บทที่ 21 วิชากายทองเทียนกัง โจวฝานผู้ไม่อาจต้านทานได้!
“เรื่องนี้ข้าต้องบอกอาจารย์ของข้า ผู้อาวุโสทำเช่นนี้ ศิษย์ตกใจตายได้ง่ายๆ เลย”
หานเจวี๋ยกล่าวพลางส่ายหน้า เขาหมดคำจะพูดจริงๆ
ดึกดื่นค่อนคืนก็ฝึกฝนพลังวิเศษ แสร้งเป็นเทพแกล้งทำเป็นผี!
เมื่อครู่ เขาน่าจะสังหารจิตดั้งเดิมของผู้อาวุโสสูงสุดท่านนี้ไปเสียเลย
“อย่าๆๆ! ข้าแค่อยากหยอกเล่นขึ้นมาชั่ววูบ ข้าขอโทษเจ้าด้วย!” ผู้อาวุโสสูงสุดรีบกล่าว
หานเจวี๋ยพอใจแล้ว เขาถามว่า “ท่านรู้จักอาจารย์ของข้าหรือ”
“แค่กๆ แท้จริงแล้วอาจารย์ของเจ้าเป็นศิษย์ของข้า รวมถึงเจ้าสำนักคนปัจจุบันด้วย”
ผู้อาวุโสสูงสุดยืดอกเชิดหน้า ทำท่าทางหยิ่งผยองมั่นใจ
ทว่าหานเจวี๋ยกลับไม่เปลี่ยนสีหน้า อีกทั้งไม่แสดงออกถึงอารมณ์ใดๆ
รอยยิ้มของผู้อาวุโสสูงสุดหุบลงทันที
หรือว่าผู้เยาว์คนนี้จะไม่เชื่อ?
หานเจวี๋ยกล่าวขึ้นว่า “เช่นนั้นเรื่องในคืนนี้ข้าจะถือว่าไม่เคยเกิดขึ้น ท่านไปเสียเถิด”
“จริงรึ”
“ขอรับ”
ผู้อาวุโสสูงสุดรีบหันตัวจะออกไป
แต่เดินไปได้เพียงไม่กี่ก้าว จู่ๆ เขาก็หันกลับมาถาม “เจ้าหนุ่ม ข้าว่าเจ้ามีคุณสมบัติน่าทึ่งนัก เจ้าอยากสืบทอดวิชาของข้าหรือไม่”
หานเจวี๋ยขมวดคิ้วพร้อมถาม “วิชาอันใด”
“ข้าจะถ่ายทอดสุดยอดเคล็ดวิชากายทองเทียนกังให้แก่เจ้า อยากฝึกฝนหรือไม่ ทั้งสำนักหยกพิสุทธิ์ มีเพียงเจ้าสำนักกับข้าที่รู้วิชานี้!”
กายทองเทียนกัง?
ฟังดูแล้วยอดเยี่ยมนัก!
ดวงตาของหานเจวี๋ยเป็นประกาย
แต่นึกดูอีกที นี่มันไม่ถูกต้อง ทั้งสองฝ่ายไม่พอใจกันตั้งแต่แรกพบ เหตุใดผู้อาวุโสท่านนี้ยังจะถ่ายทอดวิชายุทธ์ให้เขาอีก
ต้องมีกลลวงเป็นแน่!
คิดหลอกข้ารึ?
หานเจวี๋ยส่ายหน้ากล่าว “ช่างเถอะ ขอบคุณความหวังดีของผู้อาวุโสมากขอรับ”
รอยยิ้มบนใบหน้าของผู้อาวุโสสูงสุดกลับมาแข็งค้างอีกครั้ง เขาแค่นเสียงหยันก่อนสะบัดแขนเสื้อจากไปทันที
หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม
หานเจวี๋ยออกจากถ้ำเทวา บินไปยังตำหนักหยกวิเวก
เขามาคุกเข่าด้านหน้าประตูใหญ่
ประตูใหญ่เปิดออกเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่น
หานเจวี๋ยเร่งฝีเท้าเดินเข้าไป
“เหตุใดมาเยือนกลางดึกเช่นนี้” เซียนซีเสวียนถาม นางไม่ได้ลืมตาขึ้นมา
หานเจวี๋ยคุกเข่าลงตรงหน้านาง และเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่ออกมาตามความจริง
เซียนซีเสวียนลืมตาขึ้น ขมวดคิ้วแน่น
นางไม่ชอบใจเท่าใดนัก
ผู้เฒ่าสมควรตายคนนี้อยู่ไม่สุขอีกแล้ว!
“เจ้าเกือบจะฆ่าเขาแล้ว?” เซียนซีเสวียนถามอย่างสงสัย
หานเจวี๋ยเกาศีรษะตอบ “ผู้อาวุโสกำลังฝึกฝนพลังวิเศษ ข้าก็แค่ต้านทานไว้ได้เท่านั้น เรื่องพวกนี้ล้วนไม่สำคัญ ท่านอาจารย์ เขาจะมารังควานศิษย์อีกหรือไม่ ศิษย์ไม่อยากวิตกกังวลทุกคืน”
“วางใจเถิด พรุ่งนี้อาจารย์จะไปพบเขา หากว่าเขากล้ามาอีก อาจารย์จะจัดการให้เอง”
“ขอบคุณท่านอาจารย์ขอรับ”
“อืม”
หานเจวี๋ยถอนหายใจอย่างโล่งอก ยามนี้เขาผ่อนคลายโดยสมบูรณ์แล้ว
ก่อนจากไป เขาถามด้วยความอยากรู้ว่า “ท่านอาจารย์ กายทองเทียนกังทรงพลังหรือไม่ วิชานี้ที่ผู้อาวุโสท่านนั้นอยากถ่ายทอดให้กับข้า”
“ทรงพลัง เรียกได้ว่าเป็นวิชายุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดของสำนักหยกพิสุทธิ์ แกร่งยิ่งกว่าเคล็ดหยกพิสุทธิ์ แต่ว่าก่อนจะฝึกฝนจำต้องตัดแก่นออกเสียก่อน”
“แก่นอะไรหรือ”
“แก่นของความเป็นชาย”
หานเจวี๋ยอยากจะด่าออกมาเสียจริงๆ
เป็นอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด!
ตาเฒ่าคนนั้นไม่ได้มาดีแน่!
ช้าก่อน!
เช่นนี้ก็หมายความว่า…
ผู้อาวุโสสูงสุดกับเจ้าสำนัก…
หานเจวี๋ยค้นพบเรื่องซุบซิบนินทาที่น่าตกใจ เขารู้สึกแต่ว่าทัศนะทั้งสาม[1]พังทลายหมดแล้ว
“เรื่องนี้อย่าได้แพร่งพรายออกไป” เซียนซีเสวียนกล่าวอย่างจริงจัง
“ศิษย์รับทราบ”
หานเจวี๋ยพูดจบก็คำนับ จากนั้นจึงลุกขึ้นเดินออกไป
…
หลังจากกลับถึงถ้ำเทวา หานเจวี๋ยยังคงคิดเรื่องวิชากายทองเทียนกัง
มิน่าเล่า แม้หลี่ชิงจื่อจะชอบพอเซียนซีเสวียน แต่ทั้งสองก็ไม่ได้ผูกสัมพันธ์เป็นคู่บำเพ็ญเพียร
“ผู้อาวุโสเด็ดเดี่ยวนัก เว้นระยะห่างจากสตรีเช่นกัน พวกเขาตอนของตัวเองทิ้งเลย…”
หานเจวี๋ยนึกเลื่อมใส ขณะเดียวกันในใจก็แปะป้ายไว้แล้วว่าผู้อาวุโสสูงสุดเชื่อถือไม่ได้
เช้าวันรุ่งขึ้น
หานเจวี๋ยเดินทางไปยังเมืองของสำนักฝ่ายใน
การประลองเวทของผู้แข็งแกร่งสิบอันดับแรกจากการทดสอบของสำนักฝ่ายในเริ่มต้นอย่างเป็นทางการตอนเที่ยงวัน
การทดสอบของสำนักฝ่ายในไม่เหมือนกับการประลองใหญ่สำนักฝ่ายใน การทดสอบของสำนักฝ่ายในเป็นหนทางไปสู่ศิษย์อัจฉริยะ สามารถเข้าร่วมได้โดยอิสระ ส่วนการประลองใหญ่เป็นการประลองเวทของทั้งสิบแปดยอดเขา จะตัดสินอันดับออกมาและปลุกเร้าให้กำลังใจซึ่งกันและกัน
เวทีประลองเวทสร้างเสร็จแล้ว ตั้งอยู่บนจัตุรัสใจกลางเมือง ขนาดกว้างยาวหนึ่งร้อยจั้ง รอบด้านเต็มไปด้วยผู้คนมหาศาล ศิษย์จำนวนไม่น้อยขี่กระบี่ลอยอยู่กลางอากาศ เป็นภาพที่ยิ่งใหญ่อลังการนัก
“ศิษย์น้อง ในที่สุดเจ้าก็มาแล้ว!”
ฉางเยวี่ยเอ๋อร์รีบโผเข้ามาพร้อมกล่าวอย่างตื่นเต้น
ศิษย์ยอดเขาหยกวิเวกสิบกว่าคนที่มาถึงแล้วห้อมล้อมเข้ามาให้กำลังใจหานเจวี๋ย
หานเจวี๋ยเห็นคนมากมายเช่นนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว
คนเยอะเช่นนี้ จะตบตาอย่างไร
ไม่เช่นนั้นก็เด็ดขาดสักหน่อย
จัดการให้จบในพริบตาเดียวเลย?
หานเจวี๋ยตกอยู่ในความลังเล
จู่ๆ เขาก็รู้สึกถึงสายตาคู่หนึ่ง เมื่อหันไปมอง ก็เห็นโจวฝานกำลังจับจ้องมาที่ตนเองด้วยแววตาลุกโชน เต็มไปด้วยความมุ่งร้าย
หานเจวี๋ยมึนงง
‘ข้าไปยั่วยุเขาเมื่อใดกัน’
โจวฝานนึกถึงคำพูดที่โม่ฟู่โฉวบอกเขา การทดสอบของสำนักฝ่ายในครั้งนี้ คู่ต่อสู้ที่แกร่งที่สุดของเขาก็คือหานเจวี๋ย
โม่ฟู่โฉวบอกว่า หานเจวี๋ยซ่อนความสามารถที่แท้จริงเอาไว้มาตลอด ตอนนี้ไม่ด้อยไปกว่าศิษย์อัจฉริยะแล้ว
ด้วยเหตุนี้ โจวฝานจึงนับหานเจวี๋ยเป็นศัตรูเรื่อยมา
เขาไม่เข้าใจหานเจวี๋ยเอาเสียเลย
คุณสมบัติยอดเยี่ยม รูปงามจนน่าทึ่ง เหตุใดถึงได้เก็บเนื้อเก็บตัวเช่นนี้
ได้ยินว่าโม่จู๋ถูกตาต้องใจหานเจวี๋ย แต่หานเจวี๋ยเอาแต่หลบเลี่ยง
ยิ่งหานเจวี๋ยอยู่อย่างเงียบๆ เท่าใด โจวฝานก็ยิ่งปวดใจ
‘แต่ข้ามีของวิเศษที่แข็งแกร่งแล้ว เขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้าอย่างแน่นอน!’
โจวฝานคิดอย่างมั่นใจ
ในเวลานี้เอง
จู่ๆ โม่จู๋ก็เดินมาตรงหน้าหานเจวี๋ย และกล่าวขึ้นอย่างตื่นเต้น “พี่หาน ข้าเชื่อว่าท่านจะชิงอันดับหนึ่งมาได้แน่”
ฉางเยวี่ยเอ๋อร์ถามอย่างระแวดระวัง “เจ้าเป็นใครกัน”
โม่จู๋มองนาง สตรีทั้งสองคนมองหน้ากันด้วยความไม่พอใจ
หานเจวี๋ยเห็นว่าพวกนางใกล้จะระเบิดศึกกันแล้ว ก็รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี
“ท่านพี่!”
มีเสียงหัวเราะดังขึ้นมา หานเจวี๋ยหันหน้าไปมอง ไม่นึกว่าสิงหงเสวียนก็มาด้วย
ฉางเยวี่ยเอ๋อร์กับโม่จู๋หันไปมองพร้อมกัน
ซวยแล้ว!
ดาวอังคารพุ่งชนโลก[2]ชัดๆ!
หานเจวี๋ยรีบหันกายหนีไป ออกไปให้ห่างจากความขัดแย้งทางนี้
สตรีทั้งสามคนไม่ได้ตามไปด้วย แต่กลับเดินมาหากัน จากนั้นเริ่มตาต่อตาฟันต่อฟัน
ศิษย์ยอดเขาหยกวิเวกบริเวณรอบๆ อิจฉาหานเจวี๋ยยิ่งนัก
เมื่อหน้าตาดีก็ไม่จำเป็นต้องยี่หระใดๆ
มีศิษย์พี่ศิษย์น้องหญิงที่งดงามเช่นนี้มาหาถึงที่มากมาย เขายังไม่สนใจอีก!
ต้องถูกสวรรค์ลงโทษ!
…
ตอนเที่ยง
การทดสอบของสำนักฝ่ายในเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ
ผู้ดำเนินการทดสอบในครั้งนี้คือเซียนเฒ่าเต้าเหลยแห่งยอดเขาอัสนีสวรรค์
ผู้อาวุโสถ่ายทอดวิชาของอีกสิบเจ็ดยอดเขาไม่ได้มาด้วย คนที่มามีแต่พวกผู้อาวุโสทั่วไป ผู้ดูแล และเจ้าหอ ส่วนศิษย์สายในกับข้ารับใช้มนุษย์มาร่วมชมเกินกว่าสองพันคน
แม้ว่าศิษย์สายในจะไม่เยอะนัก แต่ในเมืองของสำนักฝ่ายในมีข้ารับใช้มนุษย์ไม่น้อยเลยทีเดียว
ในการประลองเวทรอบที่หนึ่ง เป็นหานเจวี๋ยที่จะต้องขึ้นเวที
หลังจากหานเจวี๋ยได้ยินชื่อของตนถูกขาน ก็รีบขึ้นเวทีไป
“หานเจวี๋ยแห่งยอดเขาหยกวิเวก ปะทะ โจวฝานแห่งยอดเขาอัสนีสวรรค์!”
ทันทีที่ประกาศชื่อโจวฝาน ด้านล่างเวทีพากันแตกตื่นฮือฮา
ในระยะนี้ โจวฝานเป็นศิษย์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในสำนักฝ่ายใน เรียกได้ว่าเปลี่ยนจากขยะกลายเป็นผู้แข็งแกร่ง กล่าวกันว่าเขามีของวิเศษอยู่ในมือ สามารถสยบผู้คนในพริบตา ไม่เคยแพ้การต่อสู้ พละกำลังรวดเร็วและรุนแรงนัก
โจวฝานประสานมือคารวะพลางยิ้มกล่าว “พี่หาน ครั้งนี้ท่านต้องสู้สุดกำลังเล่า”
หานเจวี๋ยมีสีหน้าไร้ความรู้สึก ถามว่า “เอาจริงรึ”
“ข้าเอาจริง!”
โจวฝานยกมือขวาขึ้นมา ระฆังสีดำขนาดเล็กปรากฏขึ้นกลางฝ่ามือ ช่างลึกลับและน่าสะพรึงกลัว
บนหอใกล้ๆ กันนั้น ผู้อาวุโสและบรรดาผู้ดูแลต่างขมวดคิ้วพร้อมกัน
พวกเขาได้ยินมาก่อนแล้วว่าโจวฝานมีของวิเศษชิ้นหนึ่ง แกร่งกล้ามาก ว่ากันว่าของชิ้นนี้เป็นของวิเศษคู่ชีวิตของโจวฝานด้วย
ของวิเศษคู่ชีวิตคือสิ่งใดกัน
มันคือสิ่งที่ติดตัวมาแต่กำเนิด โดยทั่วไปแล้ว ของวิเศษคู่ชีวิตล้วนเป็นของของบรรพชน แม้ว่าคนประเภทนี้มีคุณสมบัติไม่ถึงขั้น แต่หากมีดวงชะตาบรรพชนคอยปกป้อง ความสำเร็จก็จะไม่อยู่ในระดับต่ำแน่นอน
วันนี้ได้เห็นของวิเศษชิ้นนี้แล้ว พวกเขาต่างรู้สึกว่ามหัศจรรย์ยิ่งนัก
โจวฝานอาจจะครองอันดับหนึ่งในการทดสอบของสำนักฝ่ายในครั้งนี้ก็เป็นได้!
………………………………………
[1]ทัศนะทั้งสาม ได้แก่ ทัศนคติต่อโลก ทัศนคติต่อชีวิต และทัศนคติต่อคุณค่า
[2] ดาวอังคารพุ่งชนโลก ใช้เปรียบเปรยว่าเกิดสถานการณ์วิกฤติที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ขึ้น