บทที่ 194 ซูฉีสำเร็จมรรคผลขึ้นสู่สวรรค์ มหาจักรพรรดิถูกสังหาร
หานเจวี๋ยถอนหายใจออกมาเบาๆ คราหนึ่ง
ส่งจี้เซียนเสินกลับไป หลงซั่นก็โผล่มาอีกคน
‘นี่ก็คือโชคชะตาใช่หรือไม่’
หานเจวี๋ยครุ่นคิดครู่หนึ่ง แต่ก็ยังหยัดกายลุกขึ้นไปรับนัด
ฝึกบำเพ็ญมาหลายสิบปี ออกไปประลองเวทสักหน่อยก็ไม่เลวเหมือนกัน
หลงซั่นเกิดความประทับใจในตัวเขา น่าจะไม่ถึงขั้นดับทำลายเขา คาดว่าคงอยากประลองเวทจริงๆ
ก่อนหน้านี้หานเจวี๋ยอาศัยการเหยียบหลงซั่นขึ้นสู่ตำแหน่ง ครั้งนี้ย่อมไม่อาจออมมือเป็นธรรมดา
หากเขาพ่ายแพ้ให้กับหลงซั่น ก็แสดงว่าพรสวรรค์ของเขาไม่สู้หลงซั่น แล้วจักรพรรดิสวรรค์จะมองเขาอย่างไร
หานเจวี๋ยยังจะวาดฝันการฝึกบำเพ็ญอย่างสงบใจภายใต้การคุ้มครองของจักรพรรดิสวรรค์ได้อย่างไรกัน
ห้วงอากาศ ว่างเปล่าเบาหวิว ไร้แสงสว่าง
หานเจวี๋ยปรากฏกายต่อหน้าหลงซั่น บนร่างของทั้งสองล้วนแผ่ลำแสงออกมาจางๆ นั่นก็คือพลังเซียน สามารถทำให้พวกเขาอยู่รอดในห้วงอากาศว่างเปล่าได้
หลงซั่นยังคงสวมชุดเกราะสีเงินทั้งกาย บุคลิกผ่าเผย มุมปากแทบขยับโค้งเกือบถึงฟากฟ้า
‘มั่นใจในตัวเองยิ่งนัก!
ไม่สิ!
หลงระเริงต่างหาก!’
นี่คือความรู้สึกในคราแรกของหานเจวี๋ยที่ได้เห็นหลงซั่น
หลงซั่นเอ่ยถามด้วยแววตาลุกโชน “หานเจวี๋ย ตบะของเจ้าเป็นอย่างไร”
เพราะการปกปิดของระบบ ตบะของหานเจวี๋ยจึงยังอยู่ในระดับเซียนสวรรค์วัฏจักรระยะกลาง
หานเจวี๋ยกล่าว “ข้าก็บรรลุเซียนแท้แล้วเช่นกัน”
ได้ยินเช่นนี้ รอยยิ้มของหลงซั่นก็ค้างเติ่งในทันควัน
เขาเบิกตาโต ในใจอุบัติเกลียวคลื่นโหมกระหน่ำ
‘เป็นไปได้อย่างไร!
เขาต้องทนตรากตรำตั้งเท่าไรกว่าจะทะลวงถึงระดับเซียนแท้ แต่หานเจวี๋ยที่หลบอยู่ในโลกมนุษย์กลับ…’
“จริงรึ” หลงซั่นกัดฟันเอ่ยถาม
หานเจวี๋ยแบมือไหวไหล่กล่าวว่า “ข้าไม่เคยพูดปด”
หลงซั่นนิ่งเงียบ
หานเจวี๋ยเองก็ไม่รีบร้อนลงมือ
เนิ่นนานนัก
หลงซั่นสูดหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง กล่าวว่า “รอให้ข้าบรรลุเซียนทองก่อนค่อยมาท้าประลองกับเจ้า ข้าจะต้องเหยียบย่างระดับเซียนทองก่อนเจ้าหนึ่งก้าวให้ได้!”
กล่าวจบ หลงซั่นก็หายลับไปจากจุดเดิม
หานเจวี๋ยเบิกบาน ช่างรู้กาลเทศะทีเดียว
เช่นนี้ก็ดี ไม่ต้องประสบการโจมตีที่ร้ายแรงยิ่งกว่านี้
เมื่อครู่เขาใช้แบบจำลองการทดสอบคัดลอกตบะของหลงซั่นแล้ว หลังจากนี้กลับไปอัดสักหน่อยก็ดี
…
ภูเขาเขียวขจี วารีใสมรกต นภดลสีคราม เมฆาขาวกระจ่าง
ภายใต้น้ำตกสายหนึ่ง โจวฝานและโม่ฟู่โฉวยืนอยู่ริมสายธาร ทอดสายตามองผืนน้ำ
ยามนี้พวกเขาไม่ใช่เด็กหนุ่มที่สดใสเช่นในปีนั้นเสียนานแล้ว ทั้งสองล้วนเติบโตขึ้นมาก บนร่างของโม่ฟู่โฉวยิ่งมีความรู้สึกผ่านประสบการณ์โชกโชนอย่างหนึ่ง ส่วนบนร่างโจวฝานกลับมีกลิ่นอายของความชั่วร้าย สีหน้าทาบทับด้วยไอสังหาร ไม่สามารถปกปิดได้
“จะเอาเช่นนี้จริงๆ หรือ” โจวฝานขมวดคิ้วเอ่ยถาม
โม่ฟู่โฉวกล่าวอย่างใจเย็น “จี้เซียนเสินสำเร็จมรรคผลขึ้นสู่สวรรค์ พี่หานกลายเป็นเทพเซียน โลกมนุษย์นี้ไม่มีผู้ใดเป็นคู่ต่อสู้ของพวกเราสองคนได้อีก เหตุใดไม่คว้าชื่อเสียงอันดับหนึ่งใต้หล้า ช่วงชิงโชคชะตา แล้วค่อยขึ้นสู่สวรรค์เล่า”
โจวฝานลังเล เขาตายมาหลายครั้งแล้ว จำเป็นต้องระมัดระวังรอบคอบ
ก่อนหน้านี้ล้วนเป็นโม่ฟู่โฉวที่คอยติดตามเขา คอยบังลมกันฝนให้เขา เขารู้สึกติดค้างโม่ฟู่โฉวมาโดยตลอด เพราะอย่างนั้นชาตินี้จึงให้โม่ฟู่โฉวเป็นผู้ตัดสินใจ
เพียงแต่เขาคิดไม่ถึงว่าหลังจากได้พบกันอีกครั้ง โม่ฟู่โฉวจะบ้าคลั่งอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ มักใหญ่ใฝ่สูงยิ่งนัก
“หากเจ้ากลัว เช่นนั้นก็หาที่ซ่อนตัวฝึกบำเพ็ญสักที่ บางทีอาจมีหวังเป็นเช่นพี่หานก็ได้” โม่ฟู่โฉวเหลือบสายตามองโจวฝานคราหนึ่ง เอ่ยเสียงเบา
ประโยคนี้แทงใจดำโจวฝานในทันที
โจวฝานยกหานเจวี๋ยเป็นต้นแบบมาโดยตลอด คิดว่าต้องพเนจรถึงจะเป็นการฝึกบำเพ็ญอย่างแท้จริง คิดไม่ถึงว่านับวันจะยิ่งไกลห่างออกไปทุกที
เขาไม่มีทางเลียนแบบวิถีของหานเจวี๋ยได้!
ไม่มีทางตลอดกาล!
“หากเจ้าอยากลุย เช่นนั้นข้าก็จะลุยเป็นเพื่อนเจ้า!”
โจวฝานแค่นเสียงกล่าว ‘เทียบหานเจวี๋ยไม่ได้ ยังเทียบกับคนทั่วหล้าไม่ได้ด้วยหรือ’
ใบหน้าของโม่ฟู่โฉวเผยรอยยิ้ม กล่าวว่า “ดีมาก เริ่มจากจวนเซียนสวรรค์ก่อน พวกเขาอยากไล่ล่าสังหารพวกเรานักไม่ใช่หรือ พวกเราก็ทำลายพวกเขากันเลยเถอะ!”
“ตกลง!”
ดวงตาของโจวฝานเองก็ฉายแววรอคอย
เวลานี้ ในป่าไม้มีเงาร่างอรชรสายหนึ่งเดินออกมา นางก็คือเซวียนซือซือศิษย์น้องของเซวียนฉิงจวิน นางคอยพิทักษ์โจวฝานมานานหลายปี
เซวียนซือซือทอดมองเงาหลังของทั้งสองคน คิ้วงามขมวดมุ่น
“สมควรตาย เจ้าหนูสองคนนี่คิดจะทำสิ่งใดอีก”
เซวียนซือซือเหนื่อยใจจริงๆ ติดตามโจวฝานมาหลายปีเพียงนี้ นางก็เหนื่อยแล้วจริงๆ
จู่ๆ นางก็พลันอยากตามศิษย์พี่หญิงสำเร็จมรรคผลขึ้นสู่สวรรค์ขึ้นมาเป็นอย่างมาก
ขืนตามต่อไป นางอาจจะตายเป็นได้ ศัตรูที่โจวฝานไปสร้างเรื่องด้วยนั้นเริ่มแข็งแกร่งกว่านางแล้ว นางอาจจะกลายเป็นแม้กระทั่งตัวถ่วงของโจวฝานก็ได้
‘เช่นนั้นหนีไปเลยดีหรือไม่’
เซวียนซือซือลังเล
ก่อนหน้านี้ที่เซวียนฉิงจวินให้นางคอยติดตามโจวฝานก็เพราะเรื่องของเผ่ามาร ยามนี้เผ่ามารยากจะหวนคืนเข้ามาอีกครั้ง นางติดตามต่อไปก็ไม่มีความหมายอะไรอีกแล้ว
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เซวียนซือซือก็ถอยกลับเข้าไปในป่าเงียบๆ อีกครั้ง
โจวฝานคล้ายสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง เขาเหลียวหลังหันกลับไปมอง ดวงตาวาบแววสลด
เขาเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว
แต่เขามีวิถีของตน ไม่อาจบ้าบิ่นสิ้นคิด ละทิ้งทุกสิ่งเพื่อสตรีได้อีก
…
พริบตาเดียว
เวลาสามสิบปีผ่านไป
หานเจวี๋ยเข้าใกล้ระดับเซียนแท้วัฏจักรระยะกลางแล้ว แต่เขาใช้เวลาเกินกว่าห้าสิบปี นานกว่าระยะเวลาในการทะลวงระดับที่ผ่านมา
วันนี้ ซูฉีมาเยี่ยมเยียนหานเจวี๋ย
เขาทะลวงถึงระดับฝ่าด่านเคราะห์แล้ว ตบะก็รุดหน้าเร็วมาก อย่างไรเสียเขาก็เพียรบำเพ็ญมาโดยตลอด
“อาจารย์ ข้าอยากสำเร็จมรรคผลขึ้นสู่สวรรค์ ช่วงนี้มักรู้สึกว่าโลกเบื้องบนมีอะไรบางอย่างกำลังเรียกร้องหาข้า” ซูฉีคุกเข่าลงคารวะต่อหน้าหานเจวี๋ย กล่าวอย่างจริงจัง
หานเจวี๋ยขมวดคิ้ว
เขากลับรู้สึกโล่งใจอยู่เปราะหนึ่ง
ในขณะที่ซูฉีนับวันยิ่งแข็งแกร่ง ดวงซวยของเขาก็ยิ่งเพิ่มระดับขึ้นเช่นกัน ก่อนหน้านี้หยางเทียนตงกลับมารอบหนึ่ง ยังมาเยี่ยมเยียนซูฉี ผลคือต้องเผชิญกับการโจมตีจากมารในใจ จำต้องออกไปทำจิตใจให้สงบอย่างเสียไม่ได้
หานเจวี๋ยแสร้งเอ่ยอย่างลำบากใจ “โลกเบื้องบนอันตรายยิ่งนัก อาจารย์เองอาจจะปกป้องเจ้าไม่ได้”
ซูฉีกล่าวยิ้มๆ “วางใจเถิดอาจารย์ ข้าก็ใช่ว่าจะหาเรื่องอยู่เป็นนิจ”
หานเจวี๋ยกล่าวว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ หลังจากสำเร็จมรรคผลขึ้นสู่สวรรค์แล้ว ไม่สู้เจ้าไปเข้าร่วมกับหมู่เกาะเซียนมังกร นักพรตเต๋าตันชิงแห่งหมู่เกาะเซียนมังกรเป็นพวกผู้ทรงพลัง ศิษย์ใต้ปกครองมีจำนวนไม่หวาดไม่ไหว นี่คือสิ่งที่เทพเซียนท่านหนึ่งบอกข้ามา แน่นอนว่าหากเจ้าไปกราบนักพรตเต๋าตันชิงเป็นอาจารย์ ห้ามบอกว่ามาจากโลกเมฆาแดง และยิ่งบอกไม่ได้ว่าเป็นลูกศิษย์ของข้า”
ซูฉีจดจำไว้อย่างเงียบๆ แล้วกล่าวว่า “ขอบคุณอาจารย์ยิ่งนักที่ชี้แนะ พอดีเลย หลังจากข้าขึ้นสู่สวรรค์แล้วก็ต้องบำเพ็ญตบะอีกระยะหนึ่ง”
หานเจวี๋ยกล่าวว่า “ไปเถิด หากประสบปัญหาที่คลี่คลายไม่ได้จริงๆ สามารถไปขอความช่วยเหลือจากวังสวรรค์ได้”
ซูฉีลอบซาบซึ้งใจ ‘อาจารย์ยังคงเป็นห่วงข้าอยู่’
เขาโขกศีรษะสามครั้งอย่างหนักแน่น ก่อนหยัดกายลุกขึ้นจากไป
หลังจากกล่าวลากับผู้ร่วมสำนักคนอื่นๆ แล้ว ซูฉีก็ออกจากเขาเพียรบำเพ็ญเซียนในวันนั้น
หานเจวี๋ยมีความรู้สึกราวกับศิษย์ผงาดไม่ต้องการอาจารย์แล้วอย่างบอกไม่ถูก
แต่ซูฉีเป็นถึงดาวตัวซวยแห่งวังสวรรค์ ดวงแข็ง ไม่อาจตายง่ายๆ เพียงนั้นแน่
หานเจวี๋ยผ่อนลมหายใจออกมาคราหนึ่ง หยิบหนังสือแห่งความโชคร้ายออกมา เริ่มสาปแช่งนักพรตเต๋าตันชิง
เขาสาปแช่งไปพลาง ตรวจดูจดหมายไปพลาง
[ตี้หงเย่สหายของท่านเข้าสู่เขตหวงห้ามศาสตร์มืด]
[ยอดแม่ทัพเทพสหายของท่านสังหารมหาจักรพรรดิอมตะศัตรูของท่าน]
[มู่หรงฉี่ศิษย์หลานของท่านรู้แจ้งพลังวิเศษไท่อี่ ดวงชะตาเพิ่มพูน]
[เซวียนฉิงจวินคู่บำเพ็ญเพียรของท่านได้รับผลเซียนอย่างบังเอิญ ตบะเพิ่มพูน]
[จูเชวี่ยศัตรูของท่านพลังมรรคลดฮวบเพราะการสาปแช่งของท่าน ขอบเขตพลังตกลงไปอยู่ระดับเซียนอิสระ]
[สิงหงเสวียนคู่บำเพ็ญเพียรของท่านได้รับการสืบทอดจากผู้ทรงพลังบรรพกาล วิญญาณเกิดการเปลี่ยนแปลง]
[หวงจี๋เฮ่าสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากสัตว์ปีศาจ] x120083
…
หานเจวี๋ยสังเกตเห็นว่ามหาจักรพรรดิอมตะถูกยอดแม่ทัพเทพสังหารดับ ประสิทธิภาพในการจัดการเรื่องราวของวังสวรรค์สูงถึงเพียงนี้เชียวหรือ
เขารีบตรวจสอบดูภาพประจำตัวของมหาจักรพรรดิอมตะทันที ยังอยู่ ยังหลงเหลือลมหายใจรวยริน
ข้อความแจ้งเตือนว่าเขาเหลือเพียงเศษเสี้ยววิญญาณ ช่างน่าอนาถจริงๆ
หานเจวี๋ยรู้สึกพอใจกับสิ่งนี้เป็นอย่างมาก สัมผัสได้ถึงท่าทีของจักรพรรดิสวรรค์ที่คอยปกป้องคุ้มครองเขาจริงๆ
……………………………………………………..