บทที่ 188 ตี้ไท่ไป๋ ระดับเซียนสวรรค์วัฏจักรระยะปลาย
กลับถึงถ้ำเทวาฟ้าประทาน หานเจวี๋ยนำมรรคกระบี่เทียมฟ้าออกมา เริ่มทำการหยั่งรู้
สุดยอดวิชาที่ทำให้จักรพรรดิสวรรค์นำออกมาได้ ย่อมไม่ใช่สินค้าตามท้องถนนทั่วไปแน่
อู้เต้าเจี้ยนเอ่ยถามอย่างใคร่รู้ว่า “นี่คืออะไรหรือ”
หานเจวี๋ยเอ่ยตอบ “มรรคกระบี่ประเภทหนึ่ง”
ได้ยินเช่นนี้ แววตาของอู้เต้าเจี้ยนก็ทอประกาย เอ่ยถามว่า “ข้าเรียนได้หรือไม่”
หานเจวี๋ยเหลือบสายตาขึ้นมองนาง แค่นเสียงกล่าวว่า “รอให้ข้าเรียนรู้ก่อนค่อยสอนเจ้าแล้วกัน”
หากอู้เต้าเจี้ยนสามารถแข็งแกร่งขึ้นได้ หานเจวี๋ยย่อมต้องดีใจเป็นธรรมดา
ไม่อาจเป็นแจกันดอกไม้ไปได้ตลอด ยิ่งมากไปกว่านั้น หานเจวี๋ยเชื่อว่าตนยังสามารถได้รับพลังวิเศษที่แข็งแกร่งยิ่งกว่านี้ ไม่ได้กลัวว่าหากสอนศิษย์จนเป็นวิชาแล้ว ท่านอาจารย์จะอดอยาก
จากความรู้สึกที่อู้เต้าเจี้ยนมีต่อตน นางไม่มีทางทรยศหักหลังเด็ดขาด
ต่อให้หักหลัง หานเจวี๋ยเองก็ได้ประทับตราประทับหกวิถีไว้แต่เนิ่นๆ แล้ว มีวิธีแก้ไขอีกมาก
ทำเช่นนี้อาจไม่ยุติธรรมต่ออู้เต้าเจี้ยน แต่จะไม่ระวังภัยจากผู้คนเลยนั้นไม่อาจทำได้
ต่อให้เป็นหญิงสาวที่ใกล้ชิดสนิทกับตนมากที่สุด หานเจวี๋ยก็ไม่สามารถเชื่อได้อย่างสนิทใจ
ชีวิตอมตะถึงจะเป็นเป้าหมายแรก ไม่อาจถูกความรู้สึกบังตาได้
หานเจวี๋ยไม่คิดให้มากความอีก ตั้งสมาธิเข้าฌานหยั่งรู้
เขายิ่งอ่านก็ยิ่งตกใจ
มรรคกระบี่เทียมฟ้านี่มีของอยู่บ้างแฮะ
ใช้ได้!
จะต้องช่วยเพิ่มพูนความแข็งแกร่งให้เขาได้อย่างแน่นอน
…
พระราชวังเทียมเมฆา
จักรพรรดิสวรรค์ประทับบนแท่นหยก กลับคืนสู่บุคลิกเย็นชาสูงส่งงามสง่า เผด็จการเด่นเหนือปวงชนอีกครั้ง
ในท้องพระโรงเหลือคนเพียงผู้เดียว
เขาคือเซียนชราหนวดขาวผู้หนึ่ง
เซียนผู้นี้มีนามว่าตี้ไท่ไป๋ ตำแหน่งในวังสวรรค์เทียบเท่ากับผู้นำเซียนฝ่ายบุ๋น
ตี้ไท่ไป๋เอ่ยถามอย่างใคร่รู้ “ฝ่าบาท ท่านมอบมรรคกระบี่เทียมฟ้าให้แก่คนผู้นั้นจริงหรือพ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิสวรรค์กล่าว “อืม ด้วยคุณสมบัติของเขา ไม่ถึงพันปีน่าจะสามารถเข้าใจได้อย่างสมบูรณ์”
ตี้ไท่ไป๋กล่าวทอดถอนว่า “วังสวรรค์ได้บุตรแห่งสวรรค์เช่นนี้ หนทางยิ่งใหญ่ก็เป็นเพียงเรื่องของเวลาแล้ว”
“เราไม่คิดให้เขามาอยู่ในชั้นเซียน อย่างน้อยก่อนหน้าที่เขาจะย่างเข้าสู่เซียนทองไท่อี่ คงไม่พิจารณาเรื่องนี้”
“เช่นนี้ก็ดีพ่ะย่ะค่ะ เลี่ยงไม่ให้ถูกวังเทพ สำนักพุทธและวังปีศาจจ้องเล่นงาน”
“ต่อจากนี้เจ้ามีอำนาจรับผิดชอบหานเจวี๋ยอย่างเต็มที่ หานเจวี๋ยมีข้อเรียกร้องใด ขอเพียงไม่เกินไปนัก เจ้าต้องพยายามทำตามอย่างสุดความสามารถ หากมีผู้ใดทำอันตรายเขา เจ้าก็ต้องช่วยออกหน้า เข้าใจหรือไม่”
“รับทราบพ่ะย่ะค่ะ”
“อาการของซั่นเอ๋อร์เป็นอย่างไรบ้าง”
“รัชทายาทฟื้นฟูกายเนื้อเรียบร้อยแล้ว มรรคจิตก็มั่นคง ไม่ได้เคียดแค้นหานเจวี๋ย และไม่ได้เคืองแค้นท่าน กลับกันนั้นยังรู้สึกว่าตนแกร่งไม่พอ พยายามไม่พอ”
“อืม มีจิตปณิธานมากกว่าพี่น้องคนอื่นๆ ของเขา”
จักรพรรดิสวรรค์ทรงพระสรวล สายพระเนตรทอดมองทางด้านนอกพระราชวังเทียมเมฆา
ตี้ไท่ไป๋ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวว่า “จักรพรรดิเซียนกลับชาติมาเกิดของวังเทพผู้นั้นปลุกมรรคจักรพรรดิแล้ว สำนักพุทธกับวังเทพเหมือนจะ…”
จักรพรรดิสวรรค์แค่นเสียงกล่าว “เหมือนจะสมคบคิดกันแล้ว ใช่หรือไม่ วังสวรรค์เป็นระบบเทพเซียนทางการที่บรรพชนเต๋ายอมรับ ยามนี้บรรพชนเต๋าปิดด่านฝึกฝนนับครั้งไม่ถ้วน พวกเขาล้วนอยากปฏิรูประบบการปกครองวังสวรรค์ ไม่ใช่เรื่องใหญ่ วังสวรรค์เองก็มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดของตน ไม่อาจพังทลาย”
ตี้ไท่ไป๋ยิ้มพลางพยักหน้า
จักรพรรดิสวรรค์คล้ายนึกอะไรขึ้นมาได้ กล่าวทอดถอนใจอย่างมีเลศนัย “คนเมืองยมบาลผู้นั้นเหมือนจะสร้างพันธะสัญญาบางอย่างกับหานเจวี๋ย หากวิญญาณแห่งเทพปีศาจเคลื่อนเข้าสู่โลกมนุษย์ของหานเจวี๋ย เจ้าก็ช่วยเป็นธุระปกปิดเรื่องนี้ด้วย แน่นอนว่า ห้ามให้คนเมืองยมบาลผู้นั้นรู้ว่าเป็นประสงค์ของเรา”
ตี้ไท่ไป๋นิ่งอึ้งไป ก่อนจะรีบรับคำ
…
ห้าปีต่อมา
หานเจวี๋ยเรียนมรรคกระบี่เทียมฟ้าจนแตกฉานอย่างสมบูรณ์ เขาอดทอดถอนใจไม่ได้
วิชากระบี่นี้ช่างสูงล้ำสุดหยั่งจริงๆ เขาที่มีคุณสมบัติมรรคกระบี่ระดับสูงสุด ความสามารถในการเข้าใจมรรคกระบี่ระดับสูงสุดยังต้องใช้เวลาห้าปีกว่าจะเรียนจนแตกฉานอย่างสมบูรณ์
หากเป็นผู้อื่น เกรงว่าชั่วชีวิตนี้ล้วนไม่อาจเรียนจนแตกฉานได้
มรรคกระบี่เทียมฟ้า แบ่งออกเป็นสี่ขั้น
ขั้นที่หนึ่ง หนึ่งกระบี่เทียมฟ้า
ขั้นที่สอง ผ่ากรรม
ขั้นที่สาม กระบี่เบิกบุพกาล
ขั้นที่สี่ ค่ายกลกระบี่สังหารเซียน
ยามที่หานเจวี๋ยเห็นค่ายกลกระบี่สังหารเซียนครั้งแรกก็อดนึกถึงค่ายกลกระบี่สังหารเซียนในพงศาวดารสถาปนาเทพขึ้นมาไม่ได้ หากไม่ใช่สี่อริยะก็ไม่อาจทลายมันได้
กระทั่งเขาเรียนค่ายกลกระบี่สังหารเซียนจนชำนาญแล้ว เขาถึงได้เข้าใจว่าไม่ได้ไร้เทียมทานเหมือนอย่างที่เขาจินตนาการ
ค่ายกลกระบี่สังหารเซียนในมรรคกระบี่เทียมฟ้าสามารถกระตุ้นอานุภาพแข็งแกร่งเพียงใด ยังต้องมาตัดสินว่ากระบี่แข็งแกร่งแค่ไหนอีกด้วย
หานเจวี๋ยรีบจำลองการทดสอบทันที ก่อนหน้านี้ยามที่ต่อสู้กับหลงซั่นและเทพยุทธ์จวี้หลิง เขาได้ให้ระบบคัดลอกความแข็งแกร่งของพวกเขาเอาไว้แล้ว
พึ่งมรรคกระบี่เทียมฟ้า หานเจวี๋ยก็สามารถปลิดชีพหลงซั่นในฉับพลันได้ทันที!
เขาใช้เพียงแค่มรรคกระบี่ขั้นแรก หนึ่งกระบี่เทียมฟ้า
ต่อสู้กับเทพยุทธ์จวี้หลิง ก็ปลิดชีพในฉับพลันเช่นกัน
หานเจวี๋ยเริ่มสู้กับพวกเขาสองคนแบบตัวต่อตัว จนขยับมาหนึ่งต่อสอง ก็ยังปลิดชีพในฉับพลันได้!
‘มรรคกระบี่เทียมฟ้านี่แข็งแกร่งยิ่งนัก!’
หานเจวี๋ยนึกคิดอย่างสวยงาม
เขายกมือขึ้นชี้ ถ่ายทอดมรรคกระบี่เทียมฟ้าขั้นที่หนึ่งให้แก่อู้เต้าเจี้ยน
ช่อแสงสายหนึ่งเจาะเข้าไปกลางหน้าผากของอู้เต้าเจี้ยน นางสั่นระริกไปทั้งกาย หลังจากนั้นไม่นานก็เข้าสู่สภาวะรู้แจ้งหยั่งถึงอันเร้นลับอย่างหนึ่ง
หานเจวี๋ยบำเพ็ญตบะต่อ เร่งทำเวลาบรรลุถึงระดับเซียนสวรรค์วัฏจักรระยะปลายในเร็ววัน
แม้จักรพรรดิสวรรค์จะกลายเป็นที่พึ่งของเขาแล้ว แต่เขาก็ไม่สามารถพึ่งพาอาศัยจักรพรรดิสวรรค์ได้ทั้งหมด สรรพสิ่งยังต้องพึ่งตนเองอยู่
…
เวลาผันผ่าน
เวลายี่สิบปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว เคราะห์แห่งวังสวรรค์เมื่อหลายสิบปีก่อนผ่านไปอย่างสมบูรณ์แล้ว มนุษย์โลกไม่เอ่ยถึงเคราะห์ในปีนั้นอีกแล้ว แดนบำเพ็ญพรตก็กลับสู่สภาพเดิมเหมือนที่ผ่านมา มีคนต่อสู้ มีคนสำเร็จมรรคผลขึ้นสู่สวรรค์ และมีคนบรรยายธรรมทั่วหล้า
เพราะคุณความดีของหานเจวี๋ย สำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์จึงได้รับประโยชน์มหาศาล กลายเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของสิบเขตเก้าราชวงศ์ มีผู้บำเพ็ญอิสระ มนุษย์ทั่วไปมุ่งหน้ามากราบไหว้บูชาเนืองแน่นไม่ขาดสาย
ตลอดเวลานั้นหานเจวี๋ยไม่ได้ถูกรบกวนเลย ทำให้เขาสงบจิตบำเพ็ญตบะ และฝ่าทะลวงถึงระดับเซียนสวรรค์วัฏจักรระยะปลายได้สำเร็จ
วันนี้เอง
เขาเพียรบำเพ็ญเซียนได้ต้อนรับแขกผู้มาเยือนท่านหนึ่ง
นั่นก็คือตี้ไท่ไป๋ เขาเหยียบย่างตรงเข้าสู่เขาเพียรบำเพ็ญเซียน เมินค่ายกลใหญ่พิทักษ์เขา แม้แต่วิชาค่ายกลป้องกันภัยของอาณาเขตเต๋าก็ยังเหมือนเป็นสิ่งล่องหน
พวกหยางเทียนตง ฉู่ซื่อเหรินและฟางเหลียงถูกทำให้ตกใจ ทุกคนต่างลุกขึ้นมา ยังเข้าใจว่าศัตรูมาบุกรุก
ตี้ไท่ไป๋กล่าวยิ้มๆ “ไม่ต้องตื่นตระหนกไป ข้าเป็นเทพเซียนของวังสวรรค์ มุ่งหน้ามาครั้งนี้ก็เพื่อเสนอตำแหน่งเซียนให้กับหานเจวี๋ย”
ทันทีที่ประโยคนี้เอ่ยออกมา ทุกคนต่างมองหน้าสบตากัน
ตี้ไท่ไป๋เหลือบมองต้นฝูซังปราดหนึ่ง ลอบตกใจกับตัวเอง
‘คิดไม่ถึงว่าจะเป็นต้นฝูซัง! มิน่าเล่าเจ้าเด็กนี่ถึงบำเพ็ญตบะที่โลกมนุษย์ได้!’
ตี้ไท่ไป๋เดินไปทางถ้ำเทวาฟ้าประทาน
หานเจวี๋ยเปิดประตูถ้ำเทวา และไล่อู้เต้าเจี้ยนออกมา
หลังเข้าไปในถ้ำ ตี้ไท่ไป๋และหานเจวี๋ยก็พูดคุยเป็นพิธีพักหนึ่ง
หานเจวี๋ยเองก็ได้รู้สถานะของเขา
[ตี้ไท่ไป๋: ระดับเซียนทองไท่อี่ขั้นสมบูรณ์ เซียนฝ่ายบุ๋นระดับสองของวังสวรรค์ ผู้นำเซียนฝ่ายบุ๋น หนึ่งในมือขวาคนสนิทของจักรพรรดิสวรรค์ ได้รับความเชื่อใจเป็นอย่างมาก ด้วยคุณสมบัติของท่านรวมถึงความสำคัญที่จักรพรรดิสวรรค์มีต่อท่าน จึงเกิดความประทับใจในตัวท่านเป็นอย่างมาก ระดับความประทับใจในขณะนี้คือ 3 ดาว]
ก่อนหน้านี้ระดับความประทับใจคือสองดาว ตอนนี้เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งดาวแล้ว
ที่ควรกล่าวถึงคือ ระบบสามารถตรวจพบระดับเซียนทองไท่อี่ขั้นสมบูรณ์ได้
ส่วนตบะของตี้หงเย่ ยอดแม่ทัพเทพและจักรพรรดิสวรรค์นั้นไม่สามารถตรวจค้นได้ นี่หมายความว่าสามคนนี้อย่างน้อยก็ต้องเป็นระดับจักรพรรดิเซียน
ตี้ไท่ไป๋ล้วงป้ายคำสั่งสีทองอันหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ กล่าวว่า “นี่เป็นป้ายคำสั่งมรรคาสวรรค์ สามารถทำให้เจ้าปกครองมรรคาสวรรค์โลกมนุษย์แห่งนี้ได้ และสามารถติดต่อกับข้าผ่านป้ายนี้ได้ หลังจากนี้หากมีคำเรียกร้องหรือปัญหาใด ล้วนมาหาข้าได้หมด หย่อนตราประทับจิตวิญญาณลงบนป้ายคำสั่งมรรคาสวรรค์ก็ใช้งานได้แล้ว”
หานเจวี๋ยยิ้มพลางรับป้ายคำสั่งนี้เอาไว้
ตี้ไท่ไป๋ก็ไม่ได้ออกไปในทันที เริ่มพูดคุยกับหานเจวี๋ยตามมารยาท เพื่อกระชับความสัมพันธ์
“มรรคกระบี่เทียมฟ้าที่ฝ่าบาทมอบให้เจ้าไม่ธรรมดานัก หากเจ้าสามารถเรียนรู้ได้ภายในพันปี วันหน้าการบรรลุจักรพรรดิเซียน น่าจะไม่ยากนัก” ตี้ไท่ไป๋กล่าวยิ้มๆ
‘พันปี? จำเป็นต้องนานเพียงนั้นเชียว’
หานเจวี๋ยทำหน้ากังขา
ตี้ไท่ไป๋กล่าวทอดถอนใจ “คิดว่าเกินจริงใช่หรือไม่ วังสวรรค์มีเซียนกระบี่ผู้หนึ่ง ใช้เวลาหมื่นปีกว่าจะเรียนมรรคกระบี่เทียมฟ้าจนบรรลุ เคยฟันแม่น้ำโชคชะตาขาดในกระบี่เดียว บารมีสะท้านปวงสวรรค์ เป็นผลให้ขุมอำนาจใหญ่แต่ละฝ่ายต้องออกมือซ่อมแซมแม่น้ำโชคชะตาอย่างเสียไม่ได้”
…………………………………………………………