บทที่ 391 ยอดสมบัติปะทะยอดสมบัติ
“ใต้เท้า แท้จริงแล้วท่านมีจุดประสงค์ใดต่อวังสวรรค์กันแน่”
จักรพรรดิสวรรค์ตรัสถามด้วยสีหน้าว่างเปล่า แม้ว่าจะเข้ามาในแดนความฝันอย่างกะทันหัน แต่มันกักขังเขาไม่ได้ นี่คือสิ่งที่เขามั่นใจ
หานเจวี๋ยเอ่ยขึ้น “วังสวรรค์ไม่ได้สลักสำคัญสำหรับข้า รากฐานของวังสวรรค์ยังอ่อนแอนัก เหตุผลที่ข้ามาเตือนเจ้า ก็เพราะวังสวรรค์เป็นจุดสนใจของสายตาปวงประชา ข้ายังไม่อยากเห็นวังสวรรค์ต้องล่มสลายไป”
คำพูดดังกล่าวไม่มีเนื้อหาสาระอันใด นอกจากการเสแสร้งเท่านั้น
หานเจวี๋ยจงใจกล่าวเช่นนี้ แต่เมื่อจักรพรรดิสวรรค์ฟังแล้วจะเข้าใจว่าอย่างไร ก็ไม่เกี่ยวกับเขา
ตราบใดที่จักรพรรดิสวรรค์คิดไม่ถึงว่าเจ้าแดนต้องห้ามอันธการคือเขา ก็นับว่าดีมากแล้ว!
ได้ยินเช่นนั้น จักรพรรดิสวรรค์ก็ขมวดคิ้วอีกหน
แม้ว่าคำพูดเหล่านี้จะสามารถสื่อถึงความหมายได้นานาประการ แต่ก็ไม่อาจตัดความเป็นไปได้ที่ว่าอีกฝ่ายอาจจะเป็นศัตรูของวังสวรรค์ออกไปได้
จากนั้นหานเจวี๋ยก็ทำลายแดนความฝันจนแหลกสลาย
พูดมากก็ผิดพลาดมาก จบแต่เพียงเท่านี้ดีกว่า
หลังจากกลับมายังโลกแห่งความเป็นจริง หานเจวี๋ยไม่ได้รับสัญญาณที่บ่งบอกว่าความชื่นชอบของอีกฝ่ายลดลงแต่อย่างใด
เมื่อก่อนเขาเคยคิดว่า หากอีกฝ่ายประทับใจในตัวเขาแต่เกลียดชังตัวตนอีกตัวตนหนึ่งของเขา จะตัดสินอย่างไรได้
ดูเหมือนว่าตอนนี้ ระบบจะเลือกความประทับใจที่ฝ่ายตรงข้ามมีต่อร่างต้นของเขาจากหนึ่งในสองคน
หานเจวี๋ยใช้ความสามารถวิวัฒนาการต่อ ถามขึ้นในใจว่า “ข้าอยากรู้ว่าจักรพรรดิสวรรค์จะมีชีวิตรอดพ้นในมหาเคราะห์ครั้งนี้หรือไม่”
[จำเป็นต้องหักอายุขัยสองพันล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]
ดำเนินการ!
[เป็นไปได้ในขณะนี้]
เป็นไปได้ในขณะนี้ก็แสดงว่าอ้างอิงจากแนวทางที่ดำเนินไปในปัจจุบัน จักรพรรดิสวรรค์ยังสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้
หานเจวี๋ยถอนหายใจอย่างโล่งอก
เขารู้สึกว่าจักรพรรดิสวรรค์กำลังติดหนี้บุญคุณเขาอยู่
ก่อนหน้านี้ไม่ว่าจะวิวัฒนาการมหาเคราะห์สักกี่ครั้ง จักรพรรดิสวรรค์ก็ล้วนดับดิ้นเสมอ
เพื่อจักรพรรดิสวรรค์แล้ว หานเจวี๋ยต้องสละอายุขัยของเขาสักกี่ปี สุดจะประเมินได้!
หานเจวี๋ยเลิกคิดมาก แล้วฝึกบำเพ็ญต่อ
ต่อไป เขาจะพยายามวิวัฒนาการอนาคตให้น้อยที่สุด เพื่อไม่ให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
แน่นอนว่าหากมันข้องเกี่ยวกับความปลอดภัยของเขา หานเจวี๋ยก็จะค้นหาความเป็นไปได้ที่จะทำลายแผนการจนสุดกำลัง
…
ยี่สิบปีต่อมา
ตู้ม!
เกาะสำนักซ่อนเร้นสั่นสะเทือน ราวกับชนเข้ากับวัตถุขนาดใหญ่
หานเจวี๋ยถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมา เขาลืมตาขึ้นและพบว่าภายนอกเกาะสำนักซ่อนเร้นมีระฆังทองขนาดมหึมาที่มีไอปราณสีดำทะมึนแผ่ซ่านออกมา บนยอดระฆังทองยักษ์นั้นมีร่างร่างหนึ่งยืนตระหง่านอยู่
ตี้หล่านเทียนนั่นเอง! ทำไมคนผู้นี้ถึงโผล่มาที่นี่ได้
ตี้หล่านเทียนทอดสายตามองลงมาเบื้องล่าง และกล่าวพึมพำ “แรงกรรมที่อยู่โดยรอบหลั่งไหลเข้ามายังที่แห่งนี้ อีกทั้งยังมีค่ายกลกีดกันต้าหลัวอีก หรือนี่จะเป็นอาณาเขตเต๋า ไม่ก็แดนลึกลับของผู้ใด”
เสียงหานเจวี๋ยลอยออกมา “สหายเต๋า ท่านมีเจตนาอันใด” น้ำเสียงของเขาไม่มีความเกรงใจแม้แต่น้อย เวลานี้ไม่อาจทำตัวนอบน้อมได้
หานเจวี๋ยไม่อยากใช้เจียงอี้มาผูกมิตรเช่นกัน หากทำเช่นนั้นจะเป็นการเปิดเผยตัวตนและตบะของเขาได้
ตี้หล่านเทียนเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “ใต้เท้าเป็นใคร ถึงได้มาหลบซ่อนตัวอยู่ในแดนชำระบาปเก้าขุมแห่งนี้! ข้าคือตี้หล่านเทียนแห่งเผ่าเทพอีกาทอง ตั้งแต่บัดนี้ไปข้าจะยึดครองแดนชำระบาปเก้าขุม หากสหายเต๋าต้องการเข้าร่วมเผ่าเทพอีกาทอง ข้าก็ขอต้อนรับด้วยความยินดี หากไม่ ก็ขอเชิญท่านจากไปเสีย”
ไปหรือ
หานเจวี๋ยหัวเราะ และเอ่ยถามออกมาตามตรง “หากเข้าร่วม สามารถฝึกบำเพ็ญต่อไปได้หรือไม่”
ตี้หล่านเทียนยิ้มและกล่าว “นั่นก็ขึ้นอยู่กับ…”
ร่างร่างหนึ่งพุ่งทะยานออกมาจากเกาะสำนักซ่อนเร้น เป็นองครักษ์หลี่ว์ปู้นั่นเอง เขาส่งระฆังบรรพกษัตริย์ลอยละลิ่วขึ้นไปในอากาศด้วยหมัดเดียว
ตี้หล่านเทียนย่อตัวลง ใช้พลังเวทของตนควบคุมระฆังบรรพกษัตริย์ให้มั่นคง เมื่อเห็นหลี่ว์ปู้ ดวงตาของเขาก็เบิกกว้างโดยไม่รู้ตัว พลางตะโกนลั่น “จู่ถู! ทำไมถึงเป็นเจ้า”
หลี่ว์ปู้มีสีหน้าไร้ความรู้สึก
ตี้หล่านเทียนคลี่ยิ้มและกล่าว “ที่แท้ก็เป็นเจ้านี่เองที่ซ่อนตัวอยู่ที่นี่ เช่นนั้นก็ไม่มีปัญหา ยามที่ข้าไม่อยู่ที่นี่ เจ้าก็ฝึกบำเพ็ญต่อไปเถิด”
พูดจบ เขาก็หันหลังจากไป
หลี่ว์ปู้เองก็กลับเข้าไปในสำนักซ่อนเร้นดังเดิม
ไก่คุกรัตติกาลจ้องมองไปยังเจียงอี้ และด่ากราดยกใหญ่ “พวกเผ่าเทพอีกาทองอย่างพวกเจ้ามันชั่วช้าเหมือนกันหมดเลยหรือไร”
คนอื่นๆ ล้วนแต่รู้สึกโกรธแค้น
เจียงอี้กล่าวด้วยความอึดอัดใจ “นั่นมันเขา! ไม่ใช่ข้า!”
ดูเหมือนเขาจะลืมตัวไปว่าแต่ก่อนเขาเองก็มีนิสัยไม่เห็นหัวคนอื่น หน้าด้านไร้ยางอายเช่นนี้เหมือนกัน
ภายในถ้ำเทวาฟ้าประทาน
หานเจวี๋ยเริ่มดำเนินแบบจำลองการทดสอบกับตี้หล่านเทียน
เขาอยากทดสอบดูว่าระฆังบรรพกษัตริย์ของตี้หล่านเทียนจะสามารถทำลายเกราะป้องกันของบัวดำล้างโลกสามสิบหกวัฏจักรได้หรือไม่
ผ่านไปชั่วก้านธูป เขาก็ลืมตาขึ้นมา
เฉพาะของวิเศษอย่างเดียว ระฆังบรรพกษัตริย์ไม่อาจทำลายเกราะป้องกันของบัวดำล้างโลกสามสิบหกวัฏจักรได้ แต่ตบะของตี้หล่านเทียนทรงพลังถึงขีดสุด สามารถสั่นสะเทือนหานเจวี๋ยให้ตายทั้งเป็นได้
ไม่อาจเอาชนะชายผู้นี้ได้เลย!
หานเจวี๋ยรู้สึกถึงวิกฤติที่กัดกินลึกลงไปในใจ
แดนชำระบาปเก้าขุมไม่ปลอดภัยอีกต่อไป
แม้ว่าจะมีหลี่ว์ปู้ที่สามารถต้านทานตี้หล่านเทียนได้ แต่เขาไม่มีทางต้านทานเผ่าเทพอีกาทองทั้งเผ่าได้
หานเจวี๋ยควบคุมเกาะสำนักซ่อนเร้นและเริ่มการกหลบหนีไปยังที่ใดที่หนึ่งอีกครั้ง
เขายังไม่มีแผนที่จะไปจากแดนชำระบาปเก้าขุม เพราะไม่มีที่อื่นที่ดีกว่านี้อีกแล้ว หากตี้หล่านเทียนคิดจะกำจัดเขาจริงๆ เขาก็คงต้องให้เจียงอี้ออกหน้าแทนอย่างเลี่ยงไม่ได้
ไม่กี่เดือนหลังจากนั้น สงครามก็ปะทุขึ้นในแดนชำระบาปเก้าขุม เผ่าเทพอีกาทองก่อสงครามกับเผ่าวิหคชาตและนิกายเจี๋ย
หานเจวี๋ยเห็นผ่านจดหมายว่าจิ่งเทียนกงและหวงจุนเทียนถูกโจมตีไม่หยุด ดูเหมือนว่านี่จะเป็นสงครามที่รุนแรงมากพอสมควรทีเดียว
ตี้หล่านเทียนเสียสติไปแล้วจริงๆ เขาต้องการครอบครองแดนชำระบาปเก้าขุมให้ได้
หานเจวี๋ยต้องสาปแช่งตี้หล่านเทียนอย่างเลี่ยงไม่ได้ หากตี้หล่านเทียนชนะ ต่อไปจะต้องหันมาเล่นงานเขาแน่นอน
สิบวันต่อมา สงครามในแดนชำระบาปเก้าขุมดูเหมือนจะมาถึงจุดสิ้นสุดอย่างกะทันหัน
หานเจวี๋ยผลาญอายุขัยของตนไปกว่าสองพันล้านปี ก็ยังไม่มีมารกำเนิดขึ้นในใจของตี้หล่านเทียน
คนผู้นี้กลายเป็นปีศาจไปเสียเอง จะเอามารในใจมาจากไหน
แต่ดูเหมือนว่าคำสาปแช่งของหานเจวี๋ยจะประสบความสำเร็จอย่างงดงาม จนบีบให้ตี้หล่านเทียนต้องยอมยุติสงครามอย่างไม่อาจเลี่ยงได้
…
ณ เผ่าเทพอีกาทอง ในพระราชวังเพลิงคำรามวังหนึ่ง ตี้หล่านเทียนอยู่ที่นั่นเพียงลำพัง
ใบหน้าของเขามืดหม่น ข้างกายคือระฆังบรรพกษัตริย์ที่ถูกทำให้หดเล็กลง
“พลังของคำสาปแช่งที่แข็งแกร่งถึงเพียงนั้น ต้องเป็นเจ้าแดนต้องห้ามอันธการแน่ เหตุใดเจ้าแดนต้องห้ามอันธการถึงได้หมายหัวข้า”
“หรือข่าวลือที่ว่าเจ้าแดนต้องห้ามอันธการซ่อนตัวอยู่ที่แดนชำระบาปเก้าขุมจะเป็นเรื่องจริง หรือว่าเจ้าแดนต้องห้ามอันธการเป็นคนของนิกายเจี๋ย”
ยิ่งคิดมากเท่าไร ตี้หล่านเทียนก็ยิ่งเห็นความเป็นไปได้มากขึ้นเท่านั้น
เขาอยู่ในแดนชำระบาปเก้าขุมมาสักพักแล้ว เหตุใดเจ้าแดนต้องห้ามอันธการถึงเพิ่งจะสาปแช่งเขาตอนที่เขาเริ่มก่อสงครามกับนิกายเจี๋ย
ส่วนจู่ถู ไม่น่าจะเป็นเขาไปได้ จู่ถูถูกเจ้าแดนต้องห้ามอันธการสาปแช่งจนสิ้นลมไปแล้ว แม้จะไม่รู้ว่าเหตุใดเขาถึงยังมีชีวิตอยู่ แต่วังเทพก็ล่มสลายไปแล้ว หรือว่าเขาจะตั้งตนเป็นผู้บำเพ็ญอิสระขึ้นมา
การจะตั้งตนเป็นผู้บำเพ็ญอิสระเช่นนี้มีราคาที่ต้องจ่ายสูงมากทีเดียว!
“โธ่โว้ย ยังต้องรวบรวมมรรคผลของบรรพชนมารก่อน จะผลีผลามลงมือไม่ได้”
ดวงตาของตี้หล่านเทียนวาววับ เขาคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ มุมปากของเขายกขึ้นทันที
อีกด้านหนึ่ง
นิกายเจี๋ย
พระราชวังแห่งหนึ่ง ผู้นำนิกายเจี๋ยขั้นสูงหลายสิบคนมาชุมนุมกัน รวมไปถึงหวงจุนเทียนด้วย
จิ่งเทียนกงหัวเราะร่วน “ในขณะสู้รบกลิ่นอายของตี้หล่านเทียนไม่ชอบมาพากล ต้องเป็นเพราะเจ้าแดนต้องห้ามอันธการสาปแช่งเขาเป็นแน่ ข้าบอกแล้วว่าเจ้าแดนต้องห้ามอันธการเฝ้ามองเราอยู่ เขาต้องสนับสนุนนิกายเจี๋ยแน่!”
เหล่าสาวกนิกายเจี๋ยต่างมองหน้ากัน เมื่อก่อนพวกเขาไม่เชื่อ จนกระทั่งการต่อสู้ที่ผ่านมาทำให้พวกเขาเชื่อสนิทใจ
เดิมทีพวกเขาไม่สามารถเอาชนะตี้หล่านเทียนได้ แต่พลังเวทของตี้หล่านเทียนกลับปะทุออกมา กลิ่นอายความโชคร้ายพันพัวไปทั้งตัว หากไม่ใช่เพราะถูกสาปแช่งยังจะเป็นอะไรได้อีก
หวงจุนเทียนขมวดคิ้วแน่น ในใจเกิดความกริ่งเกรง
‘ท่านรองเจ้านิกายสมคบคิดกับเจ้าแดนต้องห้ามอันธการจริงๆ หรือ แล้วอริยะแห่งนิกายเจี๋ยจะไม่บันดาลโทสะเอาหรือไร’
จิ่งเทียนกงกล่าว “ตี้หล่านเทียนมีใจมักใหญ่ใฝ่สูง ซ้ำยังคิดจะครอบครองแดนชำระบาปเก้าขุม เป็นปฏิปักษ์ต่อมรรคาสวรรค์ พวกเราต้องหาทางโค่นล้มเผ่าเทพอีกาทองให้จงได้ ลำพังพละกำลังของพวกเราและเผ่าวิหคชาดย่อมไม่เพียงพอ เราต้องระดมกำลังจากฝ่ายอื่นด้วย!”
……………………………………