บทที่ 34 จอมมารระดับสุญตา
หานเจวี๋ยรีบกดเปิดดูค่าความสัมพันธ์
[เซียวเอ้อร์: ระดับสุญตาขั้นสอง เนื่องจากท่านสังหารต้วนทงเทียนหุ่นเชิดของเขา จึงเต็มไปด้วยความแค้นต่อท่าน เกลียดชังจนอยากเลาะกระดูกหลอมวิญญาณท่าน ระดับความเกลียดชังในขณะนี้คือ 5 ดาว]
ระดับสุญตาขั้นสอง?
แม่เจ้า!
ยังมีรุ่นอาวุโสกว่าจริงๆ ด้วย!
หานเจวี๋ยหมดคำจะพูด
ระดับหลอมปราณ สร้างฐาน รวมแก่นปราณ ปราณก่อกำเนิด เปลี่ยนวิญญาณ สุญตา รวมกายา ฝ่าด่านเคราะห์ และมหายาน!
นี่เป็นขอบเขตพลังของแดนบำเพ็ญพรต ยิ่งระดับสูงยิ่งทะลวงได้ยาก
ระดับเปลี่ยนวิญญาณยังกำราบทั้งสำนักหยกพิสุทธิ์ได้ ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงระดับสุญตาเลย
‘จบเรื่องนี้แล้วต้องรีบปิดด่านฝึกฝน ต้องสำเร็จระดับเปลี่ยนวิญญาณในเร็ววัน!’
หานเจวี๋ยคิดเงียบๆ
ในเวลานี้เอง
เงาร่างหนึ่งปรากฏออกมาจากแม่เหล็กทมิฬตามธรรมชาติ
คนผู้นี้อยู่ในสภาพจิตดั้งเดิมเช่นกัน ใบหน้าอัปลักษณ์ดุจผีร้าย คล้ายกับถูกไฟไหม้และผ่านการหมักด้วยพิษร้ายแรง แผลเป็นเกาะติดกันเป็นรอยแผลกระดํากระด่าง รูปร่างสูงใหญ่ต่างจากคนทั่วไป
“สหายเต๋ามีพลังวิเศษดีแท้ ปราณก่อกำเนิดสังหารเปลี่ยนวิญญาณ ทำให้ข้าได้เปิดโลกทัศน์แล้ว!”
คนผู้นี้กล่าวขึ้นอย่างไม่น่าไว้ใจ
หานเจวี๋ยยกกระบี่ขึ้นมา
“ช้าก่อน! ค่อยๆ พูดค่อยๆ จากัน!” สีหน้าของฝ่ายตรงข้ามเปลี่ยนไป รีบผ่อนท่าทีลง
หานเจวี๋ยจำคนผู้นี้ได้
นี่คือเซียวเอ้อร์ที่ตนล่วงเกินเมื่อสักครู่นั่นเอง ภาพประจำตัวในค่าความสัมพันธ์กับตัวจริงอัปลักษณ์พอๆ กัน
หานเจวี๋ยถามขึ้น “ท่านเป็นใคร?”
เซียวเอ้อร์รีบยืดอกกล่าวอย่างหยิ่งทะนง “ข้าคือผู้อาวุโสเซียวเอ้อร์แห่งสำนักมารปีศาจแดนเหนือ เจ้าทำลายแผนการของข้า แต่ขอแค่เจ้าก้มหัวยอมรับผิด ข้าจะไม่ถือโทษเอาเรื่องเจ้า ข้าเป็นถึงยอดผู้บำเพ็ญระดับสุญตา การสังหารเจ้านั้นง่ายดายเหมือนบี้มดปลวกตัวหนึ่ง ไม่เสียแรงสักนิด”
หลี่ชิงจื่อสบตากับผู้อาวุโสสูงสุด ต่างก็มองเห็นความตื่นตกใจฉายในแววตาของอีกฝ่าย
“มิน่าเล่าลัทธิมารฟ้ามืดถึงได้ลอบทำร้ายแดนหมื่นปีศาจ ที่แท้เป็นฝีมือของสำนักมารปีศาจนี่เอง!” หลี่ชิงจื่อกัดฟันกรอด
ผู้อาวุโสสูงสุดกล่าวนิ่งๆ ว่า “นับจากวันนี้ไป ลัทธิมารฟ้ามืดน่าจะถูกลบชื่อทิ้งแล้ว”
อีกด้านหนึ่ง
หานเจวี๋ยถามอย่างสงสัย “เหตุที่ต้วนทงเทียนถ่วงเวลาเมื่อครู่ หรือว่าจะทำเพราะท่าน”
เซียวเอ้อร์แค่นเสียง “นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว เจ้าคนไร้ประโยชน์นั่นบอกข้าว่าสำนักหยกพิสุทธิ์ไม่มีใครเป็นคู่ต่อสู้ของมันได้ ให้ข้า…ช่างเถอะ เจ้าจะสำนึกผิดหรือไม่”
หานเจวี๋ยจับจ้องเซียวเอ้อร์ ตอบอย่างจริงจังว่า “ข้ากำลังคิดว่าจะฆ่าเจ้าดีหรือไม่”
เซียวเอ้อร์ชักสีหน้า
เขาเอ่ยอย่างเดือดดาล “เจ้าคิดจะล่วงเกินสำนักมารปีศาจรึ เจ้าคิด…”
ยังพูดไม่ทันจบ เขาก็กลายร่างเป็นรุ้งสายหนึ่งพุ่งไปยังริมขอบฟ้า
หานเจวี๋ยกำลังจะลงมือ ไม่นึกว่าเขาจะชิงหลบหนีไปเสียก่อน
จะลงมืออีกครั้งก็ตามไม่ทันแล้ว
“สมกับที่เป็นผู้อาวุโส การตอบสนองเร็วกว่าข้าเสียอีก”
หานเจวี๋ยถอนหายใจเอ่ย จุดนี้ควรค่าให้เขาเรียนรู้ไว้
เขาหันกายบินไปด้านหลังเซียนซีเสวียน ก่อนกระตุ้นพลังรักษาบาดแผลให้นาง
เซียนซีเสวียนเหลือบมองหานเจวี๋ยด้วยหางตา พบว่าหลังจากสังหารต้วนทงเทียน หานเจวี๋ยกลับไม่ตื่นตระหนกเท่าใด หนำซ้ำยังเป็นเหมือนที่ผ่านมา ดูสงบนิ่งยิ่งนัก
จู่ๆ นางก็มองหานเจวี๋ยไม่ออกอีก
ที่แท้เขาไม่ได้ขี้ขลาด เพียงแค่ไม่อยากถูกรบกวนและขัดจังหวะการบำเพ็ญจริงๆ
“เจ้าหนุ่มหาน อย่ามัวแต่ช่วยอาจารย์ของเจ้า รีบตามไปสังหารศัตรู กำจัดผู้บำเพ็ญสายมารของลัทธิมารฟ้ามืดให้สิ้นซากเสีย!” หลี่ชิงจื่อกล่าวเร่งเร้า
หานเจวี๋ยเอ่ยตอบ “ไม่ได้ ท่านอาจารย์สำคัญที่สุด”
ตลกน่า
ถ้าหากเขาล้างบางลัทธิมารฟ้ามืดด้วยพลังของตนเองคนเดียว เช่นนั้นก็ต้องมีชื่อเสียงกระฉ่อนน่ะสิ
ยิ่งโด่งดังมากเท่าไร ศัตรูก็มากขึ้นเท่านั้น
กระทั่งจะมีคนมากมายอยากท้าสู้ด้วย
หานเจวี๋ยไม่อยากพบเจอเหตุการณ์เช่นนั้น แค่ช่วยสำนักหยกพิสุทธิ์ให้รอดพ้นจากหายนะครั้งนี้ก็พอ ที่เหลือปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพวกเขา
หลี่ชิงจื่อนิ่งงัน
เซียนซีเสวียนโค้งมุมปากเล็กน้อย
ผู้อาวุโสคนอื่นต่างมองเซียนซีเสวียนด้วยความอิจฉา มีศิษย์เช่นนี้แล้วยังจะต้องการสิ่งใดอีก?
“สหายเต๋า บอกความจริงมาเถิด เจ้าเป็นใครมาจากไหนกันแน่ ตบะระดับเจ้า ไม่ใช่ศิษย์ที่ได้รับการฝึกฝนจากสำนักหยกพิสุทธิ์เราแน่นอน”
ผู้อาวุโสคนหนึ่งกล่าวขึ้น ถามไถ่ข้อสงสัยในใจของทุกคน
หานเจวี๋ยตอบว่า “พบพานคือโชคชะตาไยต้องเคยรู้จักกัน พวกท่านรู้เพียงข้าเป็นศิษย์ของสำนักหยกพิสุทธิ์ และข้าจะไม่ทำอันตรายแก่สำนักหยกพิสุทธิ์ก็พอ”
ทุกคนพยักหน้าเมื่อได้ยินเช่นนั้น
ใครบ้างไม่มีอดีตที่ไม่อยากเอ่ยถึง
ในขณะเดียวกันนั้น
ผู้อาวุโสคนอื่นๆ ของลัทธิมารฟ้ามืดก็ตามมาถึง
พวกเขาไม่เห็นต้วนทงเทียน เห็นแต่แม่เหล็กทมิฬตามธรรมชาติ
“เจ้าลัทธิเล่า”
ผู้อาวุโสคนหนึ่งถามด้วยความตกใจกลัว
เมื่อมองเห็นหานเจวี๋ยและคนอื่นๆ กำลังรักษาตัว หนำซ้ำต้วนทงเทียนก็ไม่อยู่ พวกเขาก็เริ่มใจเสียแล้ว
“รีบสังหารพวกมันเร็ว จบเรื่องแล้วหากเจ้าต้องการสิ่งใด พวกเราจะสนองให้สุดกำลัง!” หลี่ชิงจื่อกล่าวด้วยน้ำเสียงร้อนรน
ด้วยพลังที่หานเจวี๋ยเผยออกมา การสังหารผู้อาวุโสลัทธิมารฟ้ามืดนับว่าง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ
หานเจวี๋ยลังเล
เหล่าผู้อาวุโสลัทธิมารชะงักงัน ทยอยมองไปยังหานเจวี๋ย
ระดับสร้างฐานขั้นเก้าก็ฆ่าพวกเขาได้อย่างนั้นหรือ
ไม่ถูกต้อง!
คนผู้นี้จะต้องซ่อนตบะเอาไว้แน่นอน!
ไม่เช่นนั้นแค่ระดับสร้างฐานขั้นเก้าจะทำให้เจ้าลัทธิของพวกเขาหายไปได้อย่างไร
เหล่าผู้อาวุโสลัทธิมารตกใจจนรีบถอยหนี
หลี่ชิงสื่อสบถ เขารีบลุกขึ้นเดินไปริมหน้าผาสูงชัน จากนั้นโคจรพลังวิญญาณที่เหลืออยู่ในร่างและตะโกนว่า “เจ้าลัทธิมารต้วนทงเทียนตายแล้ว! ศิษย์สำนักหยกพิสุทธิ์จงฟังคำสั่ง ให้กำจัดผู้บำเพ็ญสายมารทั้งหมดที่อยู่ในสำนัก!”
เสียงของเขากึกก้องไปทั่วนภา
ทุกคนตกอยู่ในความโกลาหล!
ฝ่ายสำนักหยกพิสุทธิ์ฮึกเหิม พากันคึกราวกับฉีดเลือดไก่[1] และเริ่มต้นสงครามนองเลือด
ฝ่ายลัทธิมารฟ้ามืดกลับตกใจ เจ้าลัทธิตายแล้ว ยังจะต้องสู้อะไรอีก
อีกทั้งต้วนทงเทียนไม่ได้ส่งเสียงค้านหลี่ชิงจื่อ นี่ก็หมายความว่าสิ่งที่หลี่ชิงจื่อพูดอาจเป็นความจริง!
“รีบหนีเร็ว! เจ้าลัทธิตายแล้ว!”
“สมควรตาย! สำนักหยกพิสุทธิ์แข็งแกร่งถึงเพียงนี้เชียว?”
“สำนักหยกพิสุทธิ์ซ่อนผู้ทรงพลังไว้!”
“แม้แต่เจ้าลัทธิระดับเปลี่ยนวิญญาณก็ยังเอาชนะผู้ทรงพลังนั่นไม่ได้หรือ”
“แย่แล้ว พวกมันพลิกกลับมาเล่นงานแล้ว!”
…
เมื่อเห็นพวกผู้บำเพ็ญสายมารหนีไปทั่วทุกทิศ หลี่ชิงจื่อถอนหายใจด้วยความโล่งอก
หนีไปก็ดี เช่นนี้ลดการบาดเจ็บล้มตายของสำนักหยกพิสุทธิ์ลงได้
สำหรับบัญชีหนี้แค้น เสร็จเรื่องค่อยตามคิดบัญชีทีหลัง!
ต้วนทงเทียนตายแล้ว ลัทธิมารฟ้ามืดคงไม่กล้ามาโจมตีสำนักหยกพิสุทธิ์ไปอีกพักใหญ่
สำนักหยกพิสุทธิ์กระทั่งบุกโจมตีก่อนได้!
เขาหันไปมองหานเจวี๋ยที่กำลังรักษาเซียนซีเสวียนด้วยสายตาที่ร้อนผ่าว
‘ต้องไม่ปล่อยให้เจ้าเด็กนี่ไปจากสำนักหยกพิสุทธิ์เป็นอันขาด!’
หลี่ชิงจื่อแอบนึกในใจ
เขาไม่อาจทะลวงระดับได้อีกแล้ว ทำได้เพียงพึ่งพาคนอื่น
พลังของหานเจวี๋ยน่ากลัวอย่างยิ่ง สามารถสังหารระดับเปลี่ยนวิญญาณได้ในกระบี่เดียว จะต้องดึงมาเป็นพวกให้ได้
หลี่ชิงจื่อประกาศทันที “ตั้งแต่วันนี้ไป หานเจวี๋ยจะเป็นรองเจ้าสำนักหยกพิสุทธิ์!”
ทันทีที่กล่าวออกไป เหล่าผู้อาวุโสต่างเปลี่ยนสีหน้า ทว่าพวกเขาก็ไม่ปฏิเสธ
“ข้าขอค้าน!”
หลี่ชิงจื่อจับจ้องไป ผู้ที่คัดค้านก็คือตัวหานเจวี๋ยเอง
หานเจวี๋ยกล่าวด้วยถ้อยคำชอบธรรม “ใจของข้าเพียงอยากฝึกฝน ไม่คิดอยากเป็นรองเจ้าสำนัก”
รองเจ้าสำนักต้องเหนื่อยแน่ กระทบต่อการฝึกฝนของเขา
“นี่…” หลี่ชิงจื่ออดกลัดกลุ้มไม่ได้
ผู้อาวุโสสูงสุดกล่าวว่า “ให้เขาเป็นผู้อาวุโสเถอะ แค่ใส่นำหน้าชื่อก็พอ ปล่อยเขาสำราญกับเบี้ยเลี้ยงและผลประโยชน์ของรองเจ้าสำนัก เวลาปกติไม่อนุญาตให้ไปรบกวนเขา เว้นแต่จะเกิดภัยขึ้นกับสำนัก”
เมื่อหานเจวี๋ยได้ยิน ก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ
เขาชอบเช่นนี้แหละ!
“จริงสิ คนผู้นั้นเมื่อสักครู่เป็นระดับสุญตา…” จู่ๆ หานเจวี๋ยก็เอ่ยขึ้น
พูดตามตรง เขาคล้ายกับมีไข้ขึ้นเล็กน้อย
อย่างไรเสียศัตรูก็หนีไปแล้ว
ผู้อาวุโสสูงสุดยิ้มบอก “เขาเหลือแต่จิตดั้งเดิมเท่านั้น หากข้าเดาไม่ผิด ต้วนทงเทียนต้องช่วยเขาฟื้นฟูกายเนื้อถึงจะได้รับโอกาสทะลวงระดับ เหตุที่ถ่วงเวลาไว้เมื่อครู่ คาดว่ากำลังดูดพลังชีวิตและพลังวิญญาณของสำนักหยกพิสุทธิ์ นี่น่าจะเป็นเคล็ดวิชาบางอย่าง”
ส่วนสำนักของเขายิ่งไม่ต้องกังวล เขตอุดรห่างจากเรามากนัก เรียกได้ว่าอยู่ไกลสุดหล้าฟ้าเขียว”
หานเจวี๋ยไม่เห็นเซียวเอ้อร์ในสายตาเลยสักนิด
หานเจวี๋ยได้ยินแล้วก็ยังคงไม่วางใจ
‘จะคิดเช่นนี้ไม่ได้เด็ดขาด!
ไม่กลัวเรื่องที่แน่นอน กลัวแต่เหตุไม่คาดฝัน!
ข้าจะปิดด่านฝึกฝน!
ข้าจะก้าวข้ามระดับสุญตาให้ได้ในเร็ววัน!’
…………………………………………………………
[1] ฉีดเลือดไก่ มาจากความเชื่อทางการแพทย์จีนเมื่อยุคปี 60 ว่าการฉีดเลือดไก่เข้าตัวเป็นยารักษาสารพัดโรค เป็นสำนวนที่ใช้เปรียบเปรยคนที่มีอาการคึก มีเลือดสูบฉีด