บทที่ 195 คัมภีร์กวนอิม งานชุมนุมท้อเซียน
หานเจวี๋ยสังเกตเห็นว่าสิงหงเสวียนได้รับการสืบทอดจากผู้ทรงพลังบรรพกาล อีกทั้งวิญญาณยังเกิดการเปลี่ยนแปลง
เขาอดที่จะเบนความสนใจมาที่สิงหงเสวียนไม่ได้
สิงหงเสวียนยังคงอยู่ในอารามเต๋าที่บังเอิญพบเข้าในคราแรก ก่อนหน้านี้มีฉางเยวี่ยเอ๋อร์อยู่เป็นเพื่อน ทว่ายามนี้มีเพียงนางคนเดียว ด้วยฉางเยวี่ยเอ๋อร์ไม่ได้กล้าเสี่ยงอันตรายเช่นเดียวกับนาง การออกไปข้างนอกสักครั้งก็นับว่าดีแล้ว
ก่อนหน้านี้หานเจวี๋ยค้นพบวิญญาณสายหนึ่งในเทวรูป ตอนนี้วิญญาณสายนั้นกลับฟื้นตื่นขึ้นมาแล้ว
เป็นหญิงชราที่สวมใส่ชุดนักพรตเต๋าคนหนึ่ง ดูค่อนข้างแตกต่างจากลักษณะรูปร่างในอดีตยิ่งนัก
นางลอยวนเหนือศีรษะของสิงหงเสวียน กำลังท่องพระคัมภีร์
หานเจวี๋ยลอบฟังเงียบๆ ยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกไม่ชอบมาพากล
‘เหตุใดถึงเป็นคัมภีร์พุทธ
ท่องคัมภีร์พุทธในอารามเต๋าหรือ
นี่มันหลักการอะไรกัน’
หานเจวี๋ยตรวจดูรูปภาพประจำตัวของสิงหงเสวียนในค่าความสัมพันธ์ จนแน่ใจว่าสิงหงเสวียนไม่ได้ถูกยึดร่าง และระดับความประทับใจก็ไม่ได้ลดลง เขาถึงได้วางใจ
เขาใช้พลังจิตเข้าไปตรวจสอบเสี้ยววิญญาณสายนี้
‘ตบะระดับเซียนสวรรค์ไท่อี่!’
แต่ว่าเป็นเพียงขอบเขตพลังเท่านั้น บางทีความแข็งแกร่งอาจจะสู้ไม่ได้แม้แต่เซียนอิสระ เป็นวิญญาณริบหรี่กลางสายลม
หานเจวี๋ยเฝ้ามองต่อไป
เนิ่นนานนัก
สิงหงเสวียนลืมตาขึ้นมา เอ่ยปากกล่าวว่า “อาจารย์ คัมภีร์กวนอิมนี่สามารถกลายเป็นเซียนได้จริงๆ หรือ”
หญิงชรากล่าว “ย่อมเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว สำนักพุทธสอนหลักธรรมสรรพชีวิตเสมอภาค คุณลักษณะใดๆ ล้วนสามารถบรรลุเป็นอรหันต์พระโพธิสัตว์ได้ ขอเพียงมีจิตยึดมั่นในพระพุทธที่แน่วแน่ นี่คือวิธีการเดียวของเจ้า คุณลักษณะของเจ้าดาษดื่นจริงๆ วิชายุทธ์โลกมนุษย์ไม่อาจช่วยเจ้าได้”
“เวลาของอาจารย์เองก็เหลือไม่มากแล้ว แม้กระทั่งจิตวิญญาณยังยกให้เจ้า อย่าลืมสิ่งที่เจ้ารับปากกับอาจารย์เล่า”
พร้อมๆ กับที่เสียงนั้นสิ้นสุดลง วิญญาณของหญิงชราก็ค่อยๆ เลือนหายไป ราวกับปุยเมฆสลายตัว
สิงหงเสวียนไม่ได้เศร้าโศก ตรงข้ามกลับเยือกเย็นยิ่ง
หานเจวี๋ยพลันปรากฏกายตรงหน้านาง
“ท่านพี่!”
สิงหงเสวียนโพล่งอุทานออกมาด้วยความดีใจ รีบร้อนหยัดกายขึ้น
โลกเมฆาแดงในยามนี้ หานเจวี๋ยอยากไปที่ใดก็ไปได้ตามใจอยาก เพราะเขาเป็นเทพเซียนมรรคาสวรรค์
“เมื่อครู่นั้นคือผู้ใด” หานเจวี๋ยเอ่ยถาม
สิงหงเสวียนเอ่ยตอบ “ผู้ปฏิบัติธรรมของโลกเบื้องบน เมื่อนานมาแล้วก่อนหน้านี้นางได้ลงมายังโลกมนุษย์ ตัวตายมรรคผลสลาย เหลือเพียงเศษวิญญาณเสี้ยวหนึ่ง นางถ่ายทอดวิชายุทธ์ของตนเองให้กับข้า หวังว่าหลังจากข้าสำเร็จมรรคผลขึ้นสู่สวรรค์แล้วจะช่วยนางบอกกล่าวความอาฆาตแค้นแก่สำนักพุทธ ให้บรรพชนพุทธช่วยเป็นผู้ตัดสินใจแทนนาง”
หานเจวี๋ยเอ่ยถามอย่างสงสัย “ความอาฆาตแค้นอันใดกัน”
สิงหงเสวียนเองก็ไม่ได้ปิดบัง กล่าวตอบตามจริงว่า “ก่อนหน้านี้เมื่อนานมาแล้ว เคราะห์ใหญ่ทั่วหล้า โลกมนุษย์ได้รับผลกระทบ นางร่วมทัพกับเทพเซียนของวังสวรรค์ลงมายังโลกมนุษย์ ต้องการชำระล้างเผ่ามาร ผลกลับถูกเทพเซียนหักหลัง”
‘เรื่องเกี่ยวกับวังสวรรค์?’
หานเจวี๋ยเองก็ไม่ได้คิดอะไรให้มากความ รอกระทั่งสิงหงเสวียนเร่งไปถึงสำนักพุทธ ผีตนใดจะรู้ว่าเป็นกี่พันปีให้หลัง ไม่แน่ว่าอาจเป็นหลายหมื่นปีหลังจากนี้ก็ได้
“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” หานเจวี๋ยเอ่ยถาม เขาคว้าข้อมือสิงหงเสวียนไว้ ตรวจดูร่างกายของนาง
พลังวิญญาณมั่นคง กายภายในไม่ได้เคลือบแฝงอันตรายใดๆ
สิงหงเสวียนกล่าวยิ้มๆ “ไม่เป็นไร คัมภีร์กวนอิมนี้เก่งกาจจริงๆ ท่านพี่ ท่านต้องการหรือไม่ ภายหน้าสามารถให้เหล่าศิษย์หญิงของท่านฝึกบำเพ็ญก็ได้”
หานเจวี๋ยกล่าวอย่างลังเล “เช่นนี้ไม่ดีกระมัง นางไม่ได้บอกเจ้าหรือว่าห้ามเผยแพร่วิชายุทธ์สู่ภายนอก”
“บอกสิ แต่นางไม่อยู่แล้ว อีกทั้งทุกสิ่งทุกอย่างของข้าล้วนเป็นของท่านพี่ ข้าเองก็จะทำตามสัญญา บอกกล่าวความเกลียดชังของนางแก่สำนักพุทธอยู่ดี”
“เช่นนั้นก็ได้ ให้ข้าตรวจสอบหน่อยว่าวิชายุทธ์นี้มีอันตรายหรือไม่”
หานเจวี๋ยเอ่ยกล่าว ในนิยายเซียนกำลังภายในทุกรูปแบบ สำนักพุทธถูกป้ายสีจนน่าสังเวชที่สุด ไม่มีข้อยกเว้น
ราวกับธรรมทั้งหมดล้วนเป็นของปลอม บรรพชนพุทธมีแต่จะล้างสมอง
สิงหงเสวียนรีบมอบคัมภีร์กวนอิมให้หานเจวี๋ยทันที
วิชายุทธ์นี้ไม่มีตำราจดบันทึก ทั้งหมดอาศัยการเล่าปากต่อปาก
หลังจากหานเจวี๋ยฟังจบก็เริ่มจัดระเบียบ
คัมภีร์กวนอิมน่าทึ่งจริงๆ คาดไม่ถึงว่าสามารถฝึกบำเพ็ญถึงขอบเขตพลังระดับเซียนแท้ไท่อี่ได้ในทันที ผลสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือสามารถฝึกบำเพ็ญรูปจำลองกวนอิมออกมาได้ พลังวิเศษสะท้านโลก
หานเจวี๋ยจัดระเบียบซ้ำไปซ้ำมา ก็ไม่ค้นพบจุดบกพร่องเลย
“เจ้าฝึกฝนต่อไปเถอะ”
หานเจวี๋ยลืมตาแล้วเอ่ยขึ้น จากนั้นก็ออกไป
สิงหงเสวียนคุ้นชินกับนิสัยเดี๋ยวก็มาเดี๋ยวก็ไปของหานเจวี๋ยแล้ว
นางเริ่มเข้าฌานอีกครั้ง ฝึกบำเพ็ญต่อไป
…
เมื่อกลับมาถึงภายในถ้ำเทวาฟ้าประทาน หานเจวี๋ยก็เผยรอยยิ้มออกมา
สิงหงเสวียนเองก็มีโอกาสวาสนาของตัวเอง คาดว่าคงไม่แก่ตายแน่ เช่นนี้ก็ดี ทำให้หานเจวี๋ยหายกังวลได้
ตอนนี้ คนข้างกายเขา นอกเสียจากจะอยู่ภายนอกมานานปี ขอเพียงทนฝึกบำเพ็ญอยู่ที่เขาเพียรบำเพ็ญเซียนตลอดเวลา ก็ไม่มีปัญหาเรื่องขีดจำกัดใหญ่ใกล้มาเยือนแล้ว
ตั้งแต่หลังจากต้นฝูซังได้น้ำเซียน พลังวิญญาณของเขาเพียรบำเพ็ญเซียนก็เพิ่มพูนขึ้นอย่างต่อเนื่องไม่ขาด
คิดดังนั้น หานเจวี๋ยก็ฝึกบำเพ็ญต่อไป
เวลาผ่านไปอีกสิบเอ็ดปี ในที่สุดเขาก็ทะลวงระดับเซียนแท้วัฏจักรระยะกลางได้สำเร็จ
พลังเวทพุ่งทะยานขึ้นอีกครั้ง!
หานเจวี๋ยจิตใจเบิกบาน
เขาก็ชอบความรู้สึกที่ทะลวงระดับเช่นนี้ ยิ่งรู้สึกโชคดีที่ตอนนั้นใช้เวลาสิบกว่าปีในการสุ่มหาโชคชะตาและคุณสมบัติรากวิญญาณ
‘อดทนสิบกว่าปี แลกกับความสบายชั่วชีวิต!’
หานเจวี๋ยไม่ประมาท ฝึกบำเพ็ญต่อไป เป้าหมายคือเซียนแท้ระยะปลาย!
เวลาผ่านไปอีกราวสามปี
ตี้ไท่ไป๋มาเยี่ยมเยียนด้วยตนเอง
หานเจวี๋ยเชื้อเชิญเขาเข้าสู่ถ้ำเทวา
จำต้องกล่าวว่า ขุนนางระดับสูงของวังสวรรค์นั้นไม่อาจดูถูกได้ สามารถลงมายังโลกมนุษย์ได้ตามใจชอบ หากเปลี่ยนเป็นเทพเซียนอื่นนั้น ย่อมเป็นการแหกกฎสวรรค์แล้ว
หลังจากอู้เต้าเจี้ยนถูกไล่ออกไป ตี้ไท่ไป๋ก็นั่งลงที่หน้าโต๊ะ เอ่ยขึ้นยิ้มๆ “ได้ยินว่าเจ้าเป็นเซียนแท้แล้ว”
เห็นได้ชัดว่า เรื่องที่หลงซั่นถูกทำให้ตกใจจนถอยหนีได้ยินไปถึงหูของจักรพรรดิสวรรค์แล้ว
“อืม โชคดีน่ะ” หานเจวี๋ยกล่าวอย่างถ่อมตน
ตี้ไท่ไป๋ลูบเคราพลางกล่าวยิ้มๆ “สมกับเป็นบุตรแห่งสวรรค์ที่ฝ่าบาทถูกพระทัย เจ้าเองก็ไม่ต้องกังวลเรื่องมหาจักรพรรดิอมตะอีกต่อไป ยอดแม่ทัพเทพได้สังหารเขาเรียบร้อยแล้ว แม้ไม่ถึงกับตัวตายมรรคผลสลาย แต่อย่างน้อยภายในล้านปีก็ยากที่จะสร้างความปั่นป่วนได้อีก”
‘ล้านปี เพียงพอให้หานเจวี๋ยผงาดง้ำ!’
หานเจวี๋ยกล่าว “ขอบคุณวังสวรรค์ ขอบพระทัยจักรพรรดิสวรรค์ ขอบคุณยอดแม่ทัพเทพยิ่งนัก!”
“งานชุมนุมใหญ่ท้อเซียนที่หมื่นปีมีหนึ่งหนใกล้จะเริ่มขึ้นแล้ว ยังเหลือเวลาอีกร้อยปี เจ้าอยากไปหรือไม่ หากอยากไป ข้าจะให้เทียบเชิญเจ้าหนึ่งใบ” ตี้ไท่ไป๋เอ่ยถาม
หานเจวี๋ยคิดอยู่ครู่หนึ่ง เอ่ยว่า “เอาเป็นว่าไว้ก่อนเถิด ข้ากลัวเรื่องราววุ่นวาย”
ตี้ไท่ไป๋กล่าวยิ้มๆ “ งานชุมนุมใหญ่ท้อเซียนของวังสวรรค์มีอะไรให้วุ่นวายกัน วางใจเถิด สถานะของเจ้าไม่อาจเปิดเผยต่อผู้คนทั่วไป องค์จักรพรรดิสวรรค์เองก็จะไม่เอ่ยถึงเจ้า เจ้าเพียงเข้าไปสนุกสนานกับท้อเซียน ถือโอกาสไปดูอำนาจบารมีของวังสวรรค์เสียหน่อย”
หานเจวี๋ยลังเลครู่หนึ่ง เอ่ยถามขึ้นว่า “เป็นความประสงค์ของจักรพรรดิสวรรค์หรือ”
“อืม ท้อเซียนผลหนึ่งเหนือกว่าการเพียรบำเพ็ญพันปี เจ้าตัดใจไม่ไปได้หรือ”
“เช่นนั้นก็เอาเถิด ข้าจะไป”
ในเมื่อเป็นความประสงค์ของจักรพรรดิสวรรค์ หากเขาไม่ไป ก็เท่ากับไม่ไว้หน้า
อีกอย่างจักรพรรดิสวรรค์ทรงให้ยอดแม่ทัพเทพกำจัดมหาจักรพรรดิอมตะทิ้ง แน่นอนว่าเป็นน้ำพระทัยที่ยิ่งใหญ่มากจริงๆ
จนกระทั่งบัดนี้ก็มีเพียงวังสวรรค์ที่ทำเพื่อเขามาโดยตลอด แต่เขาเองยังไม่เคยตอบแทนอะไรให้เลย
ตี้ไท่ไป๋เผยรอยยิ้มออกมา กล่าวว่า “วังเทพมีจักรพรรดิเซียนกลับชาติมาเกิดผู้หนึ่ง ปลุกตื่นมรรคจักรพรรดิ ยามที่เป็นเซียนแท้ไท่อี่เขาบั่นสังหารเซียนทองไท่อี่ ยามนี้เป็นเซียนทองไท่อี่แล้ว อำนาจบารมีเกรียงไกร ถูกวังเทพแต่งตั้งเป็นบุตรแห่งสวรรค์ที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่คนรุ่นเยาว์ เจ้าต้องตั้งใจฝึกบำเพ็ญ ภายหน้าเจ้าจะต้องเผชิญหน้ากับเขาแน่ เจ้าเองก็เป็นเช่นเดียวกับเขา ตัวแทนของวังสวรรค์”
หานเจวี๋ยได้ยิน ก็อดขมวดคิ้วไม่ได้
‘เจ๋งเพียงนี้เชียว’
เขาคิดอยากจะเอ่ยอะไรออกมา แต่ตี้ไท่ไป๋ก็หายตัวไปจากที่เดิมแล้ว
บนโต๊ะปรากฏป้ายคำสั่งสีแดงชิ้นหนึ่ง ด้านบนนั้นสลักอักขระสองตัวว่า ‘ท้อเซียน’ เอาไว้
‘งานชุมนุมใหญ่ท้อเซียนอีกร้อยปีข้างหน้าหรือ’
หานเจวี๋ยครุ่นคิดอย่างเงียบๆ ก็ไม่รู้ว่าท้อเซียนจะหอมหรือไม่
ทันใดนั้น หานเจวี๋ยก็นำป้ายคำสั่งมรรคาสวรรค์ออกมา ส่งพลังจิตเข้าไปในป้ายนั้น เพื่อตรวจดูป้ายศิลามรรคาสวรรค์
ไม่ดูก็ไม้รู้
ทว่าได้ดูแล้วก็ตกใจจนสะดุ้งโหยง!
ลำดับของโลกเมฆาแดงถึงกับพุ่งทะยานขึ้นมาหลายร้อยอันดับแล้ว!
…………………………………………………………