บ้างเกิดมาไม่มีมือเท้า ไม่อาจสัมผัสได้ถึงความสุขแบบคนทั่วไป เช่นนั้นใต้หล้านี้ยุติธรรมจริงๆ หรือ ที่เจ้าแสวงหาคือโลกตายด้านที่ไร้การต่อสู้ หรือว่าแดนสุขาวดีที่ทุกคนต่างพูดด้วยเสียงหัวเราะมีความสุข”
‘แดนสุขาวดี!’
จิตใจของฉู่ซื่อเหรินเริ่มหวั่นไหว
เขาตอบออกไปในทันที “แน่นอนว่าต้องเป็นแดนสุขาวดีที่ทุกคนต่างก็หัวเราะด้วยความสุข”
“มักจะมีคนอยากเติบโต แต่ไม่อาจเติบโตได้ จึงไม่อาจยิ้มอย่างเป็นสุขได้ คนประเภทนี้เจ้าจะเปลี่ยนแปลงอย่างไร”
หานเจวี๋ยซักถามต่อ คนอื่นๆ ก็ฟังอย่างตั้งใจ พวกเขาฟังจนเข้าใจมรรคจิตของหานเจวี๋ย
ฉู่ซื่อเหรินเอ่ย “ข้าจะนำพวกเขาไปเสาะแสวงหาความสุขอื่น”
“เจ้าอาศัยอะไร”
“อาศัยอะไรหมายความว่าอย่างไร”
“อาศัยอะไรที่มาเปลี่ยนปณิธานของผู้คน เจ้ามีสิทธิ์อันใดหรือ หากเจ้ามี คนที่อยากรังแกกดขี่เจ้าเหล่านั้น คนที่ชอบประพฤติร้ายเหล่านั้น เจ้าอาศัยอะไรมาบอกว่าพวกเขาไม่มีสิทธิ์นี้”
“เพราะว่าพวกเขาผิด!”
“อาศัยอะไรมาบอกว่าพวกเขาผิด หรือเจ้าคิดว่าผิดก็คือผิด หรือว่ามรรคาสวรรค์บอกเจ้าเองว่าพวกเขาผิด ไม่ว่าจะกล่าวอย่างไร เจ้าเพียงแค่ต้องการให้ทั่วหล้าฟังเจ้า อยากให้โลกเปลี่ยนไปแบบที่เจ้าต้องการ”
“ข้าเปล่า!”
“ที่จริงเจ้าก็ไม่ได้ผิด”
หานเจวี๋ยเบนหัวข้อสนทนา และกล่าวด้วยรอยยิ้มแปลกประหลาด
ฉู่ซื่อเหรินอึ้งตะลึง ยังคิดว่าหานเจวี๋ยต้องการจะด่าตนเองเสียอีก หักมุมเร็วเกินไปแล้ว!
หานเจวี๋ยกล่าว “หากตบะของเจ้าแข็งแกร่งที่สุด เช่นนั้นเจ้าก็สามารถสร้างโลกที่เจ้าต้องการได้ไม่ใช่หรือ”
ฉู่ซื่อเหรินนิ่งเงียบ
“ทั้งๆ ที่เจ้ามีพรสวรรค์เลิศล้ำ บำเพ็ญเพียรง่ายหรือว่าการพูดเกลี้ยกล่อมใต้หล้าง่ายเล่า เจ้าเองก็มีอายุขัยไม่ถึงสองร้อยปี มีชีวิตอยู่จนถึงทุกวันนี้ เจ้าเกลี้ยกล่อมไปได้กี่คนแล้ว”
วาจาของหานเจวี๋ยราวกับมีดเล่มหนึ่งที่ปักอยู่กลางใจฉู่ซื่อเหริน
เขาเกลี้ยกล่อมผู้บำเพ็ญไปแล้วมากมาย
แต่ไม่มีผู้ใดที่ถูกเขาเกลี้ยกล่อมสำเร็จ
หานเจวี๋ยพลันถามขึ้นว่า “เจ้านับถือพุทธหรือนับถือเต๋า”
แดนบำเพ็ญพรตแถบนี้นับถือเต๋าเป็นหลัก วิธีการบำเพ็ญแบบพุทธพบเจอได้น้อยมาก แม้กระทั่งพูดได้ว่าหายสาบสูญไปแล้ว
แต่ว่าพุทธศาสนากลับเป็นที่นิยมในหมู่มนุษย์ธรรมดาเป็นอย่างมากมาก ราชวงศ์จำนวนมากต่างก็นับถือพุทธศาสนา
ฉู่ซื่อเหรินตอบ “ย่อมนับถือเต๋า ที่ข้านับถือคือหลักธรรมมหากุศล ใต้หล้าล้วนดีงาม”
หานเจวี๋ยกล่าวด้วยถ้อยคำที่แฝงความหมายลึกซึ้ง “ก็ไม่รู้ว่าเจ้าจะสามารถยืนหยัดในเจตนาเดิมได้หรือไม่”
“จะต้องไม่เปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอน มิเช่นนั้นจะทุบกระดูก กระจายเถ้าถ่าน วิญญาณแตกสลาย ไม่ได้ไปผุดไปเกิดตลอดกาล!”
ฉู่ซื่อเหรินกล่าวยืนยันด้วยสีหน้าหนักแน่น
หานเจวี๋ยไม่รู้เจตนาของสำนักพุทธ จึงไม่ได้พูดอะไรมาก เขาย่างก้าวกลับเข้าไปในถ้ำเทวา
อู้เต้าเจี้ยนตามหลังเขาไปติดๆ
หยางเทียนตงลากฉู่ซื่อเหรินมาอีกด้าน ก่อนเริ่มอบรมสั่งสอน
ฉู่ซื่อเหรินจิตใจล่องลอย เขายังคงครุ่นคิดเกี่ยวกับคำพูดของหานเจวี๋ย
สิ่งที่เขาต้องการก็เป็นสิ่งที่ถูกต้องจริงหรือ
‘หากอยากให้มนุษย์โลกละทิ้งการบำเพ็ญเพียร ตนเองต้องบำเพ็ญเพียรก่อน บรรลุระดับที่แข็งแกร่งที่สุดแล้วค่อยเปลี่ยนแปลงมนุษย์โลก แล้วนี่นับประสาอะไรกัน
อยากให้ผู้คนละทิ้งการฝึกฝน แต่ตัวเองต้องฝึกฝน?’
ฉู่ซื่อเหรินสับสนไปหมดแล้ว
……
สิบปีต่อมา
อีกาทองสองตัวยังคงทะลวงอย่างต่อเนื่องจนถึงระดับเซียนอิสระ หานเจวี๋ยออกคำสั่งห้ามพวกเขาออกไปจากเขาเพียรบำเพ็ญเซียนเด็ดขาด มิเช่นนั้นจะถูกมรรคาสวรรค์ขับไล่
คนอื่นๆ รู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมากว่าเหตุใดเขาเพียรบำเพ็ญเซียนถึงมีความสามารถในการต่อต้านมรรคาสวรรค์ได้
ในสิบปีนี้ฉู่ซื่อเหรินยังคงไม่ฝึกฝน นั่งเหี่ยวแห้งอยู่ใต้ต้นไม้ทุกวัน ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไร
หานเจวี๋ยจดจ่ออยู่กับการฝึกฝน แต่ยังอยู่ห่างจากระดับเซียนสวรรค์วัฏจักรระยะกลางอีกมาก
ยังต้องใช้เวลาอีกยี่สิบกว่าปี!
การบำเพ็ญระดับเซียนสวรรค์ยากกว่าระดับเซียนพิภพมาก แม้กระทั่งสามารถพูดได้ว่าแตกต่างกันอย่างมาก
มิน่าเล่า จั้งกูซิงถึงบอกว่ารอบรรลุเซียนสวรรค์ไท่อี่แล้วค่อยออกไประเหเร่ร่อนสู้ชีวิตในโลกกว้างจะดีที่สุด
ต่ำกว่าระดับเซียนสวรรค์ไท่อี่ล้วนเป็นแค่มด!
และแน่นอน เซียนสวรรค์เป็นเพียงมดตัวใหญ่เท่านั้น
หานเจวี๋ยเห็นว่าจักรพรรดิเซียนถูกยอดแม่ทัพเทพสังหาร ทำให้เขาคิดว่าแม้จะสำเร็จระดับจักรพรรดิเซียน ก็ไม่อาจกระทำผิดอย่างกำเริบเสิบสานได้
พูดถึงยอดแม่ทัพเทพ แม้ว่าจะเก่งกาจมาก แต่ก็อาจติดกับศัตรูได้
บางทีอาจมีเพียงการบรรลุถึงระดับต้าหลัวที่อ้างว้างเปล่าเปลี่ยว ถึงจะสามารถหลุดพ้นได้อย่างแท้จริง
หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น หยิบหนังสือแห่งความโชคร้ายออกมาเพื่อผ่อนคลาย
ชั่วชีวิตนี้เขาฝึกฝนมาโดยตลอด จำเป็นต้องมีกิจกรรมเพื่อความบันเทิงเริงใจบ้าง
อันดับแรกคือการสาปแช่งเทพปีศาจเอ้อไหลก่อน ต้องสร้างเรื่องให้เจ้าหมอนี่สักหน่อย
หลายเดือนต่อมา
สิงหงเสวียนกลับมาแล้ว
สิ่งแรกที่นางทำก็คือการมาหาหานเจวี๋ย
หานเจวี๋ยไล่อู้เต้าเจี้ยนให้ออกไปจากถ้ำเทวาอย่างรู้งาน ทำให้แม่หนูปีศาจหญ้าไม่พอใจเป็นอย่างมาก
“ศิษย์พี่ของข้าเล่า” หานเจวี๋ยเอ่ยถาม
หากฉางเยวี่ยเอ๋อร์กลับมาด้วย จะต้องงอแงอยากพบเขาแน่นอน
สิงหงเสวียนเอ่ยตอบ “หลังจากพวกเรากลับถึงต้าเยี่ยนก็แยกทางกัน นางบอกว่าจะกลับบ้านเดิมสักหน่อย”
“นางยังมีบ้านเดิมด้วยหรือ”
“ใครจะไปรู้เล่า ไม่ต้องไปสนใจนางหรอก ท่านพี่ ท่านดูสินี่คือสมบัติอะไร”
สิงหงเสวียนพลิกมือขวาขึ้น หินสีแดงแปลกประหลาดก้อนหนึ่งปรากฏอยู่กลางฝ่ามือ
หานเจวี๋ยรับไปดู หินสีแดงก้อนนี้นอกจากสีแล้ว ส่วนอื่นก็ดูเหมือนหินธรรมดาก้อนหนึ่ง
เขาใช้พลังจิตของตัวเองตรวจสอบ พบว่าด้านในหินสีแดงมีไอแปลกประหลาดอยู่กลุ่มหนึ่ง แม้แต่ระดับเซียนสวรรค์วัฏจักรอย่างเขาก็ไม่อาจมองทะลุปรุโปร่งได้
‘สมบัติล้ำค่าอีกแล้วหรือ’
หานเจวี๋ยลอบตกใจ ‘แม่หนูนี่จะดวงดีเกินไปหน่อยแล้วกระมัง!’
เขาถามอย่างระมัดระวัง “หินก้อนนี้เจ้าไปได้มาจากที่ใด”
สิงหงเสวียนเอ่ยตอบ “ตกลงมาจากฟ้า เกือบจะหล่นโดนข้าเสียแล้ว ข้าว่าหินที่สามารถหล่นลงมาจากฟ้าได้ จะธรรมดาได้อย่างไรกัน”
‘ตกลงมาจากฟ้าอีกแล้ว?
ศิลาแคล้วสวรรค์ก่อนหน้านี้ก็ตกลงมาจากฟ้า’
หานเจวี๋ยไม่เชื่อว่ามันจะเป็นเรื่องบังเอิญ
จะต้องมีสาเหตุอย่างแน่นอน
ท่ามกลางความมืดมิด มีดวงตาคู่หนึ่งสอดส่องมองดูเขาอยู่
“อย่าคิดอีกเลย ไม่เจอกันนานเพียงนี้ ข้าก็คิดถึงท่านจะแย่”
สิงหงเสวียนกล่าวด้วยรอยยิ้ม และเริ่มเป็นฝ่ายช่วยหานเจวี๋ยถอดเสื้อผ้า
หานเจวี๋ยกล่าวอย่างจนใจ “รีบร้อนเพียงนี้เชียว?”
“แน่นอนสิ ข้าคิดถึงท่านทุกวัน”
“หุ่นเชิดสวรรค์ของข้ายังดีอยู่หรือไม่”
“เชอะ ข้าเพียงนำมันออกมาพูดคุยเท่านั้น ไม่ได้ทำอะไรเสียหน่อย พวกเราเล่นลูกไม้ใหม่ๆ บ้างเถอะ”
“ลูกไม้ใหม่อะไรหรือ”
“ท่านทำตามที่ข้าบอก”
……
หนึ่งเดือนหลังจากนั้น สิงหงเสวียนจากไปด้วยความอิ่มเอมใจ
อู้เต้าเจี้ยนมองตามเงาร่างของนางไป กัดฟันอย่างอดไม่ได้
บนกายของนางเต็มไปด้วยกลิ่นไอของนายท่าน ช่างเข้มข้นเกินไปแล้ว!
อู้เต้าเจี้ยนเริ่มรู้สึกสงสัยในชีวิตคนเราขึ้นมาบ้างแล้ว
ตนเองอยู่เคียงข้างเป็นเพื่อนนายท่านทุกวัน แล้วเหตุใดถึงไม่ได้ใกล้ชิดสนิทสนมกับนายท่านเช่นนี้
แต่พอสิงหงเสวียนกลับมา นางก็ได้…
ภายในถ้ำเทวา
หานเจวี๋ยกำลังเล่นกับหินสีแดงอยู่ มือซ้ายถือศิลาแคล้วสวรรค์ไว้ศึกษาดู
ดูอยู่นาน เขาก็ไม่เข้าใจ
เขาไม่ได้ตรวจสอบมันอีก และเริ่มทำการฝึกฝนอีกครั้ง
บางทีรอจนตบะของเขาเพิ่มถึงระดับหนึ่ง ก็อาจจะมองทะลุหินสีแดงได้เอง
สามปีต่อมา
หานเจวี๋ยยังคงฝึกฝน เขาพลันสัมผัสได้ถึงพลังบางอย่างที่พยายามดึงจิตรับรู้เขาไป แม้ว่าจะไม่ได้แข็งแกร่งมาก แต่เขาก็จำพลังนี้ได้
‘เซียนเมฆาแดง!’
หานเจวี๋ยผ่อนคลายลง ปล่อยให้เซียนเมฆาแดงพาจิตรับรู้ของเขาไปท่ามกลางท้องฟ้ากว้างใหญ่ที่ดารดาษไปด้วยดวงดาว
เซียนเมฆาแดงเพิ่งมีตบะบำเพ็ญแค่ระดับเซียนสวรรค์ไท่อี่ระยะต้น หานเจวี๋ยตามทันแล้ว หากพูดถึงพลังที่แท้จริงหานเจวี๋ยจะต้องแกร่งกว่าเขา
ได้พบกับเซียนเมฆาแดงอีกครั้ง หานเจวี๋ยก็ปลงอนิจจังไปร้อยแปดพันเก้า
ยามนั้น เขารู้สึกว่าเซียนเมฆาแดงแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก อยู่สูงเกินเอื้อม แต่ตอนนี้กลับรู้สึกเพียงว่ามันก็แค่นี้
……………………………………….