บทที่ 339 พลิกหยินกลับหยาง บุกแดนชำระบาปเก้าขุม
เนื่องจากแม่น้ำปรโลกรวบรวมวิญญาณร้ายจากแดนชำระบาปเก้าขุมเอาไว้นับไม่ถ้วน หานเจวี๋ยจึงจำเป็นต้องตรวจสอบหายอดฝีมือสุดแข็งแกร่งปีละครั้ง หลีกเลี่ยงการปรากฏตัวขึ้นของผู้ทรงพลังที่น่าหวาดหวั่น
เจ็ดปีผ่านไป
หานเจวี๋ยตรวจหายอดฝีมือในละแวกนี้ตามที่ทำเป็นประจำ จู่ๆ ก็สะดุ้งโหยง
[จู่ถู: ไม่ทราบตบะ ประมุขวังเทพ]
คนผู้นี้มาได้อย่างไร
หานเจวี๋ยรู้สึกวิตกกังวล
นี่คือสุดยอดผู้แข็งแกร่งของมหาเคราะห์ในตอนนี้!
คนที่เปิดประตูแดนชำระบาปเก้าขุมก่อนหน้านี้ก็คือคนผู้นี้
คนผู้นี้ให้วิญญาณร้ายนับไม่ถ้วนหลบซ่อนอยู่ในแม่น้ำปรโลก หรือคิดจะทำการใหญ่อันใด?
การปรากฏตัวของจู่ถูทำให้หานเจวี๋ยไม่กล้าฝึกบำเพ็ญต่อ เพราะหวาดกลัวว่าจะถูกพบเห็นเข้า
ห่างออกไปหนึ่งล้านลี้ เหนือแม่น้ำปรโลก เงาดำร่างหนึ่งลอยอยู่กลางอากาศ
เป็นจู่ถูนั่นเอง
จู่ถูกวาดตามองรอบด้าน พึมพำกับตัวเอง “ไม่มีจริงๆ ร่างแยกที่มาก่อนหน้านี้ก็หาไม่พบ นึกว่าเป็นเพราะตบะของร่างแยกไม่เพียงพอ ตอนนี้เห็นทีว่ากลไกสวรรค์จะคำนวณพลาดไปเสียแล้ว”
ครุ่นคิดอยู่แวบหนึ่ง เขาก็เข้าไปดักซุ่มอยู่ในแม่น้ำปรโลก
อีกหลายปีให้หลัง ทุกครั้งที่หานเจวี๋ยตรวจสอบ ก็ล้วนตรวจพบจู่ถูอยู่ร่ำไป
คนผู้นี้มาอยู่ใกล้ๆ ไม่ยอมขยับไปไหนเลย!
โชคดีที่เกาะสำนักซ่อนเร้นสามารถปิดกั้นพลังจิตระดับครึ่งอริยะได้ ต่อให้จู่ถูแข็งแกร่งแค่ไหน ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะอยู่สูงกว่าระดับครึ่งอริยะ มิเช่นนั้นจะเข้าสู่เคราะห์ไปไย
ชั่วพริบตาเดียว เวลาผ่านไปสิบสี่ปีเต็ม ในที่สุดจู่ถูก็เคลื่อนไหว
“เหล่าวิญญาณร้ายแห่งแดนชำระบาปเก้าขุมเอ๋ย พวกเจ้าต่างพ่ายแพ้ปราชัยในมหาเคราะห์ไร้ขอบเขต ข้ารู้ว่าพวกเจ้าไม่ยอมรับ ไม่ว่าจะเพื่อมหาเคราะห์ เพื่อพลังมรรค เพื่อสำนักสังกัดหรือเพื่อเผ่าพันธุ์ พวกเจ้าก็ไม่มีทางพลิกกลับมาผงาดได้อีกแล้ว หากอยากพลิกสถานการณ์ ก็ทำได้เพียงเข่นฆ่าสังหารฝ่ามหาเคราะห์ไร้ขอบเขตเพื่อกลับไป! ”
“ข้าเองก็เคยพ่ายแพ้ในมหาเคราะห์ไร้ขอบเขตเช่นกัน ข้าไม่พอใจ ข้าต้องการโค่นล้มมรรคาสวรรค์ ข้าต้องการทำให้ตัวตนที่กล่าวอ้างว่าตนคือนายเหนือหัวแห่งสรรพสิ่งเหล่านั้นได้รู้ว่า สิ่งมีชีวิตหลังกำเนิดฟ้าอย่างพวกเรามิใช่ตัวเบี้ย!”
“ใช้แม่น้ำปรโลกต่างบันได พวกเจ้าจงบุกทะลวงโลกหยินหยางไปพร้อมข้า ขึ้นไปเข่นฆ่าบนเก้าชั้นฟ้า ช่วงชิงโอกาสอยู่รอดของพวกเรา!”
น้ำเสียงของจู่ถูเปี่ยมไปด้วยพลังปลุกเร้าจิตใจ หานเจวี๋ยได้ฟังก็รู้สึกฮึกเหิมขึ้นมาเช่นกัน
เขาสัมผัสถึงไอชั่วร้ายนอกเกาะสำนักซ่อนเร้นที่เพิ่มพูนขึ้น พุ่งสูงสู่ฟากฟ้า
ชาวสำนักซ่อนเร้นก็ตื่นตระหนกเช่นกัน แต่พวกเขาไม่กล้าเปิดปากพูดเพราะกลัวจะถูกตัวตนอันน่าหวาดหวั่นด้านนอกพบตัวเข้า
ตูม!
เกิดเสียงดังสะท้านฟ้าสะเทือนดินกระหึ่มก้อง หานเจวี๋ยรับรู้ได้ถึงไอชั่วร้ายนับไม่ถ้วนที่พุ่งออกมาจากแม่น้ำปรโลก
นั่นคือวิญญาณร้ายที่ออกมาจากแดนชำระบาปเก้าขุมทีละตนๆ พวกเขาทั้งหลายล้วนเหาะขึ้นสู่ท้องนภาเหนือยมโลก โดยมีจู่ถูนำอยู่ด้านหน้าสุด
หานเจวี๋ยเงยหน้ามอง ประกายแสงเจิดจ้าสาดส่องไปทั่วยมโลก ยมโลกที่อยู่ท่ามกลางความมืดมิดมาโดยตลอดสว่างไสวขึ้นมา ราวกับเป็นตอนกลางวัน
พลังพิสดารอย่างหนึ่งพลันเข้ารุกราน หานเจวี๋ยรู้สึกวิงเวียนขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ เขามีตบะระดับจักรพรรดิเซียนยังเป็นเช่นนี้ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเหล่าศิษย์สำนักซ่อนเร้นเลย
บรรดาศิษย์ที่อยู่ต่ำกว่าระดับเซียนทองไท่อี่ลงไปทรุดลงไปนั่งกองอยู่บนพื้นทันที จอมปีศาจคุกรัตติกาล จินกังนู่และต้วนหงเฉินเองก็รู้สึกตื่นตระหนกอย่างยิ่ง ต่างคนต่างไม่กล้าหายใจแรง
ยมโลกกำลังพลิกกลับด้าน!
หานเจวี๋ยรู้สึกตกใจ นี่จู่ถูคิดจะทำอะไร
หากอยากพาวิญญาณพยาบาทจากแดนชำระบาปเก้าขุมไปแดนเซียน เหตุใดต้องเคลื่อนไหวใหญ่โตเช่นนี้
ราวกับต้องการพลิกสลับแดนหยินหยางของทั้งสองโลก…
ช้าก่อน!
พลิกสลับ…
หานเจวี๋ยนึกถึงตำนานนั้นขึ้นมา พลันรู้สึกหวั่นวิตกยิ่งกว่าเดิม
เหตุผลที่เขามายมโลก ก็เพราะอยากออกห่างจากสมรภูมิรบแดนเซียน แต่ถ้าหากยมโลกกลายเป็นแดนเซียน…
เขาไม่กล้าคิดให้ละเอียดไปมากกว่านั้น เขาใช้พลังเวทครอบคลุมเกาะสำนักซ่อนเร้นไว้ เตรียมหลบหนีได้ทุกเมื่อ
“เฮอะ!”
เสียงหัวเราะหยันอันอึมครึมแว่วขึ้นมา
เสียงของจู่ถูดังตามขึ้นมา “มหาเคราะห์เริ่มขึ้นแล้ว เจ้ายังคิดจะขัดขวางอีกหรือ อย่าได้ลืมเลือนกฎที่บรรพชนเต๋ากำหนดไว้!”
“หยินหยางมิอาจพลิกผัน นอกเหนือไปจากนี้ พรตผู้ต่ำต้อยจะไม่ยุ่งเด็ดขาด!”
จู่ถูไม่ได้โต้ตอบอีก เพียงทำให้พลังลึกลับที่ทำให้ทุกคนรู้สึกวิงเวียนหายไป
หานเจวี๋ยหรี่ตามอง เขาเห็นขอบฟ้าของยมโลกแตกกะเทาะเป็นโพรงใหญ่ ด้านในสว่างจ้าจนตาพร่า ราวกับดวงตะวัน วิญญาณอาฆาตนับไม่ถ้วนกรูกันพุ่งออกไป จู่ถูลอยตัวรออยู่บริเวณด้านใต้ของปากทางออก
หานเจวี๋ยถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ดูเหมือนสองภพหยินหยางจะไม่พลิกสลับแล้ว
ช่างมีพลังมหาศาลจริงๆ
เสียงเมื่อครู่นั้น หานเจวี๋ยไม่เคยได้ยินที่ตำหนักเอกอนันต์มาก่อนเลย
หนึ่งชั่วยามให้หลัง จู่ถูก็จากไป
ยมโลกกลับสู่ความสงบ ไอชั่วร้ายที่แผ่ลามอยู่เหนือแม่น้ำปรโลกก็หายไปหมดแล้ว
หานเจวี๋ยเรียกต้วนหงเฉินเข้ามาทันที
ต้วนหงเฉินเข้ามาในถ้ำพลางทำความเคารพเขา
หานเจวี๋ยเปิดปากถาม “เจ้ารู้หรือไม่ว่าจะเข้าสู่แดนชำระบาปเก้าขุมได้อย่างไร”
ต้วนหงเฉินตะลึงงัน เอ่ยด้วยความหวาดผวา “เจ้าสำนัก ท่านอยากเข้าไปหรือขอรับ เพราะเหตุใดขอรับ!”
เขาคิดสารพัดวิถีทางเพื่อหนีออกจากแดนชำระบาปเก้าขุม จึงไม่คิดจะกลับเข้าไปอีก
หานเจวี๋ยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ตอนนี้วิญญาณพยาบาททั้งหมดมุ่งหน้าไปยังแดนเซียน แดนชำระบาปเก้าขุมแห่งนั้นต้องว่างเปล่าแล้วเป็นแน่ พวกเราสามารถเข้าไปซ่อนตัวได้”
“แต่ด้านในมีแรงกรรมมากมายไร้สิ้นสุด หากอยู่นานไป แรงกรรมพัวพันกาย ไม่มีจุดจบที่ดีนะขอรับ”
“ไม่เป็นไร ข้ามีวิธีขจัดแรงกรรม”
“แต่ว่า…”
“หรือเจ้าอยากเข้าสู่เคราะห์”
ต้วนหงเฉินรีบส่ายหน้า เพิ่งฟื้นคืนชีพก็มาเจอหานเจวี๋ยเข้า ทำให้ตอนนี้เขาหมดความมั่นใจในตัวเองยิ่งนัก รู้สึกอยู่เสมอว่าแดนเซียนอันตรายอย่างยิ่ง
ประกอบกับได้พบจอมปีศาจคุกรัตติกาลและจินกังนู่ ยิ่งทำให้เขาไม่กล้าเข้าสู่เคราะห์
เผ่าจอมเวทแสนทรงพลังยังถูกกวาดล้างได้ เขาหัวเดียวกระเทียมลีบ จะไปแย่งชิงโชคชะตาอันยิ่งใหญ่ได้อย่างไร
หานเจวี๋ยเอ่ยว่า “วางใจเถอะ ขอเพียงอยู่ในเกาะ แรงกรรมจะไม่ส่งผลต่อเจ้า รอจนมหาเคราะห์ใกล้จะสิ้นสุดลง พวกเราค่อยกลับออกมา”
ต้วนหงเฉินกัดฟันตอบรับ “ขอรับ ข้าจะลองดูก่อน!”
หานเจวี๋ยโบกมือส่งเขาออกไป
ในส่วนลึกของวิญญาณต้วนหงเฉินลงตราประทับหกวิถีเอาไว้ หยั่งรากฝังลึก หากเขาทรยศหานเจวี๋ย แค่คิดหานเจวี๋ยก็บดขยี้วิญญาณเขาได้ ทำให้ร่างสิ้นวิญญาณสูญได้ทันที
ไม่นานต้วนหงเฉินก็กลับมา หานเจวี๋ยดึงตัวเขาเข้ามาในถ้ำ
เขาเกือบจะหาเกาะสำนักซ่อนเร้นไม่พบแล้ว
‘เกาะนี้ใช้ค่ายกลอาคมอะไรกันแน่ ไม่แปลกเลยที่ก่อนหน้านี้ผู้ทรงพลังล้วนหาตัวพวกเราไม่พบ’ ต้วนหงเฉินตระหนกอยู่ในใจ เคารพยำเกรงหานเจวี๋ยยิ่งขึ้นไปอีก
หานเจวี๋ยสอบถาม “สถานการณ์เป็นอย่างไร”
ต้วนหงเฉินตอบ “เขตอาคมเปราะบาง เข้าไปได้จริงๆ ขอรับ เพียงแต่ด้านในยังมีสิ่งอัปมงคลหลงเหลืออยู่หรือไม่ ข้าก็ไม่กล้ายืนยันเช่นกัน”
“จะเข้าไปได้อย่างไร”
“เข้าไปตรงๆ เลยขอรับ ฝ่าเขตอาคมเข้าไป”
“ได้”
หานเจวี๋ยควบคุมเกาะสำนักซ่อนเร้นให้ดำดิ่งลงไป ต้วนหงเฉินก็เฝ้ารออยู่ในถ้ำด้วย
‘หรือว่าเกาะนี้ถูกบ่มเพาะจนกลายเป็นสมบัติวิเศษไปแล้ว’ ในใจต้วนหงเฉินเต็มไปด้วยความรู้สึกประหลาดใจ
เกาะสำนักซ่อนเร้นที่ดูคล้ายก้อนหินด่ำดิ่งลงไปอย่างรวดเร็ว ในไม่ช้าก็ปะทะเข้ากับเขตอาคมของแดนชำระบาปเก้าขุม
หานเจวี๋ยบังคับฝ่าเข้าไป ต้วนหงเฉินสามารถฝ่าออกมาได้ เขาย่อมฝ่าเข้าไปได้ไม่ยากเช่นกัน
วินาทีต่อมา
เกาะสำนักซ่อนเร้นมาถึงห้วงมิติเวิ้งว้างว่างเปล่า สี่ทิศแปดด้านมีหมอกหนาแน่นแผ่กระจาย ไม่มีดวงดาว ไม่มีทวีป และไม่มีอุกกาบาต
ที่นี่ราวกับจุดเริ่มต้นแห่งบุพกาล ทุกอย่างว่างเปล่า อวกาศไร้แสง
ทันทีที่หานเจวี๋ยเข้ามาถึงก็สัมผัสถึงแรงกรรมอันน่าพรั่นพรึง รอบๆ เกาะสำนักซ่อนเร้นเต็มไปด้วยแรงกรรม โชคดีที่อาณาเขตเต๋าแข็งแกร่งยิ่งนัก เพียงพอที่จะสกัดกั้นการรุกรานของแรงกรรม
หากหานเจวี๋ยดูดซับแรงกรรมทั้งหมดในสถานที่แห่งนี้ เช่นนั้นตบะของเขา…
หานเจวี๋ยไม่กล้าคิดต่อไปอีก กลัวว่าตนจะสติหลุด
เขาเริ่มตรวจหายอดฝีมือในบริเวณข้างเคียง
ไม่มีวิญญาณพยาบาท
เขาถอนหายใจด้วยความโล่งอก
แดนชำระบาปเก้าขุมว่างเปล่าแล้วจริงๆ
นี่ก็เป็นเรื่องปกติ ไม่ง่ายเลยกว่าจะมีโอกาสหนีออกไปได้ วิญญาณพยาบาทที่ถูกจองจำมานานนับอสงไขยจะรั้งรออยู่ได้อย่างไร
หานเจวี๋ยให้ต้วนหงเฉินออกไปบอกกล่าวสถานการณ์โดยรวมต่อหล่าศิษย์
เวลานี้เอง เขารับรู้ถึงคลื่นพลังจิตที่แผ่ออกมาจากป้ายคำสั่งมรรคาสวรรค์
จักรพรรดิสวรรค์ติดต่อมาหาเขา
หานเจวี๋ยถ่ายทอดพลังจิตเข้าไปในป้ายคำสั่งมรรคาสวรรค์
“ยมโลกแตกแล้ว สถานการณ์ทางเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” จักรพรรดิสวรรค์เอ่ยถามเสียงขรึม เห็นได้ชัดว่าวิตกกังวลในความปลอดภัยของหานเจวี๋ยยิ่งนัก
………………………………………………………………