บทที่ 487 ครึ่งอริยะระยะปลาย ปราณม่วงอนธการ
การยกระดับหนังสือแห่งความโชคร้ายครั้งนี้ใช้เวลาสามสิบปี ซึ่งเวลาสามสิบปีในช่วงเวลาเช่นนี้ไม่ถือว่ามากมายอะไร
[หนังสือแห่งความโชคร้ายยกระดับจากยอดสมบัติต้าหลัวเป็นยอดสมบัติมรรคาสวรรค์]
ไม่มีระดับครึ่งอริยะ!
ขึ้นไปสู่ระดับมรรคาสวรรค์ทันที!
หานเจวี๋ยอารมณ์ดีเป็นอย่างยิ่ง
เขาไม่ได้สาปแช่งอริยะมิ่งจีทันที แต่ฝึกบำเพ็ญต่อไป
เขาเข้าใกล้การทะลวงระดับมากแล้ว ก่อนอื่นฝึกบำเพ็ญให้ถึงระดับครึ่งอริยะระยะปลายให้ได้แล้วค่อยว่ากัน!
ผ่านมากว่าหกพันปีนับตั้งแต่การทะลวงระดับครั้งล่าสุด
หานเจวี๋ยมองย้อนกลับไปและรู้สึกว่าเวลาช่างผ่านรวดเร็วยิ่งนัก ราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้
ยุคแรกๆ ของมรรคาสวรรค์ที่ไร้ซึ่งความชิงชัง และการต่อสู้ เส้นแบ่งของเวลาเลือนราง ทุกคนต่างยุ่งอยู่กับการฝึกบำเพ็ญ
แม้ว่าจะมีสำนักดวงชะตาอันยิ่งใหญ่ต่างๆ เที่ยวสัญจรไปมาในแดนเซียน แต่แดนเซียนก็ยังกว้างใหญ่มากพอให้หาพื้นที่เพื่อฝึกบำเพ็ญได้อย่างไม่ยากเย็น
อีกด้านหนึ่ง
ชั้นฟ้าที่สามสิบสาม
ภายในพระราชวัง อริยะมิ่งจีรู้สึกกระวนกระวายใจขึ้นมากะทันหัน
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด เขาถึงได้รู้สึกเหมือนหายนะกำลังจะมาถึงตัว ความรู้สึกนี้ไม่เคยเกิดขึ้นอีกเลยหลังจากที่เขาได้พิสูจน์มรรคแล้ว
เขานึกถึงเจ้าแดนต้องห้ามอันธการก่อนเป็นอันดับแรก
ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา เจ้าแดนต้องห้ามอันธการไม่ได้สาปแช่งเขา
หรือว่าเขากำลังเตรียมการทำอะไรบางอย่าง?
ยิ่งคิดอริยะมิ่งจียิ่งร้อนรนใจ
เขายังคิดอีกว่าอริยะผู้อื่นที่ใกล้ชิดกับเขาในช่วงนี้ ดูเหมือนจะปลีกตัวออกห่าง
“ไม่ได้การ ข้าต้องหาพันธมิตรสักคน ฉิวซีไหลพึ่งพาไม่ได้”
อริยะมิ่งจีดวงตาลุกโชน ลุกขึ้นและจากไปทันที
…
สามร้อยปีต่อมา
ในที่สุดโอกาสทะลวงระดับของหานเจวี๋ยก็มาถึง
เขาปิดด่านฝึกฝนทันที และเริ่มการทะลวงระดับ ใช้เวลาห้าสิบปี การทะลวงระดับก็ประสบความสำเร็จ
หานเจวี๋ยรู้สึกสดชื่นทั้งร่างกายและจิตใจ จากนั้นก็เปิดหน้าต่างค่าสถานะขึ้นมาดู
[ชื่อ: หานเจวี๋ย]
[อายุขัย: 20380/6, 790, 009, 999, 999, 999, 999, 999]
[เผ่าพันธุ์: เทพมารอนธการ (มหาจักรพรรดิไร้ขอบเขต)]
[ตบะ: ระดับเตรียมเซียนทองต้าหลัวเบิกฟ้า ระยะปลาย]
[วิชายุทธ์: มหามรรควัฏจักรอนธการ (ระดับมหามรรค) วิชาชุบร่างวัฏจักรดารา]
[มหามรรค: มหามรรคเวียนว่ายตายเกิด มหามรรคแห่งกรรม มหามรรคต้นกำเนิด]
…
ชื่นใจจริงๆ!
อายุขัยเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าอีกแล้ว!
หนทางสู่การเป็นอริยะของหานเจวี๋ยใกล้เข้ามาแล้ว!
เขาทำให้ตบะเสถียรต่อ รอให้ตบะเสถียรดีเสียก่อน เขาจะปลิดชีพอริยะมิ่งจีให้ได้!
สี่สิบเก้าปีต่อมา
ตบะของหานเจวี๋ยมั่นคงในที่สุด
ขณะที่เขากำลังจะหยิบหนังสือแห่งความโชคร้ายออกมา ทันใดนั้นเอง กลิ่นอายอันทรงพลังก็พุ่งเข้ามา
เขาส่งจิตรับรู้ออกไปตรวจสอบ พบเพียงปราณกระบี่ที่ลอยคว้างมาจากสุดปลายขอบฟ้า พุ่งเข้าใส่ฝ่ามือของจู่ถู แบ่งฝ่ามือของเขาออกเป็นสองส่วน โลหิตไหลเจิ่งนองไปทั่วบริเวณ
ฝ่ามือสองซีกนั้นสั่นสะท้านอย่างรุนแรง ขณะกำลังจะเชื่อมต่อกัน ปราณกระบี่ก็เชือดเฉือนสลับกันไปมา จนฝ่ามือของจู่ถูขาดสะบั้นเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
หานเจวี๋ยเลิกคิ้วขึ้น
ช่างเป็นปราณกระบี่ที่แข็งแกร่งนัก!
อีกฝ่ายอย่างน้อยต้องเป็นครึ่งอริยะ!
อีกทั้งปราณกระบี่ดังกล่าวยังดูแล้วคุ้นตามาก
หานเจวี๋ยเพ่งมองอย่างพินิจ และเห็นนักดาบชุดขาวขี่ปราณกระบี่บินโฉบมา
หืม?
นี่มันหลี่เต้าคงไม่ใช่หรือ
หลี่เต้าคงลอยมาหยุดอยู่เบื้องหน้าฝ่ามือของจู่ถู เขามองลงไปยังเศษเนื้อที่กระจัดกระจายไปทั่วภูเขาและที่ราบ พลางขมวดคิ้วน้อยๆ
‘แก่นแท้ของไอชั่วร้ายนี้คือไอมาร หรือว่าบรรพชนมารกำลังใช้เล่ห์กลใดอยู่’ หลี่เต้าคงครุ่นคิดอย่างเงียบงัน
เขาไล่สายตาไปเรื่อยๆ จนไปหยุดที่เขตเซียนร้อยคีรี
เขาเคยได้ยินชื่อของเขตเซียนร้อยคีรีมานานแล้ว
ที่เขามาในครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพราะฝ่ามือของจู่ถู แต่เป็นเพราะเขตเซียนร้อยคีรี
เขาบินมาหยุดลงเบื้องหน้าของเขตเซียนร้อยคีรี ยกมือขึ้นสัมผัสค่ายกลที่ไร้รูปร่าง เขาลอบกระตุ้นพลังเวทของตน แต่กลับรู้สึกเหมือนถูกพลังที่แข็งแกร่งมากมาขวางกั้น ทำให้พลังของเขาสลายไปในทันใด
ช่างเป็นค่ายกลที่ยิ่งใหญ่จริงๆ!
หลี่เต้าคงเลิกคิ้วขึ้น เขาเอ่ยปากขึ้นว่า “เจ้าสำนักซ่อนเร้น ข้าคือหลี่เต้าคง ศิษย์เอกนิกายเหริน ตั้งใจมาที่นี่เพื่อขอคำแนะนำเรื่องพลังมรรคจากเจ้า!”
เขาได้ยินชื่อสำนักซ่อนเร้นมานานแล้ว และรู้ด้วยว่าเจ้าสำนักซ่อนเร้นคือใคร
จักรพรรดิสวรรค์แห่งวังสวรรค์เป็นศิษย์สำนักซ่อนเร้น!
เสียงของหานเจวี๋ยตอบกลับไปอย่างเนิบนาบ “สหายเต๋าหลี่ ท่านแสนเก่งเกาจถึงเพียงนี้ ข้าคงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของท่าน ตัดใจเสียเถิด”
หานเจวี๋ยเอ่ยถามในใจ ‘หลี่เต้าคงมาที่นี่เป็นเพราะคำสั่งของอริยะหรือไม่’
[จำเป็นต้องหักอายุขัยสองพันล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]
ดำเนินการ!
[ไม่ใช่คำสั่งของอริยะ เขาเพียงแต่สงสัยใคร่รู้ในตัวท่านเท่านั้น]
สงสัยใคร่รู้ในตัวข้า
หานเจวี๋ยหมดคำพูด
เจ้าหมอนี่ยังคิดจะรับเขาเป็นศิษย์อยู่อีกหรือ
“หานเจวี๋ย ที่ยังไม่เชื้อเชิญข้าเข้าไปนั่งสนทนา เป็นเพราะกลัวว่าข้าจะทำร้ายเจ้าอย่างนั้นหรือ ข้าหลี่เต้าคงไม่เคยโจมตีหรือเล่นงานใครข้างหลัง”
เสียงของหลี่เต้าคงลอยมาตามลม
หานเจวี๋ยถามต่อในใจ ‘หากข้าอนุญาตให้หลี่เต้าคงเข้ามา ข้าจะมีอันตรายหรือไม่’
[ไม่มี]
ครั้งนี้ไม่หักอายุขัย อาจเป็นเพราะระบบนั้นตรวจสอบแรงจูงใจของหลี่เต้าคงมาก่อนหน้าแล้วก็เป็นได้
หานเจวี๋ยถามต่อ ‘หลี่เต้าคงภักดีต่อนิกายเหรินหรือไม่’
[จำเป็นต้องหักอายุขัยสองพันล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]
ดำเนินการ!
[แม้จะภักดี แต่ก็ไม่ภักดีจนยอมตายถวายหัว]
หานเจวี๋ยหรี่ตาลง รู้สึกว่าน่าจะทำอะไรบางอย่างได้
โครงสร้างของนิกายเหรินมีความซับซ้อน เบื้องหน้าดูเหมือนจะมีเพียงศิษย์เพียงสองคน แต่ในความเป็นจริงแล้วยังมีศิษย์อีกนับไม่ถ้วน เจียงตู๋กูและหลี่เต้าคงเป็นคนของนิกายเหริน ทว่าทั้งสองตั้งตนเป็นศัตรูกัน หลี่เต้าคงจึงเก็บงำความไม่พอใจเอาไว้ข้างใน
หานเจวี๋ยเอ่ยปาก “เข้ามาสิ”
เขาใช้จิตรับรู้ห่อหุ้มตัวของหลี่เต้าคงเข้ามาทันที หลี่เต้าคงถูกเขาพาตัวเข้ามาในอาณาเขตเต๋า จนมาถึงภายในอารามเต๋าโดยไม่ขัดขืน
หลังจากร่อนลงพื้นแล้ว สายตาของหลี่เต้าคงก็ตกไปอยู่บนร่างของหานเจวี๋ย
“เจ้าไปถึงระดับครึ่งอริยะได้แล้ว!”
หลี่เต้าคงพูดด้วยแววตาที่ลุกโชน ในใจรู้สึกตกตะลึง
พรสวรรค์ช่างน่าสะพรึงกลัวโดยแท้!
ตอนที่ได้พบหานเจวี๋ยเป็นครั้งแรก หลี่เต้าคงรู้สึกเพียงว่าเขาเป็นบุตรแห่งสวรรค์คนหนึ่ง แต่เมื่อหนึ่งหมื่นปีผ่านไป บุตรแห่งสวรรค์ผู้นี้ก็ได้ทำลายขีดจำกัดของตนเองแล้ว
หลี่เต้าคงตระหนักถึงคุณสมบัติของตนเป็นอย่างดี ความเร็วในการทะลวงระดับของเขาเองนับว่ารวดเร็วที่สุดในมหาเคราะห์ครั้งก่อน แต่เมื่อเทียบกับหานเจวี๋ย…
เขานึกถึงคำพูดที่หลี่มู่อีบอกกับตน และดูราวกับจะเข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมา
หานเจวี๋ยกล่าวยิ้มๆ “เจ้าต้องปิดด่านฝึกฝนตลอดเวลา จะได้พิสูจน์มรรคเป็นอริยะโดยเร็ว ”
เขาสะบัดมือ เบาะรองนั่งก็ปรากฏขึ้นบนพื้นหนึ่งอัน เขาบอกหลี่เต้าคงให้นั่งลง
หลังจากนั่งลงแล้ว หลี่เต้าคงก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม “พิสูจน์มรรคง่ายดายขนาดนั้นเสียที่ไหน แต่ในระหว่างมหาเคราะห์ครั้งก่อนข้าก็ได้พิสูจน์ดวงชะตาอันยิ่งใหญ่มากพอแล้ว ขาดแต่ปราณม่วงอนธการเพียงอย่างเดียว”
หานเจวี๋ยเอ่ยถาม “ตอนนี้นิกายเหรินมีอริยะมรรคาสวรรค์อยู่หรือไม่”
หลี่เต้าคงตอบ “มี ทว่าอาจารย์ของข้าได้สร้างมรรคาสวรรค์ขนาดเล็กขึ้นมาเอง ไม่ขึ้นตรงกับแดนเซียน”
“เช่นนั้นก็แสดงว่านิกายเหรินเองมีปราณม่วงอนธการอยู่แล้วไม่ใช่หรอกหรือ”
ตอนนี้หานเจวี๋ยรู้จักอริยะมรรคาสวรรค์ทั้งหมดแปดคน
หนี่ว์วา ฝูซีเทียน เทพสูงสุดหนานจี๋ ฉิวซีไหล เจ้านิกายเทียนเจวี๋ย อริยะมิ่งจี อริยะจินอัน มหาจักรพรรดิเซียว หากนับรวมหนี่ว์วาที่ล่วงลับไปแล้ว ก็ยังขาดอริยะมรรคาสวรรค์อีกคนอยู่ดี คนผู้นั้นไม่ได้ปรากฏตัวมานาน เขาจึงคาดเดาว่าอีกฝ่ายน่าจะซ่อนตัวอยู่ในนิกายเหริน
หลี่เต้าคงเอ่ย “ถูกต้อง หากไม่มีอะไรผิดพลาด ข้าก็จะได้เป็นอริยะมรรคาสวรรค์คนต่อไป อยากรับข้าเป็นอาจารย์หรือยัง”
หานเจวี๋ยถาม “เป็นตำแหน่งอริยะของหนี่ว์วา หรือเป็นของนิกายเหริน ”
“ก็ต้องเป็นตำแหน่งของเจ้าแม่หนี่ว์วาอยู่แล้ว”
“อ้อ?”
หานเจวี๋ยรู้สึกสบายใจขึ้นมา ที่แท้คนคนนี้ก็ถูกอริยะหลอกมาเช่นเดียวกัน
หานเจวี๋ยพูดด้วยความประหลาดใจ “อริยะหลี่มู่อีบอกว่าจะมอบปราณม่วงอนธการให้กับข้า เหตุใดถึงได้สัญญากับเจ้าเช่นนั้นล่ะ”
หลี่เต้าคงขมวดคิ้วแน่น
หานเจวี๋ยพูดต่อ “ไม่ใช่เพียงหลี่มู่อีคนเดียว อริยะฉิวซีไหลเองก็พูดว่าจะยกปราณม่วงอนธการของเจ้าแม่หนี่ว์วาให้กับข้าเช่นกัน แต่ให้ข้าไปชิงดวงชะตาอันยิ่งใหญ่และสร้างชื่อเสียงขึ้นมาเสียก่อน ตกลงแล้วเจ้าแม่หนี่ว์วามีปราณม่วงอนธการเท่าไรกันแน่”
หลี่เต้าคงแค่นเสียงกล่าว “ดูท่าทางเจ้ากับข้าจะตกเป็นเบี้ยของอริยะเสียแล้ว น่ากลัวว่าจะไม่ได้มีเพียงเจ้ากับข้าสองคน อันที่จริงที่ข้ามาหาเจ้า ข้ามาด้วยเหตุผลอื่น”
“ข้าอยากจะสร้างนิกายเหรินขึ้นมาใหม่”
………………………………………………..