บทที่ 335 ที่พึ่งของวังสวรรค์ ผู้รู้ใจ
ถึงอย่างไรจักรพรรดิปีศาจก็เป็นต้าหลัว และเป็นกลุ่มอิทธิพลระดับเจ้าผู้ปกครอง คิดสาปแช่งเขาให้ตายแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
หานเจวี๋ยต้องคิดหาทางอื่น
หากทำให้กลุ่มอิทธิพลใหญ่ต่างๆ รุมปิดล้อมโจมตีวังปีศาจได้ เช่นนั้นก็ยอดเยี่ยม
ส่วนที่ว่าทำเช่นนี้แล้วจะเกิดผลร้ายต่อสิ่งมีชีวิตใต้สังกัดวังปีศาจหรือไม่ หานเจวี๋ยไม่ใส่ใจเลย
ขอเพียงเข้าร่วมกลุ่มอิทธิพล ก็ต้องเตรียมเผชิญกับอันตรายเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย
หากอยากอยู่อย่างสงบร่มเย็น ก็ควรซ่อนตัวแบบหานเจวี๋ยถึงจะถูกต้อง
อีกอย่าง ใต้ร่มมรรคาสวรรค์ นอกจากปุถุชนสามัญ ผู้ใดบ้างที่มือไม่เปื้อนเลือด
หานเจวี๋ยไม่คิดให้มากความอีก รักษาตัวต่อ
ถึงอย่างไรจักรพรรดิปีศาจก็ไม่รู้ว่าเป็นเขาที่ทำให้ซวีหวงตาย ปัญหาคงสาวมาไม่ถึงเขาในระยะเวลาอันสั้นนี้
….
พริบตาเดียว เวลาก็ผ่านไปอีกสิบปี
หานเจวี๋ยหยิบหนังสือแห่งความโชคร้ายออกมาเริ่มสาปแช่ง พร้อมตรวจดูจดหมายไปด้วย
[หลี่เต้าคงสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากจักรพรรดิปีศาจศัตรูคู่อาฆาตของท่าน]
[ยอดแม่ทัพเทพสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากจักรพรรดิปีศาจศัตรูคู่อาฆาตของท่าน ได้รับบาดเจ็บสาหัส]
[หลงเฮ่าศิษย์ของท่านเผชิญกับการโจมตีจากผู้บำเพ็ญนิกายฉ่าน] x5871
[ฟางเหลียงศิษย์หลานของท่านวิญญาณกลับเข้าร่าง ดวงชะตาเพิ่มพูน ประสบด่านเคราะห์นิพพานที่หาได้ยากในรอบหมื่นพันปี]
[จี้เซียนเสินสหายของท่านเผชิญกับการโมตีจากเผ่าเทพอีกาทอง] x3009
[โจวฝานสหายของท่านกับเผชิญการโจมตีจากเผ่าปีศาจ] x322291
[โจวฝานสหายของท่านแรงกรรมเพิ่มพูน จิตสังหารแปรสู่มรรค พลังมรรคเพิ่มขึ้นฉับพลัน]
[โม่ฟู่โฉวสหายของท่านเผชิญกับการโมตีจากปีศาจ] x208712
….
จักรพรรดิปีศาจอีกแล้ว!
หานเจวี๋ยรู้สึกฉงน
จักรพรรดิสวรรค์บอกว่าตัวตนระดับพวกเขาไม่อาจลงมือได้มิใช่หรือ
หรือหมายถึงลงมือใส่กันเองไม่ได้
เมื่อไล่อ่านลงไป มีหลายคนนักที่เผชิญกับการโจมตีจากจักรพรรดิปีศาจ
ที่ควรค่าให้กล่าวถึงคือต่างล้วนรอดชีวิตกันทั้งสิ้น ดูเหมือนจักรพรรดิปีศาจจะไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย
เช่นนี้ก็ดี จักรพรรดิปีศาจรนหาที่ตายเอง จุดจบคงมาถึงในอีกไม่ช้า!
หนึ่งเดือนผ่านไป
หานเจวี๋ยหยิบป้ายคำสั่งมรรคาสวรรค์ ติดต่อหาจักรพรรดิสวรรค์เพื่อสอบถามสถานการณ์ของวังสวรรค์
จักรพรรดิสวรรค์เอ่ยอย่างอับจนหนทาง “เจ้าห่วงใยวังสวรรค์ถึงเพียงนี้ ไยจึงไม่มาดูเล่า หรือกลัวพวกเราจะพลาดท่า”
หานเจวี๋ยตอบ “กลัวมากจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ ข้าหวังว่าพวกท่านจะอยู่รอดต่อไปอย่างแข็งแกร่ง”
“ฮึ่ม วังสวรรค์ไม่มีทางพลาดท่า เคราะห์กรรมน้อยใหญ่ในอดีต วังสวรรค์เคยพลาดท่าเสียที่ไหน ต่อให้วังสวรรค์พลาดพลั้ง เมื่อมหาเคราะห์ครั้งต่อไปมาถึง นั่นก็จะกลายเป็นโอกาสให้วังสวรรค์ผงาดขึ้นมาอย่างแน่นอน”
“เพราะเหตุใดหรือ”
“เพราะวังสวรรค์ก่อตั้งขึ้นโดยบรรพชนเต๋า”
“แล้วตอนนี้บรรพชนเต๋ายังคุ้มครองพวกเราอยู่หรือไม่”
“นี่…แค่กๆ ตามปกติแล้วจะกล้าไปรบกวนผู้อาวุโสอย่างเขาได้อย่างไร”
หานเจวี๋ยจับพิรุธในน้ำเสียงของจักรพรรดิสวรรค์ได้
คาดว่าบรรพชนเต๋าคงแยกตัวเหินห่างไปจากวังสวรรค์แล้ว มิเช่นนั้นวังสวรรค์คงไม่เผชิญกับการโจมตีจากกลุ่มอิทธิพลต่างๆ เช่นนี้
หานเจวี๋ยรู้สึกว่าสี่กลุ่มอิทธิพลใหญ่ระดับเจ้าผู้ปกครองในแดนเซียนผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนตกเป็นเป้าของอีกสามกลุ่มที่เหลือมาโดยตลอด ไม่รู้แล้วว่าอันไหนจริง อันไหนหลอก
“ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าและจี้เซียนเสินยังดีอยู่หรือไม่” จู่ๆ จักรพรรดิสวรรค์ก็ถามขึ้นมา
หานเจวี๋ยกล่าวตอบ “ข้าเคยช่วยชีวิตเขาไว้ น่าจะยังดีอยู่ ทำไมหรือพ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิสวรรค์เอ่ยว่า “เด็กคนนี้ผิดปกติ เป็นมนุษย์ธรรมดาชัดๆ ทว่าดวงชะตากลับแกร่งกล้าขึ้นเรื่อยๆ ฉายแววว่าจะเป็นบุตรสวรรค์ผู้เลิศล้ำ มีความเป็นไปได้เกือบสิบส่วนที่เขาจะกลายเป็นผู้ฝ่าเคราะห์ หากอดทนผ่านพ้นไปได้ จะรุ่งโรจน์โบยบิน แต่ผู้ฝ่าเคราะห์เก้าในสิบล้วนสิ้นชีพ มีน้อยนิดที่รอดชีวิตไปได้และกลายเป็นผู้ทรงพลังแห่งมรรคาสวรรค์”
หานเจวี๋ยขมวดคิ้ว
มองจากจุดนี้ หากจี้เซียนเสินอดทนอยู่รอดไปได้ หลังมหาเคราะห์สิ้นสุด เขาจะกลายเป็นตัวตนระดับเดียวกับจักรพรรดิสวรรค์และบรรพชนพุทธมรรคาสวรรค์หรือไม่
มีความเป็นไปได้สูงยิ่งนัก!
คนผู้นี้บ้าระห่ำถึงเพียงนั้นก็ยังรอดมาได้ คาดว่าภายหน้าก็คงไม่ตายเช่นกัน
จู่ๆ หานเจวี๋ยก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมาทันที
เมื่อจี้เซียนเสินกลายเป็นผู้ทรงพลังของโลก จะต้องมาขอคำปรึกษาจากเขาบ่อยๆ เป็นแน่ พอถึงเวลานั้นจะฆ่าเขาก็ไม่ได้อีก หานเจวี๋ยคงรำคาญแทบตาย
แค่กๆ
คิดไปไกลแล้ว
หานเจวี๋ยถามด้วยความอยากรู้ “ฝ่าบาท ด้วยพลังมรรคของท่าน ท่านคิดว่ามหาเคราะห์ไร้ขอบเขตครั้งนี้จะดำเนินต่อไปนานแค่ไหน”
จักรพรรดิสวรรค์ยิ้มพลางเอ่ย “ช่วงที่มหาเคราะห์ไปถึงจุดสูงสุด ปวงสวรรค์หมื่นโลกาจะถูกแรงกรรมปกคลุม นั่นต่างหากถึงจะเป็นช่วงเริ่มต้นอย่างแท้จริง ตอนนี้เป็นเพียงช่วงอารัมภบทเท่านั้น”
หานเจวี๋ยพูดไม่ออกเลย
นี่แค่อารัมบทงั้นหรือ
ยมโลกจะวอดวายหมดแล้ว
นับตั้งแต่แดนชำระบาปเก้าขุมถูกเปิดออก หานเจวี๋ยรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่ายมโลกผิดปกติ จิตอาฆาตหนักหนา แปรเปลี่ยนเป็นแรงกรรมอย่างต่อเนื่อง เมื่อเวลาผ่านไป แรงกรรมจะเนืองแน่นไปทั่วยมโลกอย่างแน่นอน
เมื่อถึงเวลานั้น หานเจวี๋ยจะไม่สามารถออกไปได้แล้วจริงๆ
จักรพรรดิสวรรค์พูดคุยกับหานเจวี๋ยอีกไม่กี่ประโยค หลังสอบถามถึงสถานการณ์การบำเพ็ญของเขาเล็กน้อยก็ตัดการเชื่อมต่อกระแสจิตไป
หานเจวี๋ยฝึกบำเพ็ญต่อ
การบำเพ็ญไม่อาจหย่อนยานได้ จากนี้ต้องมุ่งสู่ระดับจักรพรรดิเซียนแปดวัฏ
ตอนนี้หานเจวี๋ยรู้สึกว่าระดับจักรพรรดิเซียนอ่อนแอเกินไป จำเป็นต้องบรรลุระดับเทพให้ได้ในเร็ววัน
เมื่อบรรลุระดับเทพแล้ว น่าจะตายยากขึ้น ดูอย่างหลี่เสวียนเอ้าเถิด เขาบ้าคลั่งขนาดนั้น วอนหาเรื่องถึงเพียงนั้น ก็ยังไม่มีใครฆ่าเขาได้
….
วังสวรรค์ ริมแม่น้ำสวรรค์
จี้เซียนเสินนั่งสมาธิบำเพ็ญ ข้างตัวเขามีทวนยาวดุดันน่าครั่นคร้ามเล่มหนึ่งปักอยู่ ปลายทวนกินพื้นที่หนึ่งในสามของทั้งกองทัพ คดเคี้ยวดั่งอสรพิษ คมกริบเจือไอเยียบเย็น
เงาร่างหนึ่งเหาะเข้ามา เป็นฟางเหลียงนั่นเอง
ฟางเหลียงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไม่พบกันเสียนาน”
จี้เซียนเสินลืมตาขึ้น มองไปที่เขา ลุกขึ้นมาและเอ่ยด้วยรอยยิ้มเช่นกัน “เจ้าหนุ่ม ไม่น่าเชื่อว่าเจ้ายังมีชีวิตอยู่!”
ทั้งสองเคยร่วมมือกันฝ่าฟันในต่างโลก ความสัมพันธ์ใกล้ชิดสนิทสนม
เขารู้สึกว่าฟางเหลียงเปลี่ยนไป ตัวตนมีความซับซ้อนมากขึ้น ถึงขั้นที่ทำให้เขามองไม่ออกอยู่บ้าง
ฟางเหลียงในตอนนี้มิใช่หนุ่มน้อยเจ้าสำอางในวันวานแล้ว เส้นผมยุ่งเหยิงเล็กน้อย ริมปากมีตอหนวด ดวงตาเจือแววเศร้าหมองที่คล้ายมีคล้ายมิมี
“อันที่จริงตายไปสองสามหนแล้ว เคราะห์ดีที่ยังมีโชคอยู่ รอดชีวิตกลับมาได้ เจ้าล่ะ” ฟางเหลียงยิ้มจางๆ พลางเอ่ยวาจา
จี้เซียนเสินก็ตอบด้วยรอยยิ้มเช่นกัน “ตายอยู่หลายครั้งเหมือนกัน แต่ยังรอดมาได้”
ทั้งสองสบตากัน ต่างรู้ดีว่าอีกฝ่ายประสบพบพานสิ่งใดมา อดไม่ได้ที่จะมีความรู้สึกเห็นใจคนหัวอกเดียวกัน
จี้เซียนเสินดึงฟางเหลียงให้นั่งลง ทั้งสองเรื่องบอกเล่าถึงประสบการณ์ของแต่ละคน ทว่าต่างก็มีส่วนที่ปิดบังเอาไว้โดยเฉพาะในเรื่องโชควาสนาของตน
หลายชั่วยามผ่านไป
จี้เซียนเสินเอ่ยว่า “ฟางเหลียง มหาเคราะห์ไร้ขอบเขตเปิดฉากขึ้นแล้ว นี่คือโอกาสสำหรับพวกเรา มิสู้พวกเรามาร่วมมือกัน แย่งชิงโชคชะตาอันยิ่งใหญ่ไปด้วยกัน นับว่าได้คอยดูแลกันไปด้วย”
ฟางเหลียงตอบตกลง “ได้ ครั้งนี้ข้าไม่คิดหนีอีกแล้ว ข้าก็จะช่วงชิงเช่นกัน!”
ทั้งสองมองตากันแล้วหัวเราะออกมา เสียงหัวเราะดังลั่น
ชีวิตคนเรายากนักที่จะได้พบหนึ่งผู้รู้ใจ
….
ห้าสิบปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว
หานเจวี๋ยไม่ถูกศัตรูคนใดโจมตีมาที่ตนอีก แต่เขาก็มิได้นิ่งนอนใจ
มีครั้งแรกแล้ว จะต้องมีครั้งที่สองแน่นอน
เขาจำเป็นต้องตื่นตัวให้มากขึ้น
ไม่แน่ว่าตอนนี้อาจมีศัตรูที่มาจากอนาคตกำลังตามหาตนของเขาอยู่ด้านนอกก็ได้ เขาต้องซ่อนตัวในอาณาเขตเต๋าให้ดี จะให้ถูกพบตัวไม่ได้เด็ดขาด
มีอาณาเขตเต๋าอยู่ ตัวเขาในอนาคตก็ยังสามารถคุ้มครองตัวเขาในปัจจุบันได้
หากออกนอกอาณาเขตเต๋า ผลลัพธ์ต่อจากนั้นไม่น่าจินตนาการถึงเลยแม้แต่นิด
ในวันนี้ หานเจวี๋ยเรียกศิษย์ทุกคนมารวมตัวใต้ต้นฝูซัง เริ่มแสดงธรรมแก่เหล่าศิษย์
เป็นครั้งแรกที่หลี่ว์ฮว่าซวีจะได้ฟังหานเจวี๋ยแสดงธรรม จึงตั้งตารอยิ่งนัก
ก่อนมาที่นี่ เขาเคยฟังพุทธะอาภรณ์ขาวคุยโอ้อวดถึงหานเจวี๋ย หลังจากมาถึง ศิษย์สำนักซ่อนเร้นก็คุยโม้โอ้อวดถึงหานเจวี๋ยต่ออีก ทำให้เขารู้สึกสงสัยใคร่รู้ในตบะของหานเจวี๋ยเป็นอย่างมาก
จินกังนู่ก็ตั้งตารอการแสดงธรรมของหานเจวี๋ยมากเช่นกัน เขาอยู่ห่างจากระดับเทพเพียงก้าวเดียวเท่านั้น หวังว่าจะสบช่องฝ่าทะลวงระดับได้จากการฟังธรรมของหานเจวี๋ย
การแสดงธรรมดำเนินอยู่ห้าปี
เหล่าศิษย์ต่างตระหนักรู้ในแบบของตัวเอง ถึงขั้นที่มีบางคนทะลวงระดับครั้งใหญ่ได้โดยตรงเลย
หานเจวี๋ยให้พวกเขาเริ่มถามปัญหาทีละคน
และในเวลาเดียวกันนี้
นอกเกาะสำนักซ่อนเร้น บนแม่น้ำปรโลกที่อยู่ห่างออกไปนับพันนับหมื่นลี้ เงาร่างหนึ่งกำลังก้มมองแม่น้ำปรโลก
ร่างเขาสีดำสนิทไปทั้งตัว ราวกับเป็นเงาสายหนึ่ง เขาพึมพำกับตัวเอง “ประหลาด กลไกสวรรค์เปิดเผยว่าอยู่ในแม่น้ำปรโลก แต่แม่น้ำปรโลกกลับไม่มีความผิดปกติอันใดเลย”
………………………………………………………………