ในที่สุดก็สาปแช่งศัตรูจนถึงแก่ความตายได้สำเร็จ หานเจวี๋ยฝืนทำใจให้สบาย เฮ้อ! หนทางสู่มหามรรคยังอีกยาวไกล
หานเจวี๋ยแอบพึมพำ “อย่าโทษข้า ต้องโทษตัวเจ้าเองที่คิดจะสังหารข้า” เขาไม่เคยเป็นฝ่ายหาเรื่องคนอื่นก่อน แต่ก็ไม่กลัวที่จะมีเรื่องเช่นกัน ใครก็ตามที่กล้าทำร้ายเขา เขาจะทำทุกวิถีทางเพื่อสังหารฝ่ายตรงข้าม หากต้องการให้ศัตรูละทิ้งความแค้นเช่นนั้นก็ปล่อยให้เขาตายไปเสียดีกว่า!
หานเจวี๋ยปรับสภาพตนเอง เตรียมที่จะสาปแช่งจักรพรรดิปีศาจต่อไป สำหรับจักรพรรดิปีศาจ สาปแช่งเพียงห้าวันก็เพียงพอแล้ว หานเจวี๋ยไม่ต้องการสังหารต้าหลัวสองคนติดต่อกัน เขาเกรงว่าความคิดของเขาจะเปลี่ยนไป นอกจากนี้จักรพรรดิปีศาจยังไม่ใช่บรรพชนมาร แม้ว่าเขาจะเผยตัวตนที่แท้จริงของตนออกมา แต่ก็ไม่อาจถูกสังหารโดยมรรคาสวรรค์ได้
……
วังปีศาจ
หลังจากที่จักรพรรดิปีศาจได้ยินเสียงร้องคำรามของบรรพชนพุทธมรรคาสวรรค์ หัวใจของเขาเต็มไปความหวาดกลัว ก่อนหน้านี้เขาชิงชังเจ้าแดนต้องห้ามอันธการสุดขีด เพลิงโทสะสุมในดวงจิต อย่างไรเสียเขาก็มองว่าเจ้าแดนต้องห้ามอันธการทำได้เพียงสาปแช่งอยู่ในมุมมืดเท่านั้น
แต่ตอนนี้มันต่างออกไป! ต้าหลัวผู้ยิ่งใหญ่ถูกสาปแช่งให้ตายไปแล้วหนึ่งคน!
จักรพรรดิปีศาจไม่ได้ใส่ใจเกี่ยวกับตัวตนบรรพชนมารในร่างของบรรพชนพุทธมรรคาสวรรค์ ในมุมมองของเขา เจ้าแดนต้องห้ามอันธการมีพลังอำนาจเพียงพอที่จะสังหารต้าหลัวตั้งแต่แรก แต่ที่บีบให้บรรพชนพุทธมรรคาสวรรค์เผยตัวตนที่แท้จริงออกมา ก็เป็นเพราะต้องการทรมานบรรพชนพุทธมรรคาสวรรค์เท่านั้น
น่ากลัวจริงๆ ช่างเป็นคนที่โหดเหี้ยมเหลือเกิน!
จักรพรรดิปีศาจมีชีวิตยาวนานมาจนถึงป่านนี้ ยังไม่เคยพบเจอคนที่จิตใจอำมหิตเช่นนี้มาก่อน
ชายผู้นี้สามารถลงมือสังหารศัตรูได้แท้ๆ แต่กลับเลือกที่จะสาปแช่งอยู่ในมุมมืด มีเจตนาที่จะทรมานฝ่ายตรงข้าม
ศัตรูเช่นนี้เป็นศัตรูที่น่าหวั่นเกรงอย่างยิ่ง!
ในตอนนี้เอง ก็บังเกิดเศษเสี้ยวความรู้สึกผิดขึ้นในใจของจักรพรรดิปีศาจ ทันใดนั้นเขาคิดอยากขอความเมตตาจากเจ้าแดนต้องห้ามอันธการ แต่เขาก็ต้องผิดหวังเมื่อพบว่าตอนนี้เขาไม่รู้ว่าเจ้าแดนต้องห้ามอันธการเป็นใคร แม้แต่วิธีค้นหาเจ้าแดนต้องห้ามอันธการก็ไม่รู้
ทันใดนั้นเขาก็คิดถึงจู่ถูขึ้นมา เมื่อไม่นานมานี้จู่ถูเลียนแบบเจ้าแดนต้องห้ามอันธการ หรือว่าจะเป็นเขาจริงๆ?
จู่ถูเองก็มีพลังมากพอที่จะสังหารบรรพชนพุทธมรรคาสวรรค์…ยิ่งจักรพรรดิปีศาจคิดเท่าไรก็ยิ่งหวาดกลัวว่าจะติดอยู่ในสงครามระหว่างสวรรค์และมนุษย์
ในเวลานี้เอง! พลังคำสาปที่คุ้นเคยก็โจมตีเขาอีกครั้ง จักรพรรดิปีศาจกลัวมากจนรู้สึกหวาดผวา คิดว่าเจ้าแดนต้องห้ามอันธการกำลังจะสาปแช่งเขาให้ไปสู่ความตาย เขาเริ่มคิดหาทุกวิถีทางเพื่อที่จะหยุดยั้งอีกฝ่าย
แต่ทว่า
ห้าวันต่อมาคำสาปก็หยุดลงอย่างกะทันหัน เขาไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ เจ้าแดนต้องห้ามอันธการคล้ายจะหยอกเขาเล่นเท่านั้นไม่ว่าจะด้วยเหตุผลกลใด จักรพรรดิปีศาจเกิดความรู้สึกประหลาดใจที่ไม่อาจอธิบายได้
‘เขาแสดงความเมตตาแก่ข้าหรือ’ เมื่อความคิดนี้ผุดขึ้นมาในหัวของจักรพรรดิปีศาจ ก็เติบโตลุกลามไปทั่ว ไม่ต่างจากวัชพืช
บรรพชนพุทธมรรคาสวรรค์เพิ่งตายไป เจ้าแดนต้องห้ามอันธการก็สาปแช่งข้าทันที นี่ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นตามอำเภอใจ แต่ต้องมีความหมายล้ำลึกเป็นแน่
จักรพรรดิปีศาจขมวดคิ้ว ‘ข้าควรทำเช่นไรดี’
…
หลังจากสาปแช่งศัตรูทั้งหมดของเขาแล้ว หานเจวี๋ยก็เดินออกมาจากถ้ำเทวาฟ้าประทาน เรียกเซียนซีเสวียนและฉางเยวี่ยเอ๋อร์ที่ปิดด่านฝึกฝนให้ออกมา และแสดงโอวาทแก่ทุกคน
ทุกคนรู้สึกว่าหานเจวี๋ยต่างไปจากเดิม
ดวงตาของฉู่ซื่อเหรินฉายแววซับซ้อน เขาแอบพึมพำในใจ ‘นี่คือระดับเทพอย่างนั้นหรือ ไม่สิ เขาน่าจะแข็งแกร่งกว่านั้นอีก!’
หลังจากฟื้นคืนความทรงจำในชาติก่อนกลับมา ฉู่ซื่อเหรินเคยทำแบบจำลองการทดสอบและค้นพบว่าคู่ต่อสู้จำนวนไม่น้อยของหานเจวี๋ยเป็นผู้ทรงพลังที่ตัวเขาในชาติก่อนยังต้องให้การยกย่อง
หานเจวี๋ยสามารถจำลองความแข็งแกร่งของผู้ทรงพลังเหล่านั้น แน่นอนว่าเขาเองก็ไม่ได้อ่อนด้อยไปกว่าพวกคนเหล่านั้นเลย
หานเจวี๋ยมองไปยังฉู่ซื่อเหรินแล้วเอ่ยถาม “เจ้ามีความเห็นอย่างไรกับการจากไปของบรรพชนพุทธมรรคาสวรรค์”
ฉู่ซื่อเหรินเรียกสติกลับมา กล่าวว่า “เขาทำตัวเองขอรับ ตอนที่บรรพชนพุทธมรรคาสวรรค์นำความชั่วร้ายมาสู่สำนักพุทธ ข้าก็สังหรณ์ใจอยู่แล้วว่าเขาไม่ชอบมาพากล จะต้องนำสำนักพุทธไปสู่ความล่มจมแน่ แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ”
คนอื่นๆ อดสงสัยไม่ได้ ก่อนหน้านี้ฉู่ซื่อเหรินไม่เคยออกความเห็นใดเกี่ยวกับสำนักพุทธ ทำให้พวกเขาไม่กล้าเอ่ยถามซ่อกแซ่ก
หานเจวี๋ยไม่ถามให้มากความอีก และเริ่มแสดงธรรม
ฉางเยวี่ยเอ๋อร์ถ่ายทอดเสียงไปให้เซียนซีเสวียน “ท่านอาจารย์ ศิษย์น้องดูเหมือนจะเปลี่ยนไปเจ้าค่ะ”
เซียนซีเสวียนตอบกลับ “แค่ระดับขั้นสูงขึ้นเท่านั้น”
นางมองไปยังหานเจวี๋ย ดวงตาฉายแววกริ่งเกรงออกมาอย่างอดไม่ได้
ไม่ใช่เพียงแค่พวกนางที่รู้สึกได้ แต่ศิษย์คนอื่นก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าหานเจวี๋ยแผ่รังสีคุกคามออกมา จินกังนู่และจอมปีศาจคุกรัตติกาลดูตกตะลึงที่สุด
เห็นได้ชัดว่าหานเจวี๋ยมิได้แค่ผ่านการทะลวงระดับทั่วๆ ไป แต่เป็นการทะลวงระดับครั้งยิ่งใหญ่!
ตบะของเขานำไปสู่การทะลวงระดับครั้งใหญ่ เช่นนั้นแล้วเขาบรรลุระดับใดล่ะ
พวกเขาไม่กล้าคิดไปไกล
ทันทีที่หานเจวี๋ยเริ่มแสดงธรรม เพียงเปล่งเสียงธรรมออกมา ทุกคนก็เข้าสู่ภาวะตื่นรู้
การแสดงธรรมครั้งนี้กินเวลานานห้าปี ทุกคนล้วนเกิดการรู้แจ้ง ถึงขั้นทะลวงระดับได้ก็มี รวมทั้งจินกังนู่และจอมปีศาจคุกรัตติกาลด้วย ดูเหมือนว่าพวกเขาจะพบหนทางยกระดับตบะของตนให้สูงขึ้นอีกขั้นแล้ว
สี่ปีต่อมา หานเจวี๋ยเปิดโอกาสให้พวกเขาสอบถาม หลังจากนั้นเขาก็ลาเหล่าลูกศิษย์ หวนกลับสู่ถ้ำเทวาเตรียมการฝึกบำเพ็ญเพียงลำพัง
อู้เต้าเจี้ยนตามเขาเข้ามาด้วย นางหยุดอยู่ตรงหน้าหานเจวี๋ยและเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “นายท่าน ตอนนี้ท่านแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ ยังต้องหลบซ่อนอยู่ที่นี่อีกหรือเจ้าคะ”
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด หานเจวี๋ยจึงมอบความรู้สึกที่ไม่อาจต่อกรได้ให้แก่นาง นางไม่เคยมีความรู้สึกที่รุนแรงเช่นนี้มาก่อน
หานเจวี๋ยกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ที่บอกหลบซ่อนหมายความว่าอย่างไร นี่สิที่เรียกว่าการบำเพ็ญ เต๋าไร้ที่สิ้นสุด!”
“ทำไม มรรคจิตของเจ้าเปลี่ยนไปแล้วหรือ อยากออกไปข้างนอกหรือ ได้ งั้นไสหัวออกไปเดี๋ยวนี้ ข้าจะส่งเจ้าไปยังแดนเซียนด้วยตัวเอง!”
อู้เต้าเจี้ยนตกใจจนหน้าถอดสี รีบคุกเข่าลงและขอร้องอย่างรวดเร็ว “ข้าเปล่า! นายท่าน! ข้าผิดเองเจ้าค่ะ!”
หานเจวี๋ยกล่าวอย่างกระแทกกระทั้น “ต่อไปอย่าได้ถามคำถามเช่นนี้อีก ตั้งใจฝึกบำเพ็ญให้ดี”
เขามีนิสัยทะนงตัวเล็กๆ เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่หากรอบกายมีคนอย่างอู้เต้าเจี้ยนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เกรงว่าสักวันหนึ่งเขาคงจะหลงลืมตัวจนก้าวสู่เคราะห์กรรมเป็นแน่
หญิงสาวคนนี้คงไม่ได้ถูกมรรคาสวรรค์สับเปลี่ยนวิญญาณ แล้วมาเกลี้ยกล่อมเขาใช่หรือไม่
หานเจวี๋ยตอกย้ำปณิธานของตน ‘ข้ายังไม่แข็งแกร่งพอ!’
เมื่อนึกถึงหลี่เต้าคง นึกถึงปรมาจารย์ลัญจกรสรวง ความภาคภูมิใจของเขาก็พลันหดหายไป
อู้เต้าเจี้ยนดูเหมือนจะรู้สึกหวาดกลัวไม่น้อย นางกลับไปนั่งฝึกบำเพ็ญต่อบนเบาะของตน
หานเจวี๋ยรู้สึกทนไม่ไหว จึงกล่าวว่า “เจ้ามานี่ซิ ข้ามีอะไรจะให้”
อู้เต้าเจี้ยนรู้สึกประหลาดใจ รีบเข้ามานั่งบนเตียงของหานเจวี๋ย
ดวงตาของนางทอดมองบัวดำล้างโลกสามสิบหกวัฏจักรที่อยู่เบื้องล่างของหานเจวี๋ย ก่อนหน้านี้นางอยากถามเขาว่าสมบัติชิ้นนี้คืออะไร แต่ก็ไม่กล้า
“มรรคกระบี่เทียมฟ้า เจ้าเคยฝึกบำเพ็ญไปบ้างแล้ว ข้าจะถ่ายทอดพลังวิเศษมรรคกระบี่ให้แก่เจ้าอีกครา”
“พลังวิเศษนี้คือยอดปราณกระบี่ เป็นพลังวิเศษที่เจ้าเกลียดชังนักหนา”
หานเจวี๋ยพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย
อู้เต้าเจี้ยนปฏิเสธเป็นพัลวัน กล่าวพลางโบกไม้โบกมือ “ข้าเปล่านะ ข้าก็แค่บอกว่าชื่อนี้มันดูธรรมดาเท่านั้นเอง”
“หืม ยังมีหน้ามาพูดอีกหรือ”
“ข้าผิดไปแล้ว…”
หานเจวี๋ยยิ้มอย่างพึงพอใจ และเริ่มถ่ายทอดพลังวิเศษให้กับนาง
ครึ่งปีต่อมา
อู้เต้าเจี้ยนถูกหานเจวี๋ยไล่ออกจากถ้ำเทวา ออกไปฝึกใช้พลังวิเศษข้างนอก
หานเจวี๋ยหยิบป้ายคำสั่งมรรคาสวรรค์ออกมาเพื่อติดต่อจักรพรรดิสวรรค์ ไม่รู้ว่าสถานการณ์ในวังสวรรค์เป็นอย่างไรบ้างในช่วงไม่กี่ปีมานี้
จิตนึกคิดเชื่อมต่อกันอย่างรวดเร็ว
“ฮึ่ม เจ้าทะลวงระดับระดับเทพสำเร็จจริงๆ” จักรพรรดิสวรรค์กล่าวอย่างฮึดฮัด เขาสัมผัสได้ถึงพลังจิตของหานเจวี๋ยที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งไม่ได้อยู่ในระดับจักรพรรดิ แต่เป็นจิตนึกคิดในระดับเทพ
หานเจวี๋ยเอ่ยด้วยความรู้สึกลำบากใจ “เฮ้อ เพราะโชคช่วยทั้งนั้นพ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิสวรรค์กล่าวแฝงความนัยล้ำลึก “จิ๊ๆ พรสวรรค์ของเจ้าช่างแกร่งกล้านัก เราสงสัยเหลือเกินว่าเจ้ามีคุณสมบัติกายฟ้าบุพกาล หรือว่าคุณสมบัติกายลึกลับจำพวกอื่นอยู่กันแน่”
“ไม่มีหรอกพ่ะย่ะค่ะ ข้าเพียงแต่มีใจมุ่งมั่นในทางเต๋าเท่านั้น”
“ใจมุ่งมั่นในทางเต๋าหรือ ก็อาจเป็นไปได้”
จักรพรรดิสวรรค์ตกสู่ความเงียบงันเนิ่นนาน คล้ายกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
หานเจวี๋ยเอ่ยถาม “ช่วงนี้สถานการณ์ที่วังสวรรค์เป็นอย่างไรบ้างพ่ะย่ะค่ะ ก่อนหน้านี้ข้าได้ยินเสียงดังลั่น คิดว่าเกิดเรื่องใหญ่ที่แดนเซียนเสียแล้ว”
จักรพรรดิสวรรค์กล่าวอย่างไม่ยี่หระ “ก็แค่บรรพชนพุทธคนหนึ่งถึงแก่ความตายเท่านั้น”
‘ก็แค่หรือ’ หานเจวี๋ยแอบรู้สึกไม่พอใจเล็กๆ
เขายังต้องการให้จักรพรรดิสวรรค์อวดอ้างสรรพคุณของเจ้าแดนต้องห้ามอันธการสักหน่อย แต่ชายผู้นี้กลับไม่ได้ดั่งใจเอาเสียเลย
‘จักรพรรดิสวรรค์! ท่านรู้หรือไม่ว่าข้าสละอายุขัยเพื่อท่านไปแล้วกี่ปี พูดไป ท่านก็ชดใช้ให้ข้าไม่ไหว!’