บทที่ 448 ความหวาดกลัวของเฮ่าเทียน สำนักพุทธล่มสลาย
“เผ่ามนุษย์กำลังตกอยู่ในอันตราย”
หานเจวี๋ยกล่าวอย่างราบเรียบ จ้าวเซวียนหยวนที่ได้ยินเช่นนั้นก็ทำหน้าเหยเก
แม้ว่าเขาจะละทิ้งเผ่ามนุษย์มาหลบซ่อนตัวอยู่ในสำนักซ่อนเร้นแล้ว แต่ในใจก็ยังห่วงหาอาวรณ์เผ่ามนุษย์อยู่
จ้าวเซวียนหยวนเอ่ยถามเสียงพึมพำ “อริยะฝูซีก็ช่วยเผ่ามนุษย์ไว้ไม่ได้หรือ”
หานเจวี๋ยไม่ตอบ
เขาเชื่อว่าจ้าวเซวียนหยวนสามารถรู้ได้ด้วยตนเอง ชายผู้นี้มาที่นี่ก็เพราะเขากลัวตาย
มาถึงตอนนี้ต่อให้ไล่จ้าวเซวียนหยวนออกไปพร้อมกับยอดสมบัติ เขาคงจะไม่ยอมเป็นแน่
ทั้งสองสนทนากันต่ออีกครู่หนึ่ง จ้าวเซวียนหยวนจึงจากไป
ไม่กี่เดือนให้หลัง ก็มีคนมาเยี่ยมเยียนหานเจวี๋ยอีกครา
ครั้งนี้เป็นมู่หรงฉี่ อีกฝ่ายมาหาเขาด้วยอาการร้อนใจเช่นกัน
หานเจวี๋ยครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะลุกขึ้น เดินออกไปจากถ้ำเทวาฟ้าประทานและเรียกแสนยานุศิษย์ให้มารวมตัวกัน
“อย่างมากที่สุดอีกหนึ่งพันปี มหาเคราะห์จะสิ้นสุดลง ไม่ว่าใครจะแพ้หรือชนะ ก็จะต้องมีสิ่งมีชีวิตมหาศาลนับไม่ถ้วนต้องถูกฝังทั้งเป็น ความรู้สึกทางจิตใจที่พวกเจ้าได้รับในตอนนี้เป็นผลกระทบมาจากผลกรรมมรรคาสวรรค์ พวกเจ้าคงไม่อยากเข้าสู่เคราะห์กันหรอกใช่หรือไม่”
หานเจวี๋ยกล่าวอย่างตรงไปตรงมา และเมื่อพูดจบ ทุกคนก็พากันส่ายหน้า
สุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้นกล่าวขึ้น “ข้าไม่อยากออกไปข้างนอก จากนี้ไปข้าก็จะอยู่ที่นี่”
คนอื่นๆ ส่งเสียงคล้อยตาม
“มหาเคราะห์ครั้งนี้ช่างรวดเร็วเหลือเกิน!”
“รวดเร็วจริงๆ นั่นล่ะ มหาเคราะห์ก่อนหน้านี้กินเวลานานเป็นหมื่นๆ ปี บางครั้งก็ยาวนานไปจนถึงหลายล้านปี”
“หลายล้านปี? นานขนาดนั้นเชียวหรือ”
“ตามตำนานเล่าว่าเมื่อนานมาแล้ว แดนเซียนในอดีตนั้นกว้างใหญ่ไพศาลเสียยิ่งกว่าในตอนนี้ มีสิ่งมีชีวิตอยู่มากมาย ก้อนหินทุกก้อนล้วนสามารถกลายเป็นสิ่งมีชีวิตได้”
“ในที่สุดก็ถึงคราวสิ้นสุดลงสักที หลังจากมหาเคราะห์จบสิ้นลงแล้ว พวกเราจะได้กลับไปยังแดนเซียนหรือไม่”
…
เมื่อได้ฟังคำพูดของเหล่าศิษย์ หานเจวี๋ยก็ยิ้มพร้อมกับกล่าวว่า “หากไม่มีอันตรายหลังจากมหาเคราะห์ อาณาเขตเต๋าจะเคลื่อนย้ายไปยังแดนเซียน แต่เมื่อถึงแดนเซียนแล้ว พวกเจ้าก็ต้องขยันหมั่นเพียรฝึกบำเพ็ญกันต่อไปล่ะ”
หลังจากมหาเคราะห์สิ้นสุดลง อริยะจะไม่สามารถเข้าไปยังแดนเซียนได้อีกและจะถูกขับไล่โดยมรรคาสวรรค์
หานเจวี๋ยไม่ได้มีศัตรูมากมาย เบื้องหน้าของเขาเรียกได้ว่าแทบจะไร้ศัตรูเสียด้วยซ้ำ ดังนั้นเขาจึงไม่เกรงกลัวที่จะกลับไปยังแดนเซียน
ยังเร็วเกินไปที่โลกดาราของหานเจวี๋ยจะกลายเป็นโลกมรรคาสวรรค์ ไม่อาจรู้ได้เลยว่าต้องรอคอยไปอีกเนิ่นนานเพียงใด
ส่วนโลกเขย่าพิภพหานเจวี๋ยก็ไม่คิดจะปล่อยมันไป หลังจากนี้เขาจะให้โลกเขย่าพิภพเหนี่ยวนำให้โลกมรรคาสวรรค์ของตนเกิดการวิวัฒนาการ
โลกเขย่าพิภพในปัจจุบันกลายเป็นโลกอีกใบหนึ่งแล้ว เป็นลักษณะเดียวกับโลกเมื่อชาติก่อน ไม่ได้สำเร็จกลายเป็นโลกเซียนแต่อย่างใด
ในยามปกติ เซียนทองต้าหลัวนับเป็นตัวตนที่อยู่บนจุดสูงสุดของแดนเซียน ตราบใดที่หานเจวี๋ยไม่สร้างปัญหา การครอบครองทุกอย่างไว้แต่เพียงผู้เดียวย่อมไม่ใช่เรื่องยาก
ถึงเวลาที่เขาจะพัฒนาสำนักซ่อนเร้น เพื่อต่อกรกับมหาเคราะห์ไร้ขอบเขตครั้งถัดไปแล้ว
สำหรับสำนักซ่อนเร้นนั้น หานเจวี๋ยไม่ได้มีแผนที่จะใช้กำลังของสำนักเพื่อครอบครองโลก แต่ต้องการที่จะพัฒนาความแข็งแกร่ง รวบรวมเหล่าผู้มีใจฝักใฝ่ไปในทางเดียวกันเพื่อก้าวไปสู่มหามรรค
ในภายภาคหน้า หากคิดจะทำการใดก็สามารถสั่งการให้เหล่าศิษย์ไปกระทำแทนได้
สำนักซ่อนเร้นกำลังจะก้าวเดินไปบนเส้นทางที่สุดแสนยอดเยี่ยม!
“นายท่าน หยางเทียนตงเล่า เมื่อไรจะเรียกตัวเขากลับมาหรือขอรับ” สุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้นเอ่ยถาม
อย่างไรเสียพวกเขาก็เคยผ่านร้อนผ่านหนาวด้วยกันมานาน ไม่มีทางลืมมิตรภาพที่เคยมีร่วมกันได้
หานเจวี๋ยกล่าว “เมื่อถึงเวลา เขาจะกลับมาเอง”
หยางเทียนตงตัดขาดจากวัฏจักรชั่วคราว ตอนนี้เขากำลังต่อสู้กับเหล่าเทพเซียนอยู่ในกองทัพเผ่ามนุษย์ ตบะของเขาไม่สูงนัก จึงเป็นได้เพียงเป้ากระสุนปืนใหญ่เท่านั้น
หลังจากบำรุงขวัญแก่ทุกคนแล้ว หานเจวี๋ยก็กลับเข้าไปในถ้ำเทวาฟ้าประทานอีกครั้ง
ไม่ว่ามหาเคราะห์จะจบลงเมื่อใด หานเจวี๋ยก็ยังต้องเร่งฝึกบำเพ็ญ
หากไม่มีพลังอันเที่ยงแท้ เขาก็ไม่อาจหาญกลับไปเหยียบแดนเซียนอีกครั้ง
…
ณ ถ้ำภูเขาแห่งหนึ่ง
หลงเฮ่ากำลังนั่งสมาธิรักษาอาการบาดเจ็บอยู่บนหินยักษ์ก้อนหนึ่ง สีหน้าของเขาดูไม่ดีนักเห็นได้ชัดว่าเพิ่งได้รับบาดเจ็บสาหัสมา
ทันใดนั้น ภูเขาก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ก้อนกรวดจำนวนนับไม่ถ้วนหล่นลงมาและกลายเป็นเถ้าถ่านเมื่อใกล้จะกระทบกับตัวหลงเฮ่า
หลงเฮ่าลืมตาขึ้น มองออกไปยังปากถ้ำ เห็นสิ่งมีชีวิตรูปร่างสูงใหญ่เท่าภูเขาสองตนกำลังห้ำหั่นกันอยู่ภายนอกถ้ำ
ด้านหนึ่งเป็นยักษ์สวมเกราะเกล็ดและถือขวานขนาดใหญ่
อีกด้านหนึ่งคือนกยักษ์ที่มีกายดั่งพญาอินทรี หัวเหมือนเสือโคร่ง พร้อมด้วยกรงเล็บที่แหลมคม แวววาวดั่งเหล็กหลอม
หลงเฮ่าขมวดคิ้ว และบ่นพึมพำ “เจ้าพวกนี้เสียสติไปแล้วหรือไร”
วิญญาณตนหนึ่งบินโฉบออกมาจากตัวเขา คือเฮ่าเทียนนั่นเอง
สีหน้าของเฮ่าเทียนเคร่งขรึม เขากล่าวขึ้น “นึกไม่ถึงว่ามหาเคราะห์จะดำเนินไปรวดเร็วเช่นนี้ คงจะมีอริยะกวาดล้างสรรพชีวิต ส่งผลให้แรงกรรมเพิ่มขึ้นจนถึงขีดจำกัดที่มรรคาสวรรค์จะรับได้ แรงกรรมเข้าเหยียบย่ำมรรคจิตของสรรพสิ่ง การคัดสรรครั้งใหญ่กำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว”
หลงเฮ่าได้ยินดังนั้นก็พลันเกิดอาการปวดศีรษะ และถามขึ้นว่า “เช่นนั้นข้าควรทำเช่นไร ข้าคิดว่าพวกเราไม่อาจลุกขึ้นสู้ได้อีกต่อไป แค่ยังมีชีวิตอยู่ก็นับว่าดีมากแล้ว”
ก่อนที่เขาจะเข้าร่วมกับวังสวรรค์ ต่อสู้เพื่อวังมังกรนั้น วังมังกรที่เขาเป็นผู้นำเผชิญกับการกดขี่จากอริยะ จนทำให้กองทัพล่มสลาย มีเพียงเขาผู้เดียวเท่านั้นที่หนีรอดมาได้
เหตุผลที่อริยะไม่สังหารเขา ก็เป็นเพราะเห็นแก่หน้าของเฮ่าเทียน
“ไร้สาระ ตอนนี้ทำได้เพียงต้องคิดหาหนทางผ่านมันไปให้ได้ เมื่ออริยะเข้าสู่เคราะห์ แผนการที่ข้าคำนวณมาทั้งหมดล้วนสลายกลายเป็นหมอกควัน ไม่มีโอกาสพลิกมาชนะได้อีก” เฮ่าเทียนส่ายศีรษะขณะกล่าว
เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและกล่าวว่า “สิ่งที่เร่งด่วนที่สุดคือทำมรรคจิตให้มั่นคง อย่าได้ถูกแรงกรรมชักนำให้เกิดจิตสังหาร จนสูญเสียสติไป”
หลงเฮ่าถอนหายใจและกล่าวด้วยความสับสน “เหตุใดข้าถึงสังหรณ์ใจว่าเหล่าอริยะกำลังจะกวาดล้างสิ่งมีชีวิตในมือของฝ่ายตรงข้าม พวกเขาปรากฏตัวขึ้นเป็นระยะ ทั้งยังสังหารหมู่สรรพชีวิตเพื่อปกป้องกลุ่มอิทธิพลของตน หากแต่อริยะเหล่านั้นกลับไม่ต่อสู้กันเอง”
การแก่งแย่งชิงอำนาจกลายเป็นการสังหารล้างเผ่าพันธุ์ แม้แต่หลงเฮ่าก็ยังรู้สึกหวาดกลัว เขามักจะหวาดระแวงกับการปรากฏตัวของอริยะอยู่บ่อยครั้ง
“เจ้าคาดเดาถูกแล้ว การกวาดล้างเผ่าพันธุ์ทำให้แรงกรรมในโลกาสวรรค์ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น เร่งกระบวนการของมหาเคราะห์ให้เร็วขึ้น เหล่าอริยะก็ต่อสู้กันเองอยู่ แต่ก็เพราะเป็นอริยะจึงเข่นฆ่าอย่างไรก็ไม่ตาย ดังนั้นนี่จึงเป็นเพียงละครปาหี่หลอกลวงเผ่ามนุษย์และวังสวรรค์เท่านั้น” เฮ่าเทียนกล่าวอย่างเฉยเมย
อย่างไรเสียเขาก็เคยผ่านมหาเคราะห์มาแล้ว จึงมองเห็นเรื่องราวหลายๆ อย่างได้ทะลุปรุโปร่ง
หลงเฮ่ายังคงสับสน เขาถามขึ้นว่า “ทำเช่นนี้ไป แล้วอริยะจะได้อะไรเล่า”
เฮ่าเทียนส่ายหน้า แล้วจึงกล่าว “ข้าเองก็ไม่รู้”
เขาทอดสายตามองการต่อสู้อันน่าสยดสยองภายนอกถ้ำ พลางขมวดคิ้วแน่น
อันที่จริงเขาพอจะคาดเดาอะไรบางอย่างได้ เพียงแต่ไม่กล้าที่จะเอ่ยออกไป
หากเป็นเช่นที่เขาคิดจริง มหาเคราะห์ครั้งนี้ก็เป็นเพียงการปูทางเพื่อนำไปสู่มหาเคราะห์ที่แท้จริงอันแสนน่าสะพรึงกลัวที่กำลังก่อตัวขึ้นเท่านั้น
นี่คงไม่ใช่…มรรคามหาเคราะห์ในตำนานหรอกกระมัง?
เฮ่าเทียนตกตะลึงไปทันที ความหวาดกลัวเกาะกินหัวใจของเขา
…
เจ็ดสิบปีผ่านไป
อาจเป็นเพราะไม่มีผู้ใดมารบกวน หานเจวี๋ยจึงรู้สึกว่าเจ็ดสิบปีช่างผ่านไปอย่างรวดเร็วนัก ราวกับว่าได้สาปแช่งอริยะมิ่งจีทุกวัน
จนกระทั่งวันหนึ่งที่หานเจวี๋ยได้เห็นจดหมายแจ้งฉบับหนึ่ง
[ซูฉีลูกศิษย์ของท่านถูกสะกดโดยอริยะมิ่งจีศัตรูคู่อาฆาตของท่าน ถูกจองจำในสำนักพุทธ หายนะไร้ขอบเขตแพร่กระจาย]
‘อริยะมิ่งจีสะกดซูฉี?
ยืมมือคนอื่นฆ่าคน!’
หานเจวี๋ยแอบก่นด่าในใจ นี่เขาจงใจใช้ซูฉีทำลายสำนักพุทธชัดๆ!
หานเจวี๋ยรีบหยิบหนังสือแห่งความโชคร้ายออกมาและสาปแช่งอริยะมิ่งจีทันที
ทว่าคำสาปแช่งของเขากลับไร้ผล อริยะมิ่งจีไม่รู้สึกสะทกสะท้านแต่อย่างใด
เวลาผ่านไปอีกราวสามสิบปี
หานเจวี๋ยเห็นจดหมายอีกฉบับ สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
[ซูฉีลูกศิษย์ของท่านเผยแพร่ความโชคร้าย ทำให้ดวงชะตาสำนักพุทธดับสูญ มรรคผลของพุทธาเทพแตกสลาย สำนักพุทธล่มสลาย]
สำนักพุทธหายไปแล้ว?
ซูฉีฝีมือร้ายกาจถึงเพียงนี้เชียวหรือ
ไม่สิ
จะต้องเป็นฝีมือของอริยะมิ่งจีคอยบงการอยู่เบื้องหลังเป็นแน่!
หานเจวี๋ยขมวดคิ้วแน่น
ซูฉีไปกระตุกหนวดเสือของฉิวซีไหลเข้าให้เสียแล้ว ไม่รู้ว่าฉิวซีไหลจะมองออกหรือไม่ว่าซูฉีถูกอริยบุคคลอื่นหลอกใช้
ในขณะที่หานเจวี๋ยกำลังรู้สึกกังวลอยู่นั้น
[ฉิวซีไหลต้องการเข้าฝันท่าน ยอมรับหรือไม่]
[ฉิวซีไหลต้องการเข้าฝันท่าน ยอมรับหรือไม่]
…
คนผู้นี้เริ่มกระหน่ำคำขอเข้าฝันมาอีกแล้ว!
………………………………………………..