บทที่ 317 จักรพรรดิเซียนวัฏจักรปรากฏกาย การกลับมาของผานซิน
นี่ไม่ใช่งานชุมนุมของผู้มีพรสวรรค์หรอกหรือ
อันตรายเกินไปแล้ว!
เมื่อถึงเวลาบรรดาขาใหญ่จะให้ศิษย์ที่อยู่ในสังกัดของตนออกมาประลองกันเพื่อเพิ่มอรรถรสหรือไม่
หานเจวี๋ยต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์โดยแสร้งทำเป็นโดนตบหน้าหรือแกล้งทำตัวเป็นหมูหลอกกินเสือหรือไม่
ไม่ได้
ไปไม่ได้!
หานเจวี๋ยกลั่นกรองถ้อยคำ ก่อนกล่าวว่า “ฝ่าบาท อันที่จริงตอนนี้ข้าก็ไม่ขาดสิ่งใดเลย เก็บที่นั่งนี้ไว้ให้หลงเฮ่าเถิด”
จักรพรรดิสวรรค์เอ่ยว่า “เฮ่าเอ๋อร์ได้รับโอกาสวาสนานี้แล้ว เขาติดตามรองเจ้านิกายฉ่านฝึกบำเพ็ญ อยู่ที่ชั้นฟ้าที่สามสิบสาม เจ้าคิดว่าตัวเจ้าไม่ขาดสิ่งใด แต่เจ้าขาดไปจริงๆ สิ่งที่เจ้าขาดนั้นก็คือความตระหนักรู้ต่อมหามรรค ภายในร่างของเจ้ามีมหามรรคเวียนว่ายตายเกิดอยู่ ทว่าเจ้ากลับจัดการมันไม่ได้เลยจริงๆ มหามรรคเวียนว่ายตายเกิดในร่างเจ้าไม่ได้แข็งแกร่งขึ้นเลย เจ้าไม่อาจควบคุมมันได้อย่างสมบูรณ์”
หานเจวี๋ยขมวดคิ้ว พูดไม่ออกจริงๆ
จักรพรรดิสวรรค์เอ่ยต่อไปว่า “ยามนี้เจ้าเป็นเพียงระดับจักรพรรดิ ยังไม่เข้าใจหรอก หลังจากบรรลุระดับเทพแล้วก็จะไม่ได้บำเพ็ญเพียงพลังวิญญาณฟ้าดินอีกต่อไป แต่เป็นการฝึกบำเพ็ญมหามรรค มหามรรคมิใช่สิ่งที่ซ่อนตัวอยู่ในถ้ำก็จะสามารถรู้แจ้งได้ มหามรรคอยู่เหนือกว่ามรรคาสวรรค์ มหามรรคเวียนว่ายตายเกิดในร่างเจ้าหากว่ากันตามจริงแล้ว ไม่นับเป็นมหามรรคที่แท้จริง เป็นเพียงขั้นตอนวิวัฒนาการอย่างหนึ่ง การไปสดับฟัง ณ ชั้นฟ้าที่สามสิบสาม เป็นการจับแนวทางตระหนักมหามรรค ภายหน้าค่อยกลับมาพากเพียรฝึกบำเพ็ญ”
เขานิ่งไปครู่หนึ่ง เอ่ยอย่างลุ่มลึกมีเลศนัย “ตัวเราในยามนี้ยังสามารถพาเจ้าไปได้ แต่หากเราปราชัยในมหาเคราะห์ ครั้งหน้าต่อให้เจ้าอยากไป ก็จะมีตัวเจ้าเพียงลำพัง ยามนั้นจะอันตรายยิ่งกว่าเดิม”
น้ำเสียงนี้…
เหตุใดถึงให้ความรู้สึกว่ากำลังเอ่ยสั่งเสียอยู่กัน
หานเจวี๋ยเอ่ยถามว่า “ข้าแบ่งร่างแยกไปได้หรือไม่”
“เหลวไหล เช่นนั้นเป็นการดูหมิ่นผู้ทรงพลัง! ผู้ทรงพลังที่นอกชั้นฟ้าที่สามสิบสามล้วนเป็นการดำรงอยู่อมตะที่เราจำเป็นต้องให้เกียรติ เจ้าต้องไป เมื่อเจ้าไปแล้วจะเข้าใจถึงความปรารถนาดีของเราเอง!” คำพูดของจักรพรรดิสวรรค์คือไม่อนุญาตให้ปฏิเสธ
หานเจวี๋ยเผยรอยยิ้มขมขื่นออกมา
เขากล่าวว่า “เช่นนั้นโปรดอย่าให้ข้าไปประลองกับศิษย์ของผู้อื่น และโปรดอย่าเปิดเผยพรสวรรค์ของข้า”
นี่คือขีดจำกัดของเขา หากจักรพรรดิสวรรค์ไม่ยินยอม เช่นนั้นถึงตีเขาให้ตายเขาก็ไม่ไป
“เจ้าคิดอะไรอยู่ ประลองหรือ สถานที่อันเงียบสงบของผู้ทรงพลัง ผู้เยาว์อย่างเจ้าไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะพูดด้วยซ้ำ!” จักรพรรดิสวรรค์เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์
เขารู้สึกว่าหานเจวี๋ยเพี้ยนไปเสียแล้ว
มักจะจินตนาการถึงสถานการณ์ที่ไม่สมเหตุสมผลต่างๆ เสมอ
หานเจวี๋ยกล่าวอย่างจนปัญญาว่า “ก็ได้ ต้องไปเมื่อใด พบกันที่ไหนพ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิสวรรค์ตอบพร้อมรอยยิ้ม “ยังมีเวลาอีกหลายสิบปี เมื่อถึงเวลาเราจะมาเข้าฝันเจ้าเพื่อบอกสถานที่นัดพบ เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวล การสดับฟังเช่นนี้ในอดีตเคยมีมาก่อน แต่ผู้ที่บังอาจอาศัยโอกาสนี้ล้างแค้นด้วยเหตุส่วนตัว ล้วนไม่มีจุดจบที่ดี”
หานเจวี๋ยฝืนพยักหน้ารับ
การเข้าฝันก็ปิดฉากลงเช่นนี้
หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น สีหน้าซับซ้อน
‘จะไม่เกิดเรื่องขึ้นจริงๆ ใช่หรือไม่’
เขาพลันนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เอ่ยถามในใจว่า ‘ข้าไปสดับฟังมรรคครานี้ จะพบพานอันตรายถึงชีวิตหรือไม่’
หากมีอันตรายแม้เพียงน้อย เช่นนั้นก็ไม่ไปแล้ว!
แม้ต้องล่วงเกินจักรพรรดิสวรรค์ ก็ไม่มีทางไปแน่
[จำเป็นต้องหักอายุขัยนึ่งแสนปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]
แค่หนึ่งแสนปีเองหรือ
ดำเนินการต่อ!
หานเจวี๋ยตัดสินใจอย่างใจกว้างนัก
หลังจากนั้น อักขระแถวหนึ่งก็ปรากฏขึ้นมาตรงหน้าเขา
[ไม่พบพานอันตรายถึงชีวิต]
หานเจวี๋ยถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก จากนั้นกดเลือกตกลงเข้าร่วมสดับฟังมรรคอย่างเงียบเชียบ ได้รับชิ้นส่วนมหามรรคหนึ่งชิ้น
‘แต่ก็ต้องระวังไว้หน่อย ไม่อาจเชื่อระบบไปเสียทุกอย่าง’
หานเจวี๋ยคิดเงียบๆ
หากสิ่งที่จักรพรรดิสวรรค์พูดเป็นความจริง เช่นนั้นก็สมควรไปจริงๆ สิ่งนี้เกี่ยวพันถึงการบำเพ็ญในระดับเทพ
หานเจวี๋ยไม่คิดต่อให้มากความ ฝึกบำเพ็ญต่อไป รอคอยให้จักรสวรรค์มาเข้าฝันอีกครั้ง
….
เวลาสิบปีผ่านไป
หานเจวี๋ยหยิบหนังสือแห่งความโชคร้ายออกมา เริ่มทำภารกิจประจำวัน ในขณะเดียวกันก็ตรวจดูจดหมายไปด้วย
[หลี่เต้าคงสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากผู้ทรงพลังแห่งวังเทพ] x45
[หลงเฮ่าศิษย์ของท่านตระหนักรู้มหามรรค พลังมรรคเพิ่มพูน]
[ฟางเหลียงศิษย์หลานของท่านพลัดหลงเข้าสู่แดนต้องห้ามลึกลับ ปิดบังตัวตนจากกลไกสวรรค์]
[ตี้ไท่ไป๋สหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากจักรพรรดิสวรรค์สหายของท่าน ตัวตายมรรคผลสลาย]
[ซูฉีศิษย์ของท่านพลังมรรคทะลวงระดับ ได้รับปฏิกิริยาจากมรรคาสวรรค์ คุณสมบัติเทพยกระดับ]
[หวงจุนเทียนสหายของท่านได้รับการชี้แนะจากผู้ทรงพลังแห่งนิกายเจี๋ย พลังมรรคเพิ่มพูน]
[ผานซินสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากผู้ทรงพลัง บาดเจ็บสาหัส]
….
หานเจวี๋ยสังเกตเห็นว่าตี้ไท่ไป๋ถูกจักรพรรดิสวรรค์สังหาร หัวใจพลันเต้นแรง
คนผู้นี้เป็นไส้ศึกจริงๆ!
หานเจวี๋ยตรวจสอบดูค่าความสัมพันธ์ในทันที พบว่ารูปประจำตัวของตี้ไท่ไป๋ยังคงอยู่ แต่ค่าสถานะเปลี่ยนไปแล้ว คำแนะนำตัวก็เปลี่ยนไปเช่นกัน
[จักรพรรดิเซียนวัฏจักร: ไม่ทราบตบะ เนื่องจากท่านยอมรับการสืบทอดจากเขา จึงบังเกิดความรู้สึกที่ดีต่อท่าน ระดับความประทับใจในขณะนี้คือ 4 ดาว]
หานเจวี๋ยขมวดคิ้ว
เจ้าหมอนี่ไม่ใช่เพียงจักรพรรดิเซียนหรือ
ช่างเถิด คร้านจะสนใจเขาแล้ว อย่างไรเสียเขาก็ไม่ได้เกลียดชังข้า
หานเจวี๋ยคิดเช่นนี้
จักรพรรดิสวรรค์ยังคงมีหลักการยิ่งนัก ไม่ได้เปิดโปงถึงหานเจวี๋ยแต่อย่างใด
หานเจวี๋ยยังสังเกตเห็นอีกว่าผานซินบาดเจ็บสาหัส
ตัวอันธพาลที่แม้แต่จักรพรรดิสวรรค์ก็ยังหวาดผวาคนนี้นับตั้งแต่ออกจากแม่น้ำมรรคกระบี่ไปก็มีเรื่องอยู่ตลอด
ทุกครั้งที่หานเจวี๋ยเห็นเขามีเรื่อง ก็รู้สึกแปลกใจยิ่งนัก
รู้สึกแปลกประหลาดเสมือนเป็นผู้เล่นใหม่ที่แอบสอดแนมแผนที่ของผู้เล่นตัวท็อป
หลังจากนั้นหนึ่งเดือน
หานเจวี๋ยเก็บหนังสือแห่งความโชคร้าย และเรียกอู้เต้าเจี้ยนให้เข้ามา
“นายท่าน ลี่เหยาเอาชนะถูหลิงเอ๋อร์ได้แล้วเจ้าค่ะ!” อู้เต้าเจี้ยนเอ่ยด้วยความตื่นเต้น
หลังจากได้รับเจดีย์บรรพชนจอมเวท ถูหลิงเอ๋อร์ก็กลายเป็นอันธพาลแห่งสำนักซ่อนเร้น เหล่าศิษย์ต่างเอาชนะนางไม่ได้
ทุกคนล้วนไม่พอใจยิ่งนัก คิดว่านางก็แค่อาศัยว่ามีของวิเศษ
ชัยชนะของลี่เหยาจึงทำให้พวกเขารู้สึกสาแก่ใจเป็นอย่างมาก
หานเจวี๋ยเดาะลิ้นกล่าวด้วยความแปลกใจ “แม่หนูนางนี้ก็เก่งกาจนัก”
อู้เต้าเจี้ยนเอ่ยด้วยความตื่นเต้นว่า “ใช่แล้วเจ้าค่ะ นางใช้วิชามรรคกระบี่เทียมฟ้าขั้นที่หนึ่ง ร้ายกาจยิ่งนัก ข้าต้องพยายามสักตั้งแล้ว มีนางเป็นเป้าหมาย”
“อืม”
หานเจวี๋ยตอบรับคำหนึ่ง ทว่าไม่ได้แปลกใจมากนัก
เวลาส่วนใหญ่ถูหลิงเอ๋อร์ก็จะฝึกบำเพ็ญอยู่ตลอด ประสบการณ์ก็เป็นเพียงประสบการณ์ในแดนมนุษย์ ไม่เหมือนลี่เหยา เจ้าเด็กคนนี้สังหารฆ่าฟันจากแดนมนุษย์จนมาถึงแดนเซียน จากนั้นก็ต่อสู้ฆ่าฟันมาตลอดทางจนมาถึงโลกเขย่าพิภพ พรสวรรค์ด้านการต่อสู้เลิศล้ำอย่างไม่ต้องสงสัยเลย
ถูหลิงเอ๋อร์ต้องการตัวกระตุ้นอยู่พอดี ระยะนี้ค่อนข้างหลงระเริงลืมตัวอยู่บ้างจริงๆ
อู้เต้าเจี้ยนเห็นว่าหานเจวี๋ยไม่สนใจพูดคุยต่อแล้ว จึงไม่พูดจ้อต่อไปอีก
ภายในถ้ำเทวาฟ้าประทานกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง ทั้งสองบำเพ็ญตบะต่อไป
….
แม่น้ำมรรคกระบี่
หลิวเป้ยนั่งสมาธิบำเพ็ญตบะ ราวกับรูปปะติมากรรมหินชิ้นหนึ่ง แน่นิ่งไม่ไหวติง ถึงขั้นที่ใบหน้าไม่มีอารมณ์ใดเลย
ทันใดนั้นเองเขาพลันรับรู้ถึงบางอย่างได้ จึงลืมตาขึ้น
มองเห็นเงาร่างหนึ่งปรากฏตัวขึ้นที่เบื้องหน้าของเขา ทำให้เขาตกใจจนสะดุ้งผุดลุกขึ้นมาทันที
“เอ๋ เจ้าเปลี่ยนกายเนื้อหรือ”
อีกฝ่ายเอ่ยด้วยความฉงน เป็นผานซินที่หานเจวี๋ยนึกถึงก่อนหน้านี้
หลิวเป้ยได้ยินเสียงเขาก็รีบเอ่ยทักทาย “ผู้อาวุโส ท่านกลับมาได้อย่างไร”
“เหตุใดเล่า กลับมาไม่ได้หรือ”
“ย่อมได้ขอรับ”
“ร่างต้นของเจ้าเล่า ไม่มาเยี่ยมเจ้าบ้างหรือ”
“เขากำลังบำเพ็ญอยู่ขอรับ”
“อืม เชิญเจ้าต่อเถิด ข้าจะไปหาสถานที่พักฟื้นสักแห่งด้วยตนเอง”
ผานซินหันหลังเดินไปยังมุมหนึ่งของแม่น้ำมรรคกระบี่ นั่งหันหลั่งให้หลิวเป้ย ยักไหล่ยุกยิก ไม่ทราบว่าในมือทำสิ่งใดอยู่
หลิวเป้ยค่อนข้างประหม่า การมาของผานซินจะนำพาปัญหายุ่งยากมาหรือไม่
เขาคิดแล้วคิดอีก แต่ยังคงแจ้งต่อหานเจวี๋ยอยู่ดี
หลังจากหานเจวี๋ยทราบเรื่องนี้ก็ให้เขาสงบเยือกเย็นไว้ ทำเป็นไม่เห็นผานซินเสีย
หลิวเป้ยจึงได้แต่ปล่อยไปเท่านั้น
เวลาห้าปีผ่านไป มีคนมาเยือนเพิ่มอีกคน
คนผู้นี้ก็คือหลี่เสวียนเอ้าศิษย์ลำดับที่สองของนิกายเหริน
หลี่เสวียนเอ้าเหลือบตามองผานซินครู่หนึ่ง จากนั้นมองไปที่หลิวเป้ย เอ่ยถามว่า “เจ้าก็คือเจ้าของแม่น้ำกระบี่นี่หรือ”
………………………………………………………………