บทที่ 216 เทพสงครามฟื้นตื่น จักรพรรดินีปีศาจชิงชิว
หานเจวี๋ยเร่งฝีเท้ามานั่งยองลงตรงหน้ามู่หรงฉี่ เขาใช้พลังจิตตรวจสอบกายเนื้อของมู่หรงฉี่ก่อนเป็นสิ่งแรก
ไม่ได้รับบาดเจ็บ
เช่นนั้นจิตดั้งเดิมก็เกิดปัญหาแล้ว!
เขาส่งพลังจิตเข้าไปในสมองของมู่หรงฉี่ ไม่นานนักเขาก็สอดส่องเห็นภาพที่น่าตกตะลึงภาพหนึ่ง
ฝนเลือดตกติดต่อกันหลายวัน ฟ้าดินมืดสลัว ร่างที่น่าสะพรึงกลัวหลายสิบร่างโรมรันกันกลางอากาศสูงลิ่ว กลิ่นอายที่น่ากลัวทำให้แผ่นดินใหญ่ถล่มทลายไม่หยุดหย่อน สายฟ้าที่นับจำนวนไม่หวาดไม่ไหวเชื่อมประสานฟ้าและดิน ดุจดั่งผืนฟ้าโกลาหลในยุคแรกเริ่ม ทั้งน่าพรั่นพรึงและสยดสยอง
หานเจวี๋ยมองเห็นร่างที่แผ่แสงเทพร่างหนึ่งในนั้น พลานุภาพแข็งแกร่งที่สุด
มือของเขากำทวนแสงสองเล่ม เท้าเหยียบเพลิงปฐพี รอบกายห้อมล้อมด้วยอัสนีสวรรค์ เหนือศีรษะมีกระถางสำริดใหญ่ใบหนึ่ง กำลังดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดินทั้งแปดทิศ ก่อให้เกิดพายุคลั่งทำลายล้าง
เทพสงคราม!
แวบแรกที่หานเจวี๋ยมองเห็นเขา ก็นึกถึงคำนี้ทันที
ไม่ว่าศัตรูหลายสิบคนรอบด้านจะล้อมโจมตีอย่างบ้าคลั่งเพียงใด เขายังคงแกร่งกล้าไม่หวั่นไหว อานุภาพสยบศัตรูทั้งปวง
“ด้วยบัญชาแห่งข้า จงฟังมรรคาสวรรค์ ต่อสู้สังหารศัตรู!”
เสียงที่เผด็จการดังขึ้นตามมา สั่นสะท้านจิตใจผู้คน เสมือนเป็นเทพโบราณที่มาจากสายธารประวัติศาสตร์ยุคเริ่มแรก
ชั่วอึดใจเดียว อัสนีนับไม่ถ้วนก็ฟาดเปรี้ยงลงมา ส่องประกายฟ้าดิน แสงจ้าตาจนพลังจิตของหานเจวี๋ยถูกตัดขาด จิตรับรู้กลับคืนสู่โลกความจริงอีกครั้ง
หานเจวี๋ยขมวดคิ้ว จมอยู่ในภวังค์ความคิด
“อาจารย์ อาการของเขาเป็นอย่างไรบ้าง” ถูหลิงเอ๋อร์เอ่ยถาม คนอื่นๆ ก็มองมาที่หานเจวี๋ยอย่างตึงเครียดเช่นเดียวกัน
แม้แต่หลงเฮ่าก็ยังประหม่ามาก มู่หรงฉี่ถูกคอกับเขายิ่งนัก ตั้งแต่ฟางเหลียงจากไป ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองคนก็พัฒนาอย่างก้าวกระโดด ถึงแม้จะห่างลำดับอาวุโส แต่มีความรู้สึกฉันพี่น้องที่ดีต่อกัน
สวินฉางอันที่อยู่ข้างกันพลันพูดขึ้นว่า “เขาอาจปลุกความทรงจำของอดีตชาติขึ้นมา มันกำลังผสานรวมเข้าด้วยกัน”
ความรู้สึกเช่นนี้เขาคุ้นเคยเหลือเกิน! เพียงแต่เขาไม่ได้ทุกข์ทรมานมากขนาดมู่หรงฉี่
“หือ? มู่หรงฉี่มีอดีตชาติด้วยหรือ” ราชามังกรสามหัวถามด้วยความประหลาดใจ
ไก่คุกรัตติกาลร้องขึ้นว่า “มิน่าเล่า! ข้ารู้สึกเสมอเลยว่าพรสวรรค์ของเจ้านี่ไร้เหตุผลสิ้นดี! ไม่ว่าท่านไก่จะไล่ตามแค่ไหนก็ตามไม่ทัน!”
ที่แท้มู่หรงฉี่ก็มีภูมิหลังที่ยอดเยี่ยมเช่นกัน
หานเจวี๋ยกล่าวว่า “ตอนนี้เขายังไม่เป็นอะไร รอให้เขาหายเองแล้วกัน”
คนที่เหลือเริ่มวิพากษ์วิจารณ์ สงสัยกันว่าอดีตชาติของมู่หรงฉี่จะเป็นสถานะอะไร
ตำนานเรื่องเซียนกลับชาติมาเกิดมีอยู่ไม่น้อยในโลกมนุษย์
หานเจวี๋ยไม่ได้กลับไปที่ถ้ำเทวาเช่นกัน แต่นั่งอยู่ตรงหน้ามู่หรงฉี่และเฝ้ารออย่างอดทน
ผ่านไปสี่วันเต็มกว่ามู่หรงฉี่จะดีขึ้น
เมื่อเขาลืมตาขึ้นมา สิ่งแรกที่มองเห็นคือหานเจวี๋ย
เขามีสีหน้าสับสน ค่อยๆ เปิดปากเอ่ยว่า “อาจารย์ปู่… ”
หานเจวี๋ยพูด “ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ที่นี่จะเป็นบ้านของเจ้าตลอดไป อยู่ที่นี่เจ้าไม่ต้องกังวลอะไรทั้งนั้น อยากพูดอะไรก็พูด และไม่จำเป็นต้องกังวลว่าข้าจะทนได้หรือไม่ อันที่จริงทุกอย่างเกี่ยวกับเจ้า ข้าเข้าใจหมดแล้ว”
ม่านตาของมู่หรงฉี่สั่นระริก สภาพจิตใจยิ่งซับซ้อนมากขึ้น
หานเจวี๋ยพูดติดตลกว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าอาจารย์ของเจ้ามีที่มาอย่างไร เขาเป็นโสมวิญญาณบรรพกาลของสำนักพุทธ เคยถูกพุทธาเทพสาปแช่ง ต้องประสบเคราะห์รักระหว่างกลับชาติมาเกิด ลำบากลำเค็ญจนไม่อาจบรรยายได้”
คำพูดดังกล่าวทำให้คนอื่นๆ อดเหลือบตามองไม่ได้
สวินฉางอันมีตัวตนนี้อยู่ด้วยหรือ
มิน่าเล่าเขาถึงได้หลงใหลเชี่ยนเอ๋อร์เหมือนคนบ้า
สวินฉางอันมีสีหน้าท่าทางเยือกเย็น สงบนิ่งไม่สะทกสะท้าน
ไก่คุกรัตติกาลดีใจ ตะโกนขึ้นว่า “ดูท่าทางข้าจะเป็นหงส์เพลิงจริงๆ! นายท่านไม่ได้โกหกข้า!”
ในเมื่อมู่หรงฉี่และสวินฉางอันต่างมีภูมิหลังยิ่งใหญ่ เช่นนั้นมันก็ต้องมีเหมือนกัน!
คนที่เหลือก็จินตนาการไปเรื่อยอย่างอดไม่ได้
มีใครบ้างไม่คาดหวังให้ตัวเองมีสถานะในอดีตชาติที่โดดเด่น?
มู่หรงฉี่เอ่ยปาก “อาจารย์ปู่ ในเมื่อท่านรู้ เหตุใดถึงยังรับข้าไว้อีก”
เขาไม่ได้ผ่าเผยฮึกเหิมเช่นเดิมอีกแล้ว ทั้งตัวดูห่อเหี่ยวมากอย่างเห็นได้ชัด
“ไม่ใช่ว่าเจ้าคุกเข่าเพื่อคารวะข้าตั้งนานหลายปีหรือ”
หานเจวี๋ยถามยิ้มๆ สีหน้าท่าทางสบายๆ
มู่หรงฉี่ตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกล่าวพลางยิ้มขมขื่น “เป็นข้าที่ทำให้อาจารย์ปู่พลอยเดือดร้อนไปด้วย”
หานเจวี๋ยแค่นเสียง “สิ่งที่ข้าพูดเมื่อครู่เจ้าฟังไม่เข้าใจหรือ ถ้าเจ้ายอมรับอาจารย์ปู่อย่างข้าคนนี้หนึ่งวัน ข้าก็จะปกป้องเจ้าหนึ่งวัน ต่อให้เป็นวังเทพข้าก็ไม่กลัว แค่ตั้งใจฝึกบำเพ็ญอยู่ที่เขาเพียรบำเพ็ญเซียน รอให้เจ้ามีทุนในการแก้แค้นก่อนค่อยบุกสังหารกลับไป”
“แต่ว่า…”
“แต่อะไร เจ้าคิดว่าข้าเหมือนมดปลวกตัวหนึ่งเมื่ออยู่ต่อหน้าวังเทพหรือ”
“ข้า…”
“ฝึกบำเพ็ญอย่างสงบใจเถอะ ถ้าวังเทพพบเจ้าเข้า ป่านนี้คงมานานแล้ว”
มู่หรงฉี่นิ่งเงียบไป
หานเจวี๋ยกล่าวอย่างมีเลศนัย “เจ้าอาจเคยเก่งกาจมากในอดีตชาติ แต่อยู่ที่นี่ ตัวตนในชาติก่อนของเจ้าไม่ถือว่าโดดเด่น ยังมีคนที่น่าเหลือเชื่อยิ่งกว่าเจ้า”
มู่หรงฉี่อึ้งค้าง อดมองไปยังคนอื่นๆ ไม่ได้
คนที่เหลือก็มองหน้าสบตากัน
ไก่คุกรัตติกาลพูดอย่างลำพองใจว่า “นั่นเป็นเรื่องปกติ ท่านไก่เป็นถึงหงส์เพลิง ต้นกำเนิดของหงส์เพลิงคืออะไร พวกเจ้าเข้าใจหรือไม่”
หลงเฮ่าเอ่ยอย่างภาคภูมิใจ “ศิษย์หลาน เจ้ากลัวอะไร วังเทพแข็งแกร่งมากนักหรือ ข้าคือโอรสจักรพรรดิสวรรค์! รอให้ข้าผงาดขึ้นมาก่อน…อย่างไรภายหน้าก็จะช่วยเจ้าล้างแค้น!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ มู่หรงฉี่เผยรอยยิ้ม พูดอย่างทะนงตนว่า “ข้าไม่ได้กลัววังเทพเสียหน่อย ข้าแค่กลัวว่าพวกเจ้าจะเดือดร้อนไปด้วย ไม่จำเป็นต้องให้พวกเจ้าลงมือหรอก วันหน้าข้าจะฉายเดี่ยวบุกสังหารวังเทพ ให้จักรพรรดิเซียนวังเทพดับสูญทั้งหมด!”
หานเจวี๋ยมองสำรวจเขาอย่างถี่ถ้วน รู้สึกว่าเขาไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากนัก
ไม่ได้เปลี่ยนเป็นคนแปลกหน้าโดยสมบูรณ์ บางทีมู่หรงฉี่อาจแค่ได้รับความทรงจำมา นิสัยยังคงเป็นนิสัยในชาตินี้
“อาจารย์ปู่ ความสัมพันธ์ของท่านกับวังสวรรค์เป็นอย่างไรกันแน่” มู่หรงฉี่ถามขึ้นมาทันใด
หานเจวี๋ยกล่าวตอบ “ภายหน้าเจ้าอยากไปวังสวรรค์ก็ย่อมได้ ข้าสามารถคุยให้เจ้าได้”
มู่หรงฉี่เข้าใจความหมายเบื้องหลังคำพูดนี้
จากนั้นหานเจวี๋ยลุกขึ้นมา และกลับเข้าไปในถ้ำเทวาฟ้าประทาน
คนทั้งหลายล้อมวงรอบๆ มู่หรงฉี่และเริ่มถามคำถามต่างๆ นานา ซึ่งทั้งหมดล้วนเกี่ยวกับอดีตของเขา
ทว่ามู่หรงฉี่ไม่ได้เปิดเผย เช่นเดียวกับสวินฉางอันที่ไม่ได้กล่าวถึงอดีตชาติของตน
……
อู้เต้าเจี้ยนตามหานเจวี๋ยเข้าไปในถ้ำเทวา ก่อนเอ่ยถามด้วยความใคร่รู้ “นายท่าน เขามีสถานะอะไรกันแน่ ท่านบอกข้าหน่อยปะไร ข้าจะไม่แพร่งพรายออกไปเด็ดขาด”
หานเจวี๋ยนั่งลงบนตั่ง บอกเรื่องราวของมู่หรงฉี่ที่เขาเข้าใจให้อู้เต้าเจี้ยนฟัง
หลังจากอู้เต้าเจี้ยนได้ยินก็อดตะลึงตาค้างไม่ได้
นางไม่คิดว่าสถานะตัวตนของมู่หรงฉี่จะยิ่งใหญ่ขนาดนี้
น่าตกใจเกินไปแล้วกระมัง!
หานเจวี๋ยพูดอย่างจริงจัง “เรื่องนี้ห้ามเปิดเผยให้ใครรู้ รวมถึงศิษย์สำนักซ่อนเร้นด้วย”
อู้เต้าเจี้ยนพยักหน้าแรงๆ นางเองก็เข้าใจว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น
[จักรพรรดินีปีศาจชิงชิวเกิดความเกลียดชังในตัวท่าน ระดับความเกลียดชังในขณะนี้คือ 6 ดาว]
จู่ๆ ก็มีตัวอักษรแถวหนึ่งปรากฏขึ้นเบื้องหน้าหานเจวี๋ย เขาขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้ รีบตรวจดูค่าความสัมพันธ์ทันที
[จักรพรรดินีปีศาจชิงชิว: ระดับเซียนทองไท่อี่ระยะปลาย หนึ่งในจักรพรรดินีปีศาจแห่งวังปีศาจ มารดาบังเกิดเกล้าของรัชทายาทเทียนเจ๋อ ด้วยทราบว่าท่านสังหารรัชทายาทเทียนเจ๋อ จึงเกิดความเคียดแค้นต่อท่าน ไม่ตายไม่ยอมเลิกรา ระดับความเกลียดชังในขณะนี้คือ 6 ดาว]
คิ้วของหานเจวี๋ยขมวดแน่นกว่าเดิม ผู้ที่ควรมาก็มาแล้ว
เขาหยิบหนังสือแห่งความโชคร้ายออกมาทันใด จากนั้นเริ่มสาปแช่งจักรพรรดินีปีศาจชิงชิว
หลังจากสาปแช่งเป็นเวลาห้าวัน เขาก็สาปแช่งต่อ ถือโอกาสสาปแช่งศัตรูคนอื่นๆ ไปในตัวด้วย
‘พวกเจ้าน่ะ หากจะโทษก็โทษจักรพรรดินีปีศาจชิงชิวแล้วกัน!’
หานเจวี๋ยคิดเงียบๆ
หลายเดือนต่อมา หานเจวี๋ยยังไม่ทันสาปแช่งเสร็จสิ้น ในป้ายคำสั่งมรรคาสวรรค์ก็มีระลอกคลื่นพลังจิตของตี้ไท่ไป๋ลอยออกมา
หานเจวี๋ยเริ่มเชื่อมต่อกับเขา
“ต่อไปอย่าออกจากอาณาเขตของวังสวรรค์” ตี้ไท่ไป๋กล่าวน้ำเสียงเคร่งขรึม
หานเจวี๋ยตอบรับไป
ล้อเล่นน่า เดิมเขาก็ไม่คิดจะออกไปอยู่แล้ว
ตี้ไท่ไป๋ถามว่า “เจ้าไม่สงสัยหรือว่าทำไม”
“ยังต้องถามอีกหรือ ต้องเป็นเพราะรัชทายาทเทียนเจ๋ออยู่แล้ว”
หานเจวี่ยพูดอย่างจนปัญญา คิดว่าตี้ไท่ไป๋สติเลอะเลือนไปแล้วหรือไม่
ตี้ไท่ไป๋ถอนหายใจ “ไม่ใช่แค่นั้น เกิดเรื่องที่น่ากลัวยิ่งกว่าขึ้นแล้ว”
………………………………………………………