บทที่ 447 เกราะคุ้มกันดวงจิตมหามรรค สหัสวรรษ
ภายในถ้ำเทวาฟ้าประทาน
อายุขัยของหานเจวี๋ยลดลงหนึ่งล้านห้าแสนล้านปี และเขาก็เริ่มที่จะรู้สึกวิงเวียนศีรษะจึงต้องหยุดมืออย่างช่วยไม่ได้
อริยะมิ่งจีไม่ได้มีชื่ออยู่ในค่าความสัมพันธ์ จึงทำให้หานเจวี๋ยไม่สามารถรับรู้สถานการณ์ปัจจุบันของเขาได้ ซึ่งไม่นับเป็นเรื่องดี
จำเป็นต้องเข้าฝันอริยะมิ่งจีหรือไม่
‘หากข้าเข้าฝันอริยะมิ่งจี เขาจะค้นพบตัวตนที่แท้จริงของข้าหรือไม่’
หานเจวี๋ยถามในใจ
[จำเป็นต้องหักอายุขัยหนึ่งพันล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]
ดำเนินการ!
[ความฝันอันธการเป็นพลังวิเศษมหามรรค หากท่านไม่เปิดเผยตัวตนออกไป อริยะมรรคาสวรรค์ก็ไม่สามารถมองเห็นท่านผ่านแดนความฝันได้]
หานเจวี๋ยถอนหายใจอย่างโล่งอก หากเป็นเช่นนั้นเขาก็สบายใจ
เขาเข้าฝันอริยะมิ่งจีทันที
ไม่นานเขาก็เข้ามาสู่แดนความฝัน ภาพในแดนความฝันนี้คือภาพทะเลทรายเวิ้งว้างในอนาคตที่เขาเคยวิวัฒนาการดู
อริยะมิ่งจีนั่งสมาธิอยู่เบื้องหน้า
เขาค่อยๆ ลืมตาขึ้น สายตาทอดมองไปยังหานเจวี๋ย
หานเจวี๋ยกลายร่างเป็นเจ้าแดนต้องห้ามอันธการ รูปร่างดั่งเงาดำวูบไหว แปลกประหลาดชวนขวัญผวา
เมื่อได้เห็นเจ้าแดนต้องห้ามอันธการ อริยะมิ่งจีไม่ได้มีท่าทีสงสัยแต่กลับเอ่ยชื่นชม “ช่างเป็นพลังวิเศษที่ทรงพลัง สามารถบีบบังคับให้ข้าเข้ามาในแดนความฝันได้ แม้ไม่อาจกักขังข้าได้ แต่ข้าก็ไม่อาจคำนวณถึงผลกรรม ดวงชะตาหรือมองเห็นตัวเจ้าได้เช่นกัน”
หานเจวี๋ยกล่าวว่า “เจ้ากำลังผลักดันมหาเคราะห์ หมายจะทำลายล้างสรรพชีวิตทั้งปวง”
อริยะมิ่งจีจ้องมองด้วยสีหน้าเรียบเฉย และถามกลับ “เพื่ออะไรเล่า”
“สำนักพุทธยังอยู่ในแดนเซียน คนที่สามารถใช้พลังวิเศษทลายมรรคาได้และไม่ต้องกังวลถึงระบบเต๋าก็มีเพียงเจ้าเท่านั้น มหาเคราะห์จะจบลงด้วยการที่ใครคนหนึ่งสำแดงพลังวิเศษทลายมรรคาออกมา กวาดล้างสรรพชีวิต เป้าหมายที่แท้จริงของเจ้าคือการแทนที่บรรพชนเต๋า ทำลายเผ่ามนุษย์และเทพเซียนที่บรรพชนเต๋าคอยดูแล จากนั้นก็สร้างเผ่าพันธุ์ของตนขึ้นมาแทน”
หานเจวี๋ยพูดกว้างๆ ไม่เจาะจงถึงซูฉี
อริยะมิ่งจีกล่าวว่า “เมื่อไม่นานมานี้มีคนสองคนที่ได้รับพลังวิเศษทลายมรรคา เจ้าแน่ใจได้อย่างไรว่าเป็นฝีมือของข้า ข้ายังแสดงธรรมอยู่ที่แดนเซียนอยู่เลย มรรคาสวรรค์ย่อมรู้ดี”
หานเจวี๋ยพูดต่อ “บรรพชนเต๋าอยู่ในทุกที่ ทุกสิ่งอย่างล้วนอยู่ในสายตาของบรรพชนเต๋า ข้าแนะนำให้เจ้าทำตัวดีๆ จะดีกว่า”
ทำไมชายผู้นี้ยังไม่บังเกิดความเกลียดชังต่อตัวเขาอีกเล่า
หรือต้องบีบให้อีกฝ่ายสาบานให้ได้?
อริยะมิ่งจียิ้มเล็กน้อย ไม่ตอบอะไร
“หากเจ้ายืนกรานที่จะทำเช่นนั้น ข้าก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องเป็นศัตรูกับเจ้า” หานเจวี๋ยพูดต่อ พร้อมด้วยหัวใจที่สั่นระรัว
ยั่วโมโหอริยะเข้าเสียแล้ว
แม้เขาจะแน่ใจว่าอริยะไม่สามารถคำนวณมาถึงตัวเขาได้ แต่ลึกๆ แล้วเขาก็ยังรู้สึกหวาดหวั่นอยู่เล็กน้อย
อริยะมิ่งจีถามว่า “เจ้าคิดจะยั่วโทสะข้าหรือ”
หานเจวี๋ยนิ่งเงียบไป
สมแล้วที่เป็นอริยะ
[อริยะมิ่งจีเกิดความเกลียดชังในตัวท่าน ระดับความเกลียดชังในขณะนี้คือ 1 ดาว]
อริยะมิ่งจีกล่าวว่า “แล้วข้าจะคอยดูว่าเจ้าจะตั้งตนเป็นศัตรูกับข้าอย่างไร ลำพังแค่คำสาปแช่งแสนกระจอกงอกง่อยของเจ้าเท่านั้นน่ะหรือ?”
หานเจวี๋ยกล่าว “กรรมใดใครก่อ ฟ้าย่อมเป็นพยาน เจ้าก่อกรรมทำเข็ญไว้มากไม่ช้าก็จะแพ้ภัยตนเอง อริยะเป็นใหญ่เหนือสรรพชีวิตก็จริงอยู่ แต่ท้ายที่สุดก็ยังคงเป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่งเท่านั้น”
อริยะมิ่งจีบ่นอุบในใจ ขณะที่สีหน้านั้นราบเรียบไร้ความรู้สึก
อีกฝ่ายหมายถึงอะไรกันแน่
เขาเริ่มครุ่นคิดว่าเจ้าแดนต้องห้ามอันธการคืออริยะผู้ใด
ฟังจากวิธีการพูด ค่อนข้างตัดสินได้ยาก
ขณะที่หานเจวี๋ยกำลังจะยุติแดนความฝัน อริยะมิ่งจีก็กล่าวขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย “มหาเคราะห์กำลังจะสิ้นสุด เวลาของเจ้าเหลืออีกไม่มากแล้ว”
สิ้นคำพูด หานเจวี๋ยก็รู้สึกงุนงงอยู่ในใจ
นี่เป็นการประกาศสงครามหรือเป็นการเตือนความจำกันแน่
และแล้วแดนความฝันก็สลายไป
หานเจวี๋ยกลับไปยังถ้ำเทวาฟ้าประทาน
ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม หากอริยะมิ่งจีใช้ซูฉีเป็นหมาก หานเจวี๋ยไม่มีทางปล่อยไว้แน่
เป็นอริยะแล้วอย่างไร ไม่ช้าก็เร็วหานเจวี๋ยก็จะพิสูจน์มรรคกลายเป็นอริยะเช่นกัน!
หานเจวี๋ยเรียกดูค่าความสัมพันธ์และตรวจสอบข้อมูลของอริยะมิ่งจี
[อริยะมิ่งจี: ไม่ทราบตบะ อริยะมรรคาสวรรค์ สิ่งมีชีวิตก่อนกำเนิดฟ้า มหาจักรพรรดิไร้ขอบเขต เกิดความเกลียดชังในตัวท่าน เนื่องจากสงสัยว่าท่านเป็นตัวการเบื้องหลังมหาเคราะห์ไร้ขอบเขต ระดับความเกลียดชังในขณะนี้คือ 1 ดาว]
‘หืม? สงสัยข้าเนี่ยนะ น่าจะเป็นเจ้าเองไม่ใช่หรืออย่างไร’
หานเจวี๋ยขมวดคิ้วแน่น
[ความเกลียดชังที่อริยะมิ่งจีมีต่อท่านเพิ่มขึ้น ระดับความเกลียดชังในขณะนี้คือ 2 ดาว]
เพิ่มขึ้นอีกแล้ว!
ดูเหมือนว่าคนผู้นี้จะคิดแผนร้ายขึ้นมาอีกหลังจากที่เขาจากไปแล้ว
หานเจวี๋ยนึกถึงคำพูดของอริยะมิ่งจีที่กล่าวว่ามหาเคราะห์กำลังจะสิ้นสุด ก็อดถามขึ้นมาในใจไม่ได้ ‘ข้าสามารถคำนวณได้หรือไม่ว่าอีกนานเพียงใดกว่ามหาเคราะห์จะสิ้นสุดลง’
[จำเป็นต้องหักอายุขัยหนึ่งหมื่นล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]
หักเยอะขนาดนั้นเชียว
แต่เมื่อเทียบกับอายุขัยที่สูญเสียไปกับคำสาปแช่ง แค่นี้ถือว่าเล็กน้อย
ดำเนินการ!
หานเจวี๋ยครุ่นคิดอย่างเงียบงัน ไม่ทันรู้ตัวเขาก็กลายเป็นคนที่ไม่สนใจอายุขัยหมื่นล้านอีกต่อไป เขารู้สึกว่าตัวเขากำลังลำพองใจ
ใครจะคิดว่าเขาจะสามารถแข็งแกร่งได้ถึงระดับนี้!
[อ้างอิงจากระดับแรงกรรมมรรคาสวรรค์ อย่างมากที่สุดภายในหนึ่งพันปี มรรคาสวรรค์จะหดตัวลง มหาเคราะห์จะถึงกาลอวสาน นอกเสียจากมรรคาสวรรค์จะพังทลายไปเอง]
‘พันปี? เร็วมาก!’
หานเจวี๋ยขมวดคิ้วแน่น แค่พันปี เขาไม่อาจไปถึงระดับเซียนทองต้าหลัวระยะสมบูรณ์ได้อย่างแน่นอน ความคิดที่จะสาปแช่งอริยะมิ่งจีดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้เสียแล้ว
‘เหตุใดถึงเร็วขนาดนี้? เป็นเพราะอริยะเข้าร่วมด้วยใช่หรือไม่’
หานเจวี๋ยคิดว่าเป็นเพราะเหตุผลนี้
เขาเปิดจดหมายขึ้นมาอ่านต่อทันที
[โจวฝานสหายของท่านสละดวงชะตา ได้มรรคาสวรรค์ชี้ทางเบิกปัญญา พลังมรรคเพิ่มขึ้นฉับพลัน]
[โจวฝานสหายของท่านถูกอริยะมรรคาสวรรค์สะกด ตัวตายมรรคผลสลาย]
[ฉิวซีไหลสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากอริยะมรรคาสวรรค์]
[ซูฉีลูกศิษย์ของท่านเผยแพร่ความวินาศ ดวงชะตาวังสวรรค์ตกต่ำ ดวงชะตาเผ่ามนุษย์ตกต่ำ]
[จี้เซียนเสินสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากหลงเฮ่าลูกศิษย์ของท่าน ได้รับบาดเจ็บสาหัส]
[ฟางเหลียงศิษย์หลานของท่านนำพลังจากดวงชะตาของวังสวรรค์มาต่อกรกับอริยะมรรคาสวรรค์ ถูกสะกดอย่างไร้ความปรานี หลงเหลือเพียงเศษเสี้ยววิญญาณ]
[โจวฝานสหายของท่านได้รับความช่วยเหลือจากตัวตนลึกลับ ฟื้นคืนชีพกลับมาอีกครั้ง]
[จักรพรรดิสวรรค์สหายของท่านจิตสังหารพลุ่งพล่าน เนื่องจากแรงกรรมพันพัวกาย]
…
โจวฝานถูกอริยะสังหาร! แล้วก็ฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีก! สมกับเป็นวัชระของอริยะเจ็ดวิถี!
อริยะเจ็ดวิถีต้องเป็นสิ่งมีชีวิตในระดับเดียวกันกับปรมาจารย์ลัญจกรสรวงเป็นแน่ หากเขาเป็นผู้ลงมือ อริยะมรรคาสวรรค์คนอื่นอาจสัมผัสไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
ปรมาจารย์ลัญจกรสรวงไม่แยแสต่อมรรคาสวรรค์ และเหตุใดอริยะเจ็ดวิถีถึงได้ช่วยเหลือโจวฝานมาโดยตลอด เป้าหมายของการส่งโจวฝานลงมาเวียนว่ายในวัฏจักรคืออะไรกันแน่
หานเจวี๋ยสัมผัสได้ถึงความล้ำลึกของมหาเคราะห์ครั้งนี้มากขึ้นเรื่อยๆ
“จากนี้จะไม่ออกไปไหนอีกแล้ว ข้าจะคอยสาปแช่งอยู่ที่นี่ ถ้าขวางไม่ได้ก็ช่างเถิด”
หานเจวี๋ยครุ่นคิดอย่างเงียบงันว่าตนเองไม่ได้ตายยากอย่างโจวฝาน ที่มีเกราะคุ้มกันดวงจิตมหามรรค
อริยะเที่ยวอาละวาดไปทั่วแดนเซียน ออกไปเขาก็ซี้แหงแก๋น่ะสิ!
หานเจวี๋ยตัดสินใจอย่างแน่วแน่ พร้อมที่จะเอาตัวรอดจากมหาเคราะห์ในครั้งนี้
‘ข้าต้องคำนวณรากเหง้าของข้า เพื่อหาที่มาของระบบหรือไม่?’
หานเจวี๋ยพลันเกิดความคิดสุดโต่งขึ้นมา
เขาทดลองในทันที จากนั้นไม่นาน หน้าจอแสดงคุณสมบัติก็ปรากฏขึ้นมาเบื้องหน้าของเขา
เขาพูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว
…
ฝึกบำเพ็ญเนิ่นนานไร้วันคืน ความฝันอันยิ่งใหญ่อยู่ห่างไกลนับพันปี
ห้าสิบปีผ่านไปอีกครา
หานเจวี๋ยสาปแช่งอริยะมิ่งจีทุกๆ สิบปี แต่ผลลัพธ์กลับน้อยนิดยิ่งนัก
เขายังคงติดตามข่าวคราวผ่านจดหมายอย่างใกล้ชิด คอยตรวจสอบความเคลื่อนไหวของเหล่าอริยะเป็นระยะๆ
การปรากฏตัวของเหล่าผู้ฝ่าเคราะห์อย่างโจวฝาน จี้เซียนเสิน ฟางเหลียง ต้วนหงเฉิน จักรพรรดิสวรรค์ และผานซิน นับวันก็ยิ่งถี่มากขึ้นเรื่อยๆ
มหาเคราะห์มรรคาสวรรค์กำลังหดย่อลง สงครามอันสั่นสะเทือนกำลังก่อตัวขึ้น
อยู่มาวันหนึ่ง จ้าวเซวียนหยวนก็เข้ามาคารวะหานเจวี๋ย
เมื่อเข้ามาถึงภายในถ้ำเทวา เขาก็บอกความประสงค์ของตนทันที
“ท่านอาจารย์ ช่วงนี้ข้าจิตใจร้อนรุ่ม รู้สึกเหมือนกำลังจะมีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้น ไม่อาจฝึกบำเพ็ญอย่างสงบใจได้เลย” จ้าวเซวียนหยวนขมวดคิ้ว
หานเจวี๋ยกล่าวอย่างใจเย็นว่า “มหาเคราะห์กำลังจะสิ้นสุด ดวงชะตาของเผ่ามนุษย์จึงกระทบต่อตัวเจ้า”
จ้าวเซวียนหยวนตกตะลึง พลางเอ่ยขึ้น “เร็วขนาดนี้เชียวหรือ? คงไม่ได้หมายความว่าสงครามใหญ่กำลังจะปะทุขึ้นหรอกนะขอรับ ท่านสามารถคำนวณโชคชะตาของเผ่ามนุษย์ได้หรือไม่”
………………………………………………..