บทที่ 445 เต้าจื้อจุนเข้าร่วมสำนักซ่อนเร้น บุตรแห่งสวรรค์อันดับหนึ่งของสำนักซ่อนเร้น
เกิดความประทับใจในตัวท่าน เนื่องจากท่านเปลี่ยนแปลงภัยพิบัติในมรรคาสวรรค์หลายครั้งหลายครา…
‘หืม? สถานะเจ้าแดนต้องห้ามอันธการของข้าถูกเปิดเผยแล้วหรือ’
หานเจวี๋ยตกใจไปชั่วขณะหนึ่ง
อาณาเขตเต๋าสามารถปิดกั้นการสอดแนมจากพลังจิตระดับมรรคาสวรรค์ได้ แต่ดูเหมือนว่าปรมาจารย์ลัญจกรสรวงจะอยู่เหนือกว่ามรรคาสวรรค์…
หานเจวี๋ยถามในใจ ‘ปรมาจารย์ลัญจกรสรวงมองออกหรือไม่ว่าข้าคือเจ้าแดนต้องห้ามอันธการ’
[จำเป็นต้องหักอายุขัยหนึ่งแสนล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]
‘หนึ่งแสนล้านปี?’ หานเจวี๋ยตกตะลึง
สิ่งแลกเปลี่ยนของอริยะมรรคาสวรรค์ทั่วไปอยู่ที่สามถึงสี่พันล้านปีเท่านั้น นี่มันต่างกันลิบลับเลย
ดำเนินการ!
หานเจวี๋ยกัดฟันเลือก ตัวอักษรแถบหนึ่งเด้งขึ้นมาตรงหน้า
[ปรมาจารย์ลัญจกรสรวงไม่แยแสต่อมรรคาสวรรค์ทั้งปวง และไม่ทราบถึงการมีอยู่ของเจ้าแดนต้องห้ามอันธการ]
หานเจวี๋ยถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
แบบนี้ก็แสดงว่าปรมาจารย์ลัญจกรสรวงสัมผัสได้เพียงการเปลี่ยนแปลงของมหาเคราะห์ในมรรคาสวรรค์ทั้งปวงเท่านั้น
โชคดีที่ปรมาจารย์ลัญจกรสรวงเกิดความประทับใจในตัวเขา
เมื่อใคร่ครวญอย่างรอบคอบ จุดจบของมหาเคราะห์ที่หานเจวี๋ยกระทำการเปลี่ยนแปลงเหล่านั้น เดิมทีล้วนมีจุดจบที่น่าเศร้า นำไปสู่การทำลายล้างโลก ตัวเขาเองไม่ได้คิดจะหาผลประโยชน์อะไรจากการกระทำเหล่านี้
หลังคิดไตร่ตรองจนถี่ถ้วนแล้ว หานเจวี๋ยก็ไม่รู้สึกถึงความกดดันแต่อย่างใด
นักพรตเต๋าผู้หลุดพ้นอย่างปรมาจารย์ลัญจกรสรวงคงจะไม่ยื่นมือเข้าไปยุ่งเรื่องของมรรคาสวรรค์ มิฉะนั้นพวกคนชั่วช้าสามานย์ทั้งหลายคงต้องตายตกไปนานแล้ว
“นักพรตเต๋าผู้หลุดพ้น แท้จริงแล้วมีตัวตนเช่นใดกันหนอ”
หานเจวี๋ยไม่อาจจินตนาการถึงโลกในสายตาของปรมาจารย์ลัญจกรสรวงได้เลย
จากนั้น หานเจวี๋ยก็ฝึกบำเพ็ญต่อ
อายุขัยเก้าแสนล้านปีที่สูญไปไม่อาจสาปแช่งให้อริยะมิ่งจีมีอันเป็นไปได้ พูดให้ชัดก็เป็นเพราะตบะของเขาอ่อนแอเกินไป และหนังสือแห่งความโชคร้ายยังไม่แข็งแกร่งพอนั่นเอง
…
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
สงครามในแดนเซียนนับวันยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น ซากศพเกลื่อนกลาดทุกหนแห่ง โลหิตไหลนองเป็นสายน้ำ
เบื้องหน้าดูเหมือนจะเป็นเพียงการต่อสู้กันระหว่างเผ่ามนุษย์และวังสวรรค์ แต่เบื้องหลังนั้นคือมหากาพย์สงครามของเผ่าพันธุ์ นิกาย สำนักดวงชะตา และราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์นับไม่ถ้วน
ไม่นานมานี้มีเทพแห่งความโชคร้ายองค์หนึ่งปรากฏตัวที่วังสวรรค์ ทุกที่ที่เขาย่างกรายผ่าน ความโชคร้ายจะปกคลุม เคราะห์สวรรค์แผ่ไพศาล มารในใจอาละวาด ทุกครั้งที่เขาปรากฏตัวจะทำให้เกิดการบาดเจ็บล้มตายครั้งใหญ่ เมื่อเรื่องราวนี้แพร่กระจายออกไป ก็สร้างความหวาดผวาให้แก่สรรพชีวิตทั้งหลาย
คนผู้นั้นก็คือซูฉีนั่นเอง
วังสวรรค์คว้าชัยมาครั้งแล้วครั้งเล่า เนื่องจากซูฉีเข้าร่วมพรรคพวก ทำให้เผ่ามนุษย์รู้สึกหวั่นใจไม่น้อย
ฝูซีเทียนอริยะเผ่ามนุษย์ถูกอริยะลึกลับขัดขวาง ทำให้ต้องต่อสู้ในห้วงอากาศว่างเปล่าและไม่ได้กลับมาเป็นเวลานาน ในสถานการณ์เช่นนี้ เผ่ามนุษย์ต้องการวีรบุรุษที่จะก้าวขึ้นมาแทนที่
และแล้วในที่สุดก็มีวีรบุรุษก้าวขึ้นมาตามที่คาดหวัง
โจวฝาน!
โจวฝานไม่เกรงกลัวความโชคร้ายของซูฉี เขาเป็นเพียงบุคคลเดียวที่สามารถต่อกรกับซูฉีได้อย่างผ่าเผย ความแข็งแกร่งของทั้งสองสูสีกันจนไม่อาจวัดได้ว่าใครเหนือกว่า
เผ่ามนุษย์มีผู้แข็งแกร่งขึ้นมาต่อกรกับซูฉี ทำให้ความตึงเครียดในแนวหน้าลดลงอย่างมาก
เป็นเช่นนี้ต่อไปอีกห้าสิบปี
หานเจวี๋ยเข้าใกล้ระยะปลายของการทะลวงระดับเซียนทองต้าหลัวอยู่รอมร่อ ไม่เกินสิบปีเขาก็จะมีโอกาสในการทะลวงระดับ
อยู่มาวันหนึ่ง เต้าจื้อจุนก็เรียกหานเจวี๋ยจากอาณาเขตฟ้าบุพกาล
หานเจวี๋ยไปพบเขา เต้าจื้อจุนแสดงเจตจำนงที่จะเข้าร่วมสำนักของหานเจวี๋ย
เพื่อป้องกันเรื่องไม่คาดฝัน หานเจวี๋ยใช้อายุขัยหนึ่งร้อยล้านปีแสดงภาพวิวัฒนาการเพื่อยืนยันว่าไม่มีเบื้องหลังคอยผลักดันเต้าจื้อจุนอยู่ เขาจึงสามารถวางใจได้อย่างเต็มที่
พรสวรรค์ของเต้าจื้อจุนยังคงทรงพลังมาก อาจกล่าวได้ว่าเป็นที่หนึ่งของมรรคาสวรรค์เลยทีเดียว
หานเจวี๋ยเอ่ย “หากท่านเข้าร่วมสำนักของข้าแล้ว อย่าคิดที่จะกลับออกมาอีก ท่านต้องปิดด่านฝึกฝนกับข้าตลอดไป”
เต้าจื้อจุนกล่าวอย่างสงบเสงี่ยม “เข้าใจแล้ว”
“ข้าต้องพิจารณาก่อนว่าจะรับท่านเข้ามาในฐานะอะไร เป็นศิษย์ของข้าดีหรือไม่”
“อะไรนะ ท่านตั้งใจจะฉีกหน้าข้าหรือ”
เต้าจื้อจุนโกรธเป็นไฟ เขามองหานเจวี๋ยเป็นสหายมาโดยตลอด แต่หานเจวี๋ยกลับคิดตั้งตนเป็นอาจารย์ของเขาเช่นนั้นหรือ
มันจะข้ามหน้าข้ามตากันเกินไปแล้ว!
หานเจวี๋ยยิ้มและกล่าวว่า “หรือท่านต้องการจะหารือกันอีกครั้ง”
เต้าจื้อจุนแค่นเสียงกล่าว “ย่อมได้!”
“มานี่ก่อนเถิด ข้าจะถ่ายทอดพลังวิเศษให้กับท่านหนึ่งอย่าง ไว้ใช้เรียกข้า แล้วข้าจะมารับท่านไปยังอาณาเขตเต๋า”
“อืม”
…
หนึ่งเดือนต่อมา
หานเจวี๋ยสัมผัสได้ถึงวิชาอัญเชิญเทพที่เต้าจื้อจุนสำแดงออกมา เขาคำนวณอย่างถี่ถ้วน เมื่อวางใจแล้วว่าไม่มีอันตรายจึงออกไป
เมื่อมาอยู่ตรงหน้าของเต้าจื้อจุน ไม่รอให้เต้าจื้อจุนได้ปริปาก หานเจวี๋ยก็พาตัวเขาไปทันที
กลับมายังถ้ำเทวาฟ้าประทาน สายตาของเต้าจื้อจุนก็จ้องมองอยู่ที่หานเจวี๋ย
เขารู้สึกประหลาดใจถึงที่สุด
ช่างเป็นชายหนุ่มรูปงามจริงๆ!
เต้าจื้อจุนหน้าตาไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่ เขามีผิวพรรณที่ดีคล้ายกับเหล่าบุตรแห่งสวรรค์ เนื่องจากตบะที่สูงส่ง ทำให้สามารถเปลี่ยนรูปลักษณ์ได้อย่างง่ายดาย แต่หากคิดจะเปลี่ยนรูปลักษณ์ให้ได้เท่าหานเจวี๋ยเห็นทีคงจะหมดหวัง เพราะอย่างไรเสียสรรพชีวิตล้วนแต่มีความงามที่แตกกันออกไป
เต้าจื้อจุนเลิกคิ้ว ถามขึ้นว่า “มาสู้กันสักตั้งดีหรือไม่”
หานเจวี๋ยคลี่ยิ้มและกล่าวว่า “ได้สิ ข้ามีพลังวิเศษอย่างหนึ่ง ที่ไม่ส่งผลกระทบต่อความเป็นจริง”
เขาดึงเต้าจื้อจุนเข้าสู่แบบจำลองการทดสอบ และทั้งสองก็ต่อสู้กันทันที
ไม่มีอะไรเหนือความคาดหมาย
หานเจวี๋ยใช้วัชระเทพมารขุนพลสวรรค์ส่งเต้าจื้อจุนไปสู่ความตายได้ภายในหมัดเดียว
เต้าจื้อจุนไม่เชื่อ คิดว่ามันเป็นภาพลวงตา
ดังนั้นหานเจวี๋ยจึงต้องต่อสู้กับเขาอีกครั้ง โดยปล่อยให้อีกฝ่ายโจมตีสุดแรงก่อน จนกระทั่งเขาสำแดงพลังทั้งหมดที่มีออกมา หานเจวี๋ยจึงจัดการสังหารเขาภายในหมัดเดียวอีกครั้ง
เต้าจื้อจุนอารมณ์เสียอย่างถึงที่สุด
เมื่อกลับสู๋โลกแห่งความจริง หานเจวี๋ยคลี่ยิ้มก่อนจะถามว่า “ตกลงจะเป็นลูกศิษย์ของข้าหรือไม่”
เต้าจื้อจุนเงียบไป
ผ่านไปสักพักหนึ่ง เขาก็ถามขึ้น “แล้วจ้าวเซวียนหยวนล่ะ เป็นศิษย์ของท่านไปแล้วหรือ”
“อืม”
“แบบนั้นไม่ได้ หากข้าเป็นศิษย์ของท่านตอนนี้ ก็ต้องเป็นศิษย์น้องของเขาน่ะสิ”
“ปกติก็ต้องดูลำดับคนมาก่อนหลังอยู่แล้ว การที่เขากลายเป็นศิษย์พี่ของท่านก็จะได้ช่วยดูแลท่านไม่ใช่หรือ และยิ่งไปกว่านั้นการที่ท่านเป็นศิษย์น้องของเขาก็จะเป็นการกระตุ้นให้เขาฝึกบำเพ็ญไปในตัว ได้ประโยชน์กันทั้งสองฝ่าย”
หานเจวี๋ยกล่าวอย่างใจเย็น
เต้าจื้อจุนขมวดคิ้วแน่นเมื่อได้ยินดังนั้น ฟังเผินๆ ดูเหมือนจะเข้าที แต่ไม่ว่าจะคิดอย่างไรนี่ก็เป็นเรื่องต้มตุ๋นกันทั้งนั้นเลยนี่นา
‘ข้าเองก็ต้องมีศักดิ์ศรีบ้างไม่ใช่หรือ?’
หานเจวี๋ยพูดต่อ “หากท่านยังหมกมุ่นอยู่กับอัตตาของท่าน นั่นก็หมายความว่าจิตใจของท่านยังไม่บริสุทธิ์พอ การบำเพ็ญควรเป็นสิ่งสำคัญที่สุดไม่ใช่หรือ หรือว่าเปลือกนอกอันสูงส่งสำคัญกับท่านมากกว่าจิตแห่งการบำเพ็ญ”
เต้าจื้อจุนฟังแล้วก็กัดฟัดกรอด
หลังจากนั้นเขาก็พบว่าคำพูดของหานเจวี๋ยนั้นช่างโหดร้ายจริงๆ
“ตั้งแต่นี้ต่อไป ท่านจะเป็นศิษย์ลำดับเจ็ดของข้า ออกไปทำความรู้จักกับพวกเขาเอาไว้สิ ฝึกบำเพ็ญกันอยู่ใต้ต้นไม้นั่นแน่ะ พลังวิเศษสำหรับต่อสู้เมื่อครู่นี้ ท่านสามารถเข้าไปใช้งานได้ตลอดเวลา เป็นการฝึกฝนพลังต่อสู้ของท่าน” หานเจวี๋ยนั่งอยู่บนบัวดำล้างโลกสามสิบหกวัฏจักร หลับตาลงขณะที่พูด
เต้าจื้อจุนพยักหน้า เขาสังเกตเห็นบัวดำล้างโลกสามสิบหกวัฏจักร รูม่านตาก็หดลงโดยไม่รู้ตัว
‘นี่มัน… ยอดสมบัติมรรคาสวรรค์! บัวดำล้างโลกสามสิบหกวัฏจักร! เหตุใดถึงมาอยู่กับเขาที่นี่’
คลื่นพายุพัดกระหน่ำภายในใจของเต้าจื้อจุน เขาหมุนกายเดินออกไปจากถ้ำเทวาฟ้าประทานโดยไม่เอ่ยถามใดๆ
ไม่นานหานเจวี๋ยก็ได้ยินเสียงอุทานของจ้าวเซวียนหยวน เห็นได้ชัดว่ารู้สึกตื่นเต้นอย่างยิ่ง
สิ่งที่ควรค่าแก่การกล่าวถึงคือ ตบะของเต้าจื้อจุนอยู่ในระดับปฐมเทพขั้นห้าแล้ว
ในบรรดาศิษย์ของหานเจวี๋ย ยิ่งมาช้าเท่าไร ตบะก็ยิ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ
นี่ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าแปลกไม่น้อย
การมาถึงของเต้าจื้อจุนได้ก่อพายุภายในสำนักซ่อนเร้นขึ้นอีกครั้ง
เจียงอี้ถึงขั้นที่ไม่กล้าคิดต่อต้าน
ลี่เหยาเองก็สัมผัสได้ถึงความกดดันอันมหาศาล
ไก่คุกรัตติกาลเริ่มต้นฝึกบำเพ็ญอย่างจริงจัง
ทุกคนในที่นี้ล้วนแต่รู้สึกถึงความกดดัน สำนักซ่อนเร้นกำลังจะแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว!
ในอนาคตอาจจะมีผู้ที่แข็งแกร่งยิ่งกว่านี้มาเข้าร่วมสำนักก็เป็นได้ แล้วพวกเขาจะชะล่าใจได้อย่างไร
ฉู่ซื่อเหรินกล่าวติดตลกว่าผู้ชนะในมหาเคราะห์ครั้งนี้ควรจะเป็นสำนักซ่อนเร้น
จ้าวเซวียนหยวนกล่าวด้วยความลำพองใจว่า “แค่มีข้าและพี่เต้า ในภายภาคหน้าสำนักซ่อนเร้นจะต้องเป็นใหญ่ในแดนเซียนอย่างแน่นอน พวกเจ้าก็หมั่นเพียรเข้าไว้ล่ะ อย่าได้ชะล่าใจเป็นอันขาด”
คำพูดดังกล่าวชวนให้รู้สึกหงุดหงิด แต่มันก็เป็นความจริง
ไก่คุกรัตติกาลกล่าวอย่างมีน้ำโหว่า “พวกเจ้าอย่าเพิ่งได้ใจไปเลย เจ้าหนูเจียงอี้ ฉู่ซื่อเหริน พวกเจ้าต้องขยันให้มาก ไล่ตามพวกเขาให้ทัน!”
เจียงอี้กล่าวแค่นเสียง “มันแน่นอนอยู่แล้ว พวกเจ้านับเป็นบุตรแห่งสวรรค์อันดับหนึ่งจากกลุ่มอิทธิพลของพวกเจ้า ข้าเองก็เช่นกัน! ทว่าบุตรแห่งสวรรค์อันดับหนึ่งแห่งสำนักซ่อนเร้นยังไม่ถูกกำหนด!”
………………………………………………..