บทที่ 363 อริยะให้ความสนใจ เส้นสายของหานเจวี๋ย
หานเจวี๋ยแบ่งจิตสำนึกของตนออกไปหาจักรพรรดินีผืนพิภพอย่างรวดเร็ว
จักรพรรดินีผืนพิภพมองเผ่าเอกาอยู่ไกลๆ ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่
ก่อนหน้านี้เขาเพียงติดต่อกับจักรพรรดินีผืนพิภพผ่านจิตสำนึกเท่านั้น นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้พบกับตัวจริงของจักรพรรดินีผืนพิภพ
นางลอยอยู่กลางห้วงอวกาศ สวมชุดกระโปรงยาวสีทอง ดวงดาวหลากหลายรูปแบบส่องประกายอยู่บนชายกระโปรง พราวระยับจับตา สองเท้าของนางเปลือยเปล่า ศีรษะสวมเครื่องประดับขนนกอันน่าพิศวง เครื่องหน้าวิจิจรงดงาม หว่างคิ้วแฝงความเมตตา มีวงล้อเรืองแสงอันหนึ่งลอยอยู่ด้านหลัง ทั้งหมดแบ่งเป็นหกช่องสี หมุนวนอย่างเชื่องช้า
“จักรพรรดินี ท่านมีเรื่องใดจะมอบหมายต่อผู้เยาว์หรือ” หานเจวี๋ยเอ่ยถาม
จักรพรรดินีผืนพิภพเคลื่อนสายตาไปที่ร่างหานเจวี๋ย เผยรอยยิ้มออกมาและกล่าวตอบ “อยากจะมอบวาสนาให้กับเจ้า”
ยามนี้พอหานเจวี๋ยได้ยินคำว่าวาสนาสองคำนี้หนังหัวก็ชาหนึบแล้ว
ในอดีตที่ผ่านมาโอกาสที่แฝงเร้นไว้ด้วยกับดักมากมายทำให้ตัวเขาในปัจจุบันนี้คิดไปแล้วว่าโอกาสเท่ากับอันตราย
“ขอบพระคุณสำหรับความหวังดีของจักรพรรดินี ทว่าเรื่องวาสนาแล้วไปเถิด ข้าเพียงอยากมานะบำเพ็ญเพียรเท่านั้น…” หานเจวี๋ยเอ่ยตอบด้วยความหัวแข็งดื้อดึง
จักรพรรดินีผืนพิภพเอ่ยยิ้มๆ “คิดอะไรอยู่กัน วาสนาน่ะข้าเอามาให้เจ้าแล้ว”
นางพลิกฝ่ามือคราหนึ่ง กระบี่หยกเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นกลางฝ่ามือ
“สิ่งนี้คือของวิเศษแรงกุศล กระบี่อนันตคุณ สามารถดูดซับแรงกุศลแห่งมรรคาสวรรค์ได้ เมื่อเผ่าเอกาเติบโตขึ้นเรื่อยๆ แรงกุศลแห่งมรรคาสวรรค์ที่เจ้าได้รับจะเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน กุศลที่ย่อยสลายดูดซับไม่ทันจะถูกกักเก็บไว้ในสมบัติชิ้นนี้”
เมื่อจักรพรรดินีผืนพิภพเอ่ยจบก็โยนกระบี่อนันตคุณออกมา
กระบี่อนันตคุณมีขนาดเพียงสามสิบกงเฟิน (เซนติเมตร) แทนที่จะบอกว่าเป็นกระบี่ ควรเรียกว่ากริชเสียมากกว่า กระบี่เป็นหยกเขียวทั้งเล่ม ถือแล้วรู้สึกได้ถึงความเย็นยะเยือก
หานเจวี๋ยรู้สึกโล่งใจดุจยกภูเขาออกจากอก กล่าวขอบคุณ “ขอบพระคุณจักรพรรดินี!”
จักรพรรดินีผืนพิภพเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “เผ่าเอกาเป็นอย่างไรบ้าง”
หานเจวี๋ยบังคับกระบี่อนันตคุณให้ลอยกลับไปที่ถ้ำเทวาฟ้าประทานก่อน พลางกล่าวตอบไปด้วย “มีศักยภาพยิ่ง รวมข้อดีของเผ่าจอมเวทและเผ่ามนุษย์เอาไว้ แต่ดูเหมือนว่า…”
จักรพรรดินีผืนพิภพเอ่ยรับ “ไม่สามารถขยายเผ่าพันธุ์ได้ถูกหรือไม่”
“ถูกต้อง”
“นี่ก็คือข้อด้อยของพวกเขา ดังนั้นข้าจึงไม่มีความคิดจะทำให้พวกเขากลายเป็นตัวเอกแห่งมรรคาสวรรค์ ขยายเผ่าพันธุ์ไปทั่วโลกหล้าหมื่นโลกาเหมือนเผ่ามนุษย์ ข้าหวังให้พวกเขารับผิดชอบภาระหน้าที่ของเทพเซียน สร้างประโยชน์ต่อปวงชน หากขยายเผ่าพันธุ์ไม่ได้ ก็สามารถหลบเลี่ยงความขัดแย้งแก่งแย่งด้านการสืบทอดมรดกไปได้มากนัก”
“แต่ว่า นอกเหนือจากเรื่องการสืบทอดมรดก ลำพังแค่เรื่องการบำเพ็ญเพียรก็ดึงดูดให้เกิดการแย่งชิงผลประโยชน์ได้แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นคือถ้าหากพวกเขาแข็งแกร่งขึ้นมา ก็จะต้องคิดหาวิธีทำให้ตนมีทายาทแน่นอน” หานเจวี๋ยออกความเห็น
“ไม่มีทาง การที่พวกเขาไม่สามารถขยายเผ่าพันธุ์ได้เป็นลิขิตแห่งมรรคาสวรรค์ พวกเขาจะใช้วิธีการแบบไหนก็ไม่สามารถให้กำเนิดลูกหลานได้ ข้าสละอนาคตของเผ่าจอมเวทไปก็เพื่อแลกเปลี่ยนกับการถือกำเนิดของเผ่าเอกา”
หานเจวี๋ยนิ่งเงียบไป
เขายังไม่ได้เชื่อไปเสียทั้งหมด
ถึงอย่างไรจินกังนู่และถูหลิงเอ๋อร์ก็ยังอยู่ ทั้งสองคนสามารถแต่งงานมีทายาทกับมนุษย์คนอื่นๆ ได้ เผ่าจอมเวทจะถือกำเนิดขึ้นอีกครั้งในไม่ช้าก็เร็ว
“ไม่ใช่แค่เผ่าเอกาเท่านั้น จินกังนู่และถูหลิงเอ๋อร์ก็เป็นแบบนี้เช่นกัน พวกเขาถูกคำสาปมรรคาสวรรค์ ไม่สามารถสืบเผ่าพันธุ์ได้ชั่วนิรันดร์ ข้อดีคือพวกเขาจะไม่ได้รับผลกระทบจากแรงกรรม นับจากนี้ไปจนถึงในอนาคตก็สามารถเดินทางไปตามโลกหล้าหมื่นโลกาอย่างผ่าเผยและชอบธรรมได้” น้ำเสียงของจักรพรรดินีผืนพิภพ ฟังดูอับจนหนทางอย่างยิ่ง
หานเจวี๋ยลอบรู้สึกตกตะลึง ช่างโหดเหี้ยมนัก
จักรพรรดินีผืนพิภพเอ่ยต่อว่า “ศักยภาพของเจ้าข้ารับรู้ดี ไม่ใช่แค่ข้าเท่านั้น อันที่จริงยังมีอริยบุคคลคนอื่นๆ ที่สนใจในตัวเจ้าด้วยเช่นกัน เจ้าคือตัวแปร ข้าหวังว่าเจ้าจะรับเผ่าเอกาเอาไว้ เช่นนี้ข้าถึงจะทุ่มเทจิตใจดูแลจัดการวัฏจักรได้อย่างเต็มที่”
เป็นการฝากเลี้ยงสินะ
หานเจวี๋ยขมวดคิ้วแน่น
หานเจวี๋ยใช้ความคิดเงียบๆ ‘ถ้าข้ารับเผ่าเอกาเอาไว้ จะโดนจักรพรรดินีผืนพิภพหรือไม่ก็มรรคาสวรรค์ควบคุมหรือไม่’
[จำเป็นต้องหักอายุขัยหนึ่งพันล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]
ที่ไม่หักอายุขัยในคำถามก่อนหน้านี้หรือจะเป็นเพราะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับมูลเหตุในอนาคต
หานเจวี๋ยจนปัญญาแล้ว ทำได้เพียงเลือกดำเนินการต่อ
เสียไปอีกหนึ่งพันล้านปีอีกแล้ว
[ไม่โดน]
เป็นสองคำที่มีมูลค่าหนึ่งพันล้าน!
หานเจวี๋ยถอนหายใจด้วยความโล่งอก ดูเหมือนจักรพรรดินีผืนพิภพจะไม่ได้มุ่งร้ายต่อตน
เขารีบตอบกลับทันที “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นก็มอบเผ่าเอกาให้ข้าเถอะ!”
[ความประทับใจที่จักรพรรดินีผืนพิภพมีต่อท่านเพิ่มขึ้น ระดับความประทับใจในขณะนี้คือ 4.5 ดาว]
จักรพรรดินีผืนพิภพยิ้มแล้วกล่าวว่า “ดียิ่ง ภายภาคหน้าเจ้าจะได้รู้ว่าข้าไม่ได้ประสงค์ร้ายต่อเจ้าแน่นอน”
พอพูดจบ กลิ่นอายของนางก็เลือนหายไป
หานเจวี๋ยทอดสายตามองเผ่าเอกา เขากระตุ้นจิตสำนึกเคลื่อนย้ายเผ่าเอกาเข้าสู่เกาะสำนักซ่อนเร้นในทันที
ปัจจุบันนี้เกาะสำนักซ่อนเร้นใหญ่โตยิ่ง อย่าว่าแต่จำนวนคนหมื่นคนเลย ต่อให้เป็นสิบล้านคนก็ใส่ได้ไม่มีปัญหา
หลังจากเผ่าเอการ่อนลงถึงพื้น ทุกคนล้วนตกใจจนทำตัวไม่ถูก พวกเขาเพิ่งเคยพบพานสถานการณ์เช่นนี้เป็นครั้งแรก
ในเวลานี้เอง เสียงของหานเจวี๋ยดังขึ้นมา
“จักรพรรดินีผืนพิภพฝากฝังพวกเจ้าเอาไว้กับข้า นามเผ่าเอกาก็เป็นข้าที่ตั้งให้ นับจากนี้ไป พวกเจ้าก็บำเพ็ญเพียรอยู่ที่เกาะแห่งนี้อย่างสบายใจได้ บนเกาะมีศิษย์ในสำนักซ่อนเร้นของข้าอยู่ด้วย พวกเจ้าก็ตั้งใจบำเพ็ญเพียรตามปกติเถอะ อย่าได้ทะเลาะเบาะแว้งกัน”
มิใช่เพียงเผ่าเอกาที่ได้ยินเสียงของเขา ทุกคนในสำนักซ่อนเร้นก็ได้ยินเช่นกัน
ทุกคนที่อยู่ใต้ต้นฝูซังทะยานเข้าไปหาทันที มีความสนใจต่อเผ่าเอกายิ่งนัก
“จักรพรรดินีผืนพิภพ…” ฉู่ซื่อเหรินพึมพำกับตัวเอง
จอมปีศาจคุกรัตติกาลที่อยู่ข้างกันเอ่ยอย่างปลงอนิจจัง “เจ้าสำนักปิดด่านบำเพ็ญตบะมาโดยตลอด ทว่าเส้นสายกลับแผ่ขยายกว้างขวาง ถึงขั้นที่อริยบุคคลส่งมอบชนเผ่ากลุ่มหนึ่งให้เขามาเลย เห็นทีว่าต่อให้เจ้าสำนักของพวกเราจะไม่ใช่อริยบุคคล แต่ก็อยู่ไม่ห่างจากขั้นอริยะแล้ว”
ไก่คุกรัตติกาลเอ่ยด้วยความภาคภูมิใจ “ข้าว่าแล้วเชียว นายท่านก็คือบรรพชนเต๋ากลับชาติมาเกิด เก่งกาจกว่ามรรคาสวรรค์เสียอีก!”
ผู้พูดไร้เจตนา ทว่าผู้ฟังกลับเกิดความคิด ฉู่ซื่อเหรินขมวดคิ้วแล้ว
เกาะสำนักซ่อนเร้นพลันคึกคักขึ้นมาชั่วขณะ
หานเจวี๋ยกลับจมอยู่ในภวังค์ความคิด
คำพูดของจักรพรรดินีผืนพิภพทำให้เขาตกใจ อริยะท่านอื่นก็จับตามองเขาอยู่งั้นหรือ
นอกจากวงไพ่นกกระจอกของปรมาจารย์ลัญจกรสรวงและวังหนี่ว์หวาที่มีแผนร้ายต่อเขาแล้ว ยังจะมีใครอีก
‘อริยะเป็นตัวตนแบบไหนกันแน่ หรือว่าใต้หล้านี้ล้วนอยู่ในสายตาของพวกเขาทั้งสิ้น’
ยิ่งคิดหานเจวี๋ยก็ยิ่งรู้สึกขนลุก
โชคดีที่อริยะไม่สามารถลงมาเยือนโลกได้ มิเช่นนั้นตัวเขาไหนเลยจะยังรู้สึกปลอดภัยได้อีก
ไม่ได้การแล้ว!
เขาต้องรีบพัฒนาตัวเองให้แข็งแกร่งขึ้น ทำให้ค่ายกลของอาณาเขตเต๋าพัฒนาไปถึงระดับอริยะ พอถึงเวลานั้นต่อให้เป็นอริยะก็บุกเข้ามาไม่ได้แล้ว
แววตาของหานเจวี๋ยฉายแววเด็ดเดี่ยว จากนั้นจึงบำเพ็ญตบะต่อ
….
เวลาผ่านไปยี่สิบห้าปี
ในที่สุดเจียงอี้ก็มาถึงแดนชำระบาปเก้าขุมแล้ว เขาไม่ได้ส่งเสียงดังโหวกเหวก แต่ระเบิดกลิ่นอายของตนออกมา รอคอยให้หานเจวี๋ยมารับเขา
เวลานี้ใครบ้างจะไม่รู้ว่าวิญญาณพยาบาทในแดนชำระบาปเก้าขุมต่างยกขบวนไปที่แดนเซียนกันหมดแล้ว
“แรงกรรมหนักหนามากจริงๆ เขามีชีวิตรอดมาได้อย่างไรกัน”
เจียงอี้แอบตกใจกับตัวเอง และเริ่มเลื่อมใสหานเจวี๋ยขึ้นมาในทันใด
จิตสำนึกอันแกร่งกล้าสายหนึ่งห่อหุ้มเขาเอาไว้ เขายังไม่ทันมีปฏิกิริยาตอบสนองก็ถูกเคลื่อนย้ายเข้าสู่เกาะสำนักซ่อนเร้นโดยตรง ร่องลงใต้ต้นฝูซัง
พอลงถึงพื้น เจียงอี้ที่ตื่นตระหนกหยิบสมบัติวิเศษออกมาและตั้งท่าพร้อมต่อสู้
“ท่านนี้คือเจียงอี้ บุตรสวรรค์อันดับหนึ่งแห่งเผ่าเทพอีกาทอง ต่อไปจะเข้าร่วมกับสำนักซ่อนเร้นบำเพ็ญเพียรไปด้วยกัน”
เสียงของหานเจวี๋ยแว่วออกมาจากถ้ำเทวาฟ้าประทาน
เขาไม่กลัวว่าเจียงอี้จะสำแดงเดชเลย แค่จอมปีศาจคุกรัตติกาลกับจินกังนู่ก็เพียงพอจะสยบเจียงอี้ได้แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นคือมีหลี่ว์ปู้อยู่ด้วย
จอมปีศาจคุกรัตติกาลร้องจุ๊ๆ ด้วยความประหลาดใจ “บุตรแห่งสวรรค์ของเผ่าเทพอีกาทองมาได้อย่างไรกัน ก่อนหน้านี้จักรพรรดิปีศาจอยากจะดึงเจ้าไปเข้าพวก เจ้าก็ปฏิเสธไม่ใช่หรือ บอกว่าจะลงแรงเพื่อเผ่าเทพอีกาทองอย่างเดียวมิใช่หรือ”
เจียงอี้กวาดสายตามองรอบข้างแวบหนึ่ง แค่นเสียงกล่าว “สายสัมพันธ์ระหว่างข้ากับพี่น้องของข้าแน่นแฟ้นยิ่งนัก เขาขอให้ข้ามาแล้วข้าจะไม่มาได้อย่างไร ถือโอกาสแสดงให้พวกเจ้าได้เห็นด้วยเลยว่าสิ่งใดที่เรียกว่าบุตรแห่งสวรรค์ ต่อไปก็จงบำเพ็ญกับข้าให้ดีๆ เล่า ยึดข้าเป็นเป้าหมาย!”
………………………………………………………………