บทที่ 41 ตบะทะลวงระดับ วิชายุทธ์เทพปีศาจ
เย่ซานหลางที่ถูกมหาวายุอัสนีกักขังไว้รู้สึกหมดหวังเป็นที่สุด เขารีบหันขวับไปตะโกนว่า “ข้ายอมจำนน! ข้ายอมจำนน! อย่าได้สังหารข้าเลย!”
หานเจวี๋ยสำแดงวิชาดูดวิญญาณหกสาย ดูดจิตดั้งเดิมของเขามาไว้ในมือ
พลังวิญญาณทั้งหกสายห่อหุ้มจิตดั้งเดิมของเย่ซานหลางเอาไว้ ราวกับเครื่องพันธนาการที่มองไม่เห็น ทำให้เย่ซานหลางไม่อาจเคลื่อนไหวได้
หานเจวี๋ยหันกายกลับไปยังสถานที่ต่อสู้เมื่อสักครู่ ก่อนจะพบแหวนเก็บสมบัติของเย่ซานหลาง จากนั้นจึงย้อนกลับไปถ้ำเทวา
ไก่คุกรัตติกาลลืมตาขึ้น มองคนตัวจ้อยที่อยู่ในกำมือของหานเจวี๋ยอย่างสงสัย
เย่ซานหลางรู้สึกหวาดกลัวถึงขีดสุด จิตดั้งเดิมดวงน้อยกำลังสั่นเทา
หานเจวี๋ยวางเขาลงกับพื้น ขณะที่ตนเองนั่งลงบนตั่งไม้ ก้มหน้าลงมองอีกฝ่าย
“ลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณพยายามจะทำสิ่งใดกันแน่” หานเจวี๋ยเอ่ยถาม
เย่ซานหลางกัดฟันตอบ “ยึดครองสำนักหยกพิสุทธิ์ จับผู้มีพรสวรรค์ของสำนักหยกพิสุทธิ์มาไว้รวมกัน หลังจากสำนักหยกพิสุทธิ์ล่มสลาย เมื่อนั้นผู้มีพรสวรรค์เหล่านี้จะไร้ทางไป ทำได้เพียงเข้าร่วมกับลัทธิศักดิ์สิทธิ์”
หานเจวี๋ยถามต่อ “เป้าหมายเฉพาะแค่สำนักหยกพิสุทธิ์ หรือทั้งแดนบำเพ็ญพรต”
“ทั้งแดนบำเพ็ญพรต…”
“พวกเจ้าช่างหาญกล้ายิ่งนัก ลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณของพวกเจ้ามีระดับเปลี่ยนวิญญาณอยู่หรือ”
“แน่นอนว่ามี…”
เย่ซานหลางตอบตามจริง เมื่อกำลังเผชิญหน้ากับความตาย เขาไม่สนใจอะไรมากนักแล้ว
“ระดับสุญตาเล่ามีหรือไม่” หานเจวี๋ยหรี่ตาพลางเอ่ยถาม
เย่ซานหลางกล่าวอย่างไร้ทางเลี่ยง “ระดับเช่นนั้นเป็นระดับในตำนาน อย่างน้อยในลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณข้าก็ไม่เคยได้ยินว่ามีมาก่อน เพียงแต่ตบะของเจ้าลัทธิอยู่ระดับเปลี่ยนวิญญาณขั้นสูงมานานแล้ว”
“ลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณแข็งแกร่งเพียงนี้ เหตุใดต้องหลบซ่อนอยู่ในที่มืดมาโดยตลอดเล่า”
“ต่อให้แข็งแกร่งเพียงใด ก็ไม่สามารถต่อกรทั้งแดนบำเพ็ญพรตทั้งหมดได้โดยตรง บทเรียนอันแสนเจ็บปวดเมื่อพันปีก่อนทำให้เจ้าลัทธิของเราระวังมากยิ่งขึ้น”
“เหล่าผู้มีพรสวรรค์ของสำนักหยกพิสุทธิ์ถูกขังไว้ที่ใด”
“เรื่องนี้…ข้าไม่รู้จริงๆ ข้าเป็นเพียงผู้ดูแลธรรมดา…”
ระดับปราณก่อกำเนิดขั้นเจ็ดยังนับว่าธรรมดา?
หานเจวี๋ยรู้สึกว่าลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณช่างอันตรายยิ่งนัก
ทำเอาข้าตกใจจริงๆ!
เย่ซานหลางกล่าวอย่างระมัดระวัง “ผู้อาวุโส ท่านได้โปรดปล่อยข้าไปเถอะ ข้าไม่กล้าอีกแล้ว…ข้าสาบาน ต่อไปข้าจะไม่มาเหยียบสำนักหยกพิสุทธิ์อีก!”
[เย่ซานหลางเกิดความเกลียดชังในตัวท่าน ระดับความเกลียดชังในขณะนี้คือ 6 ดาว ไม่ตายไม่เลิกรา]
หานเจวี๋ยเลิกคิ้ว
‘เจ้าหนู หนทางของเจ้าลำบากแล้ว!’
หานเจวี๋ยยกมือขึ้นทันที ส่งดรรชนีกระบี่เทพออกไป ทำลายจิตดั้งเดิมของเย่ซานหลางทันที
เมื่อได้เห็นฉากนี้ ไก่คุกรัตติกาลตกใจจนตัวสั่นงันงก
นี่เป็นครั้งแรกที่มันเห็นหานเจวี๋ยลงมือสังหารศัตรูเช่นนี้
หลังจากที่เย่ซานเทียนตายแล้ว หานเจวี๋ยเริ่มตรวจสอบแหวนเก็บสมบัติของฝ่ายตรงข้าม
สมกับเป็นผู้แข็งแกร่งระดับปราณก่อกำเนิดขั้นเจ็ด สิ่งของในแหวนเก็บสมบัติช่างมากมายยิ่งนัก
แหวนเก็บสมบัตินี้มีขนาดใหญ่มาก หินวิญญาณกองสะสมเท่าภูเขาลูกย่อมๆ สิ่งที่ควรจะมีก็มี ไม่ว่าจะเป็นอาวุธเวท เคล็ดวิชายุทธ์ โอสถ ทั้งยังมีของล้ำค่าฟ้าดินจำนวนไม่น้อย
หานเจวี๋ยดูเคล็ดวิชายุทธ์เป็นอันดับแรก ทั้งหมดล้วนเป็นวิชายุทธ์และวิชาเวทสายมารที่เขาไม่สนใจ
สำหรับอาวุธเวท ก็ต้องเป็นผู้บำเพ็ญสายมารเท่านั้นถึงจะสามารถใช้ได้
หานเจวี๋ยเริ่มตรวจดูโอสถ
ไม่ช้า เขาก็พบโอสถที่สามารถเพิ่มตบะระดับปราณก่อกำเนิด เมื่อพลังวิญญาณหกสายผสานเข้าไปในโอสถนี้ ก็สัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณที่พลุ่งพล่าน
หานเจวี๋ยเริ่มใช้งานมันทันที
…
สองปีต่อมา
หานเจวี๋ยบรรลุตบะถึงระดับปราณก่อกำเนิดขั้นหก
ไก่คุกรัตติกาลกลายเป็นไก่เทพตัวผู้พันธุ์ดีตัวหนึ่ง ในที่สุดสติปัญญาของมันก็เติบโตเทียบเท่ากับเด็กอายุเจ็ดแปดขวบ สามารถสื่อสารภาษามนุษย์ได้
สิ่งที่จำต้องเอ่ยถึงคือ ยามที่ไก่คุกรัตติกาลฝึกฝนพลังปีศาจออกมานั้น คิดไม่ถึงว่าจะเป็นการถ่ายทอดวิชายุทธ์ของเผ่าปีศาจ ตัวมันเองก็ประหลาดใจมากเช่นกัน
แต่หานเจวี๋ยกลับเข้าใจทันที นี่เป็นวิชายุทธ์เทพปีศาจของมันในภพก่อน
เช่นนี้ก็ดี หานเจวี๋ยจะได้ไม่ต้องชี้แนะอะไรมากนัก
หลี่ชิงจื่อมาเยี่ยมเยือนหานเจวี๋ยอีกครั้ง สิ่งที่พูดคุยล้วนเป็นเรื่องของลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณ
ช่วงนี้ราวกับว่าลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณหายไปอย่างไรอย่างนั้น ไม่มาวุ่นวายกับสำนักหยกพิสุทธิ์อีก และในที่สุดหลี่ชิงจื่อก็ตรวจพบที่คุมขังเหล่าผู้มีพรสวรรค์ของสำนักหยกพิสุทธิ์
หลี่ชิงจื่ออยากให้หานเจวี๋ยลงมือ
หานเจวี๋ยเอ่ยอย่างจริงจังว่า “บางทีอาจจะเป็นแผนการล่อเสือออกจากถ้ำ ทันทีที่ข้าออกไป หากลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณเข้ามาโจมตี พวกท่านต้านไหวหรือ ท่านต้องรู้ว่าระดับปราณก่อกำเนิดฝีมือดีถึงจะเป็นผู้ดูแลในลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณได้
หลี่ชิงจื่อนิ่งเงียบ
นี่ก็มีความเป็นไปได้
หากเป็นเช่นนั้นล่ะก็ แม้จะช่วยผู้มีพรสวรรค์เหล่านั้นได้ก็ไร้ประโยชน์
“เช่นนั้นให้ข้าออกไปจะดีกว่า ผู้อาวุโสหาน สำนักหยกพิสุทธิ์ต้องมอบให้ท่านดูแลแล้ว” หลี่ชิงจื่อกล่าวอย่างจริงจัง
หานเจวี๋ยพยักหน้ากล่าว “นอกเสียจากว่าจะไปพบผู้แข็งแกร่งระดับสุญตาเข้า มิเช่นนั้นไม่ว่าใครหน้าไหนก็อย่าแม้แต่จะคิดโจมตีสำนักหยกพิสุทธิ์!”
เมื่อหลี่ชิงจื่อได้ยินคำพูดนี้ สีหน้าก็พรายยิ้ม
ดูเหมือนช่วงนี้หานเจวี๋ยจะแข็งแกร่งขึ้นอีกแล้ว!
หลี่ชิงจื่อจากไปด้วยความพึงพอใจ
หานเจวี๋ยครุ่นคิดเล็กน้อย จากนั้นจึงเปิดแบบการจำลองการทดสอบ
เขาตั้งค่าตบะของต้วนทงเทียนเป็นระดับเปลี่ยนวิญญาณขั้นเก้า
หานเจวี๋ยพยายามต่อสู้กับระดับเดียวกัน
สิ่งนี้ทำให้หานเจวี๋ยเป็นกังวล
จำต้องรู้ไว้ว่า แบบจำลองการทดสอบสามารถตั้งค่าได้เพียงตบะเท่านั้น วิชายุทธ์และวิชาเวทของระดับเปลี่ยนวิญญาณขั้นเก้ากับระดับเปลี่ยนวิญญาณขั้นหนึ่งก็แตกต่างกันมาก
หากรอให้ต้วนทงเทียนฝึกบำเพ็ญจนถึงระดับเปลี่ยนวิญญาณขั้นเก้าจริงๆ พลังที่แท้จริงของเขาจะแกร่งยิ่งกว่าในแบบจำลองการทำสอบเสียอีก
นอกจากนี้ ต้วนทงเทียนยังต้องอาศัยเซียวเอ้อร์เพื่อทะลวงระดับเปลี่ยนวิญญาณ นั่นไม่ใช่ความสามารถที่แท้จริง
‘ต้องรีบทำเวลาทะลวงระดับเปลี่ยนวิญญาณ มิฉะนั้นก็อย่าหวังว่าจะนอนหลับอย่างเป็นสุข’
หานเจวี๋ยคิดเงียบๆ
เขาเปิดค่าความสัมพันธ์เพื่อดูความเคลื่อนไหวของสหาย
[หยางเทียนตงศิษย์ของท่านเผชิญกับโจมตีจากลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณ]x29
[โจวฝานสหายของท่านเผชิญกับโจมตีจากลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณ]x48
……
ศิษย์ที่น่าสงสารยังคงถูกโจมตี
ทว่าหานเจวี๋ยกลับไม่เป็นกังวล ถูกโจมตีหลายครั้งเช่นนี้แต่ยังไม่ตาย!
นั่นก็หมายความว่าอย่างไรน่ะหรือ
ลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณชื่นชอบผู้มีพรสวรรค์อย่างแท้จริง ถึงได้ตัดใจฆ่าไม่ลง
‘หรือลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณจะไม่ใช่สายมาร?’
หานเจวี๋ยคิดอย่างเงียบๆ
ไม่นานจากนั้น เขาก็ฝึกบำเพ็ญต่อ
ศิษย์เอ๋ยอดทนเข้าไว้!
อาจารย์กำลังฝึกอย่างหนัก รออาจารย์กระจ่างทุกสิ่งก่อน ต้องรีบไปช่วยเจ้าแน่!
…
ภายในหอมืดสลัวแห่งหนึ่ง คนในชุดคลุมกันฝนสี่คนนั่งล้อมอยู่รอบโต๊ะ
พวกเขาต่างสวมหมวกฟางเพื่อปิดบังใบหน้าไว้
หนึ่งในนั้นกล่าวเสียงขรึม “เหตุใดเย่ซานหลางยังไม่กลับมาอีก”
คนอื่นๆ ก็เริ่มเอ่ยวาจาออกมาตามกัน
“หรือจะเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้น”
“เย่ซานหลางเป็นถึงผู้มีฝีมือระดับปราณก่อกำเนิดขั้นเจ็ด นอกจากผู้อาวุโสสังหารเทพของสำนักหยกพิสุทธิ์ก็ไม่มีใครหยุดเขาได้ อีกทั้งยังมีผู้ดำเนินการลับของลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณแฝงตัวอยู่ภายในนั้น”
“ผู้ดำเนินการลับของลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณที่ว่านั่น แท้จริงแล้วคือผู้ใดกัน”
“ไม่แน่ใจ มีเพียงเย่ซานหลางที่รู้ นอกจากเจ้าลัทธิแล้วมีเพียงคนเดียวที่จะติดต่อกับผู้ดำเนินการลับลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณทุกคน”
“เจ้าลัทธิระวังเกินไป ตามความเห็นข้า มิสู้เหยียบสำนักยกพิสุทธิ์ให้จมดินไปเลยจะดีกว่า ไหนจะศิษย์สำนักหยกพิสุทธิ์พวกนั้นอีก หากไม่ยอมก็ฆ่าทิ้งไปเสียเถิด!”
ทั้งสี่คนเริ่มเอ่ยวาจาค่อนแคะเจ้าลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณ
ในความคิดของพวกเขา แม้ว่าผู้อาวุโสสังหารเทพจะแข็งแกร่งเพียงใด ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้าลัทธิอย่างแน่นอน อีกอย่างในลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณยังมีผู้แข็งแกร่งระดับเปลี่ยนวิญญาณคนอื่นอยู่อีกนอกจากเจ้าลัทธิ
ปึง!
ประตูพลันถูกถีบให้เปิดออก
บุรุษในอาภรณ์สีทองเดินเข้ามาในห้องด้วยท่าทางเคร่งขรึมสง่างาม บนอาภรณ์สีทองปักด้วยลวดลายเสือดาว สวมมงกฏหยกสีเงินประกายครามราวกับกริชบนศีรษะ ใบหน้าหล่อเหลา ดวงตาทั้งคู่เป็นประกายแวววาว ท่าทางโอหังอวดดี
คนในชุดคลุมกันฝนทั้งสี่ตบโต๊ะลุกขึ้นยืน
“บังอาจ!”
หนึ่งในนั้นชักดาบตรงข้างเอวออกมา เตรียมจะฟันไปที่บุรุษชุดทอง
แววตาของบุรุษชุดทองพลันเย็นเยียบ ความกดดันและความน่ากลัวแผ่ออกมา ทั้งหอสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง คนในชุดคลุมกันฝนทั้งสี่คนตกใจกลัวจนไม่กล้าขยับกาย
หนึ่งในนั้นกัดฟันเอ่ยถาม “ท่านเป็นใคร”
บุรุษชุดทองกล่าวอย่างไร้ความรู้สึก “ข้าคือหวงจี๋เฮ่าแห่งสำนักกระบี่วิหคชาด ได้ยินว่าพวกเจ้ามาจากลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณ บังเอิญนัก ข้ากำลังอยากประมือกับลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณพอดี พวกเจ้าจงเอ่ยมา แท้จริงแล้วลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณอยู่ที่ใดกันแน่”
หวงจี๋เฮ่า!
คนทั้งสี่ยิ่งตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว
เมื่อไม่นานมานี้ ชื่อเสียงของหวงจี๋เฮ่าก็เป็นที่เลื่องลือจริงๆ!
คนในเสื้อคลุมกันฝนผู้หนึ่งพลันกล่าว “หากพวกข้าบอกไปจะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย แต่หากท่านไปประมือสำนักหยกพิสุทธิ์เสียก่อน เช่นนั้นพวกข้าจะยอมบอกตำแหน่งทางเข้าลัทธิแก่ท่าน…”
…………………………………………………….