บทที่ 541 กวาดล้างมารสวรรค์ในสิบลมหายใจ ไร้หนทางถอย
หลี่เต้าคงลอยตัวอยู่กลางนภาสูง ทอดสายตามองออกไป เงากระบี่นับไม่ถ้วนกำลังบุกตะลุยไปทั่วสารทิศในโลกา ไล่ล่าสังหารมารสวรรค์ แออัดเนืองแน่น ตระการตาอย่างยิ่ง
หลี่เต้าคงได้เห็นฉากนี้แล้วหัวใจพลันเต้นรัว
“ที่แท้หมื่นกระบี่ก่อกำเนิดแข็งแกร่งถึงเพียงนี้…นี่คือพลังวิเศษมรรคกระบี่ที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างแน่นอน เพียงแต่ข้ายังศึกษาไม่แตกฉานเท่านั้น”
หลี่เต้าคงพึมพำกับตัวเอง แววตาฉายแววฮึกเหิม
ในเวลานี้ ไม่ใช่เพียงเขาเท่านั้น ผู้ทรงพลังทั้งหมดในแดนเซียนล้วนถูกอานุภาพของหมื่นกระบี่ก่อกำเนิดทำให้ตกตะลึง
ณ ทะเลไร้ขอบเขต บนเกาะกลางทะเลแห่งหนึ่ง
หวงจุนเทียนยืนอยู่บนชายคา มองเงากระบี่ทั่วนภา ท่าทางตื่นเต้น
เขาจำเสียงนั้นได้!
“พลังวิเศษเช่นนี้ต้องเป็นระดับอริยะแน่นอน!”
ในใจหวงจุนเทียนปรีดาอย่างยิ่ง ตนไม่ได้มองคนผิดไปจริงๆ
โชคดีที่เขาเชื่อมั่นในตัวหานเจวี๋ยมาโดยตลอด มิเช่นนั้นหากทรยศหานเจวี๋ย ผลลัพธ์คงไม่อาจคาดคิด
เมื่อหมื่นกระบี่ก่อกำเนิดปรากฏ เวลาผ่านไปไม่ถึงสิบลมหายใจ ฟ้าดินก็เงียบสงัด
มารสวรรค์ในปวงสวรรค์หมื่นโลกาล้วนถูกกวาดล้างจนสิ้น กระบี่นับไม่ถ้วนร่วงดิ่งลงมา เขาสู่เขา เมฆาสู่เมฆา ทุกสิ่งกลับสู่สภาพเดิม
พลังของอริยะ ก็แข็งแกร่งเช่นนี้!
ภายในเขตเซียนร้อยคีรี
หานเจวี๋ยค่อยๆ ลดมือขวาลง
ถ้าเป็นสถานการณ์ปกติ หากพลังศักดิ์สิทธิ์ของเขาสำแดงภายในขอบเขตมรรคาสวรรค์ จะเผชิญกับการต่อต้านจากมรรคาสวรรค์ แต่ยามนี้มรรคาสวรรค์ถูกมารสวรรค์คุกคาม ดวงชะตาลดฮวบ อีกทั้งเขาทำเพื่อกำจัดมารสวรรค์ที่คุกคามมรรคาสวรรค์ มรรคาสวรรค์ไหนเลยจะขัดขวาง
ล้างบางมารสวรรค์ในกระบวนท่าเดียว!
ในใจหานเจวี๋ยเฉยเมยไม่แยแส ถึงอย่างไรพวกนี้ก็เป็นเพียงปลาซิวปลาสร้อย
ศัตรูตัวฉกาจที่แท้จริงยังอยู่บนชั้นฟ้าที่สามสิบสาม
หานเจวี๋ยทอดสายตามองศิษย์นับล้านในเขตเซียนร้อยคีรี ใบหน้าของศิษย์ทุกคนล้วนฉายแววคึกคักเร่าร้อน
“กำจัดมารสวรรค์ในปวงสวรรค์หมื่นโลกาแล้ว นี่คือสิ่งที่พวกเจ้าต้องการใช่หรือไม่”
หานเจวี๋ยเปิดปากกล่าว วาจานี้ทำให้เหล่าศิษย์สำนักซ่อนเร้นรู้สึกตกตะลึงอีกครั้ง
เพิ่งผ่านไปเท่าไรกัน
เมื่อเผชิญหน้ากับคำถามจากหานเจวี๋ย ไม่มีผู้ใดกล้าตอบ ไม่ว่าใครก็ฟังออกว่าหานเจวี๋ยเตรียมจะอบรมพวกเขาอยู่
“เคราะห์ภัยแห่งมรรคาสวรรค์ไม่มีทางกำจัดทิ้งอย่างถาวรได้ วันนี้มารสวรรค์มา วันหน้าจะต้องมีเคราะห์ภัยที่แข็งแกร่งยิ่งกว่ามาแน่ หากพวกเขาอยากพิทักษ์มรรคาสวรรค์จริงๆ ก็ควรมานะฝึกบำเพ็ญ หากว่าศิษย์นับล้านในสำนักซ่อนเร้นของข้า ล้วนเป็นต้าหลัว มรรคาสวรรค์ไยจะไม่คงกระพันเล่า”
วาจาของหานเจวี๋ยดังสะท้อนอยู่ข้างหูเหล่าศิษย์นับล้าน พวกเขาได้ฟังก็รู้สึกละอาย
ฉู่ซื่อเหรินเองก็รู้สึกละอายใจเช่นกัน
พวกเขาคิดว่ามรรคาสวรรค์กำลังจะล่มสลาย แต่พอเห็นหานเจวี๋ยลงมือถึงได้รู้ว่า มหันตภัยล้างโลกานี้ในสายตาของผู้ทรงพลังเป็นเพียงการละเล่นของเด็กน้อยเท่านั้น
หานเจวี๋ยเอ่ยว่า “ไปเถอะ พวกเจ้าจงฝึกบำเพ็ญให้ดี เข้าร่วมสำนักซ่อนเร้นแล้วก็อย่าได้คิดฟุ้งซ่าน ผู้ที่ชุบเลี้ยงพวกเจ้ามิใช่มรรคาสวรรค์ แต่เป็นสำนักซ่อนเร้น”
จากนั้น หานเจวี๋ยก็หายตัวไปจากจุดเดิม กลับไปที่อารามเต๋า
หานเจวี๋ยนั่งสมาธิบนบัวดำล้างโลกสามสิบหกวัฏจักร เรียกดูตัวเลือกของตน เลือกตัวเลือกข้อแรก ออกจากการปิดด่าน สังหารมารสวรรค์
[ขณะนี้ยังกวาดล้างมารสวรรค์ไม่หมดสิ้น ไม่สามารถรับรางวัลได้]
หานเจวี๋ยถอนหายใจ ว่าแล้ว ยังคงต้องจัดการมารมรรคาสวรรค์ถึงจะใช้ได้
เขาซักถามในใจ ‘หากข้าไปช่วยสนับสนุนฉิวซีไหล ทุ่มสมาธิความสนใจและกำลังทั้งหมดไปกับการต่อสู้ จะตายหรือไม่’
[จำเป็นต้องหักอายุขัยหนึ่งหมื่นล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]
ดำเนินการต่อ!
[มีโอกาสตายหนึ่งเปอร์เซ็นต์]
หานเจวี๋ยขมวดคิ้ว
‘ข้าอยากรู้ว่าโอกาสหนึ่งเปอร์เซ็นต์มาจากอะไร’
[จำเป็นต้องหักอายุขัยหนึ่งหมื่นล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]
ดำเนินการต่อ!
[ท่ามกลางความมืดมิด มีร่างจำลองอีกสองตนของมารมรรคาสวรรค์ซ่อนเร้นอยู่ พลังไม่ด้อยไปกว่าตัวจริงเลย]
หานเจวี๋ยพลันกระจ่างแจ้งขึ้นมา
มีของอยู่บ้างนี่เอง
โชคดีที่ผู้เฒ่ามีระบบ มิเช่นนั้นก็อาจถูกร่างจำลองของมารมรรคาสวรรค์ลอบเล่นงานจริงๆ
หานเจวี๋ยเข้าสู่แบบจำลองการทดสอบอีกครั้ง ครั้งนี้ตั้งค่าให้มีมารมรรคาสวรรค์ห้าตนต่อสู้กับตัวเอง
เนื่องจากไม่ทราบรายละเอียดพลังวิเศษจากร่างจำลองทั้งสองของมารมรรคาสวรรค์ เขาจึงสร้างมารสวรรค์ขึ้นมาอีกสองตน หากว่าตนสามารถเอาชนะได้ เช่นนั้นก็ไม่ต้องเกรงกลัวร่างจำลองอีกสองตนแล้ว
ผ่านไปครึ่งชั่วยาม หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น พรูลมหายใจออกมา
ค่อยยังชั่ว
ฆ่าได้แค่ใช้เวลานานไปบ้าง
หานเจวี๋ยใช้แบบจำลองการทดสอบต่อ ร่างจำลองเทพมารทั้งเจ็ดสิบสี่ตนของเขามีความสามารถแตกต่างกันไป หากใช้ประสานกันให้ดี จะแสดงผลลัพธ์น่าอัศจรรย์ออกมา
ตอนนี้เขาเพียงต้องหากลยุทธ์ต่อสู้ที่สามารถสังหารมารมรรคาสวรรค์ทั้งห้าร่างได้โดยเร็ว
….
ณ ชั้นฟ้าที่สามสิบสาม เหล่าอริยะรวมตัวกันอยู่ในตำหนักใหญ่หลังหนึ่ง
เทพสูงสุดหนานจี๋สีหน้าบึ้งตึง เอ่ยเสียงขรึม “พวกเจ้าเห็นแล้วกระมัง พลังของเด็กคนนี้แกร่งกล้ากว่าพวกเราเสียอีก แต่ที่ผ่านมาไม่เคยลงมือเลย!”
ฝูซีเทียนเอ่ยว่า “อันที่จริงเขาไม่มีเหตุผลจำเป็นต้องลงมือเลย เขามิได้พิสูจน์มรรคโดยพึ่งพาดวงชะตามรรคาสวรรค์ แรงกุศลมรรคาสวรรค์บนตัวเขาถึงขั้นที่น้อยนิดยิ่ง”
แววตามหาจักรพรรดิเซียววูบไหว กล่าวว่า “ก่อนหน้านี้เขาน่าจะดูดซับแรงกรรมในแดนชำระบาปเก้าขุมนำมาพิสูจน์มรรค พลังศักดิ์สิทธิ์ของเขาทรงอานุภาพมหาศาลยิ่ง ทำลายล้างมารสวรรค์ได้ในทันที น่ากลัวจริงๆ ต่อให้พวกเราไม่ได้สละดวงชะตามรรคาสวรรค์ ถึงร่วมมือกันก็เกรงว่าคงมิใช่คู่ต่อสู้ของเขา”
เจ้านิกายเทียนเจวี๋ยมีสีหน้าเห็นด้วยอย่างที่หาได้ยาก
เดิมทีพวกเขาต้องก้มหัวให้ฉิวซีไหลแค่คนเดียว แต่ตอนนี้เพิ่มหานเจวี๋ยมาอีกคนแล้ว
“นอกจากนี้ พลังของหานเจวี๋ยสามารถพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเขามิใช่เจ้าแดนต้องห้ามอันธการ เขาไม่จำเป็นต้องลอบสาปแช่งพวกเราเลย” มหาจักรพรรดิเซียวเอ่ยต่อ สายตากวาดมองไปที่อริยะอีกสามราย
เทพสูงสุดหนานจี๋รู้สึกโมโห แต่ก็ไม่อาจโต้แย้งได้
มีเหตุผลจริงๆ หากพวกเขามีพลังเช่นหานเจวี๋ย ไม่สบอารมณ์ผู้ใดขึ้นมา ยังจำเป็นต้องแอบสาปแช่งอีกหรือ
ก่อนหน้าที่เจ้านิกายเทียนเจวี๋ยประกาศกร้าวว่าจะทำลายล้างสำนักซ่อนเร้น หานเจวี๋ยมีเหตุผลให้ลงมือกับพวกเขา ไม่ต้องกลัวเลยว่าจะไม่มีเหตุผลเพียงพอให้ลงมือ
หากว่าหานเจวี๋ยมิใช่เจ้าแดนต้องห้ามอันธการ เช่นนั้นเจ้าแดนต้องห้ามอันธการเป็นผู้ใดอีกเล่า
มหาจักรพรรดิเซียวกล่าวว่า “หลี่มู่อีจากไปในช่วงเวลานี้ ดูมีพิรุธจริงๆ แต่สิ่งที่โจมตีโลกพันอนันต์มิใช่มารสวรรค์”
ฝูซีเทียนขมวดคิ้วเอ่ยว่า “ความหมายของเจ้าคือหลี่มู่อีเล่นละครเอาเองหรือ”
“ถูกต้อง เมื่อศึกนี้สิ้นสุดลงล้วนไม่นับว่าเป็นอริยะมรรคาสวรรค์อีกส่วนฉิวซีไหลก็มีความเป็นไปได้สูงที่จะต่อสู้กับมารมรรคาสวรรค์จนบาดเจ็บกันทั้งสองฝ่าย เมื่อหลี่มู่อีกลับมา ผู้ใดจะกล้าท้าทายเขาเล่า จนถึงตอนนี้ อันที่จริงมีอยู่คนหนึ่งที่ไม่เคยถูกเจ้าแดนต้องห้ามอันธการสาปแช่งเลย นั่นก็คือหลี่มู่อี”
มหาจักรพรรดิเซียวเอ่ยอย่างสงบนิ่งยิ่งนัก ทำให้คนยากจะคาดเดาความคิดในใจได้
เทพสูงสุดหนานจี๋และเจ้านิกายเทียนเจวี๋ยต่างเงียบงัน บังเอิญเกินไปแล้วจริงๆ!
ในเวลานี้เอง
มีเสียงดังสนั่นน่าพรั่นพรึงแว่วมาจากนอกตำหนัก
ท่ามกลางความโกลาหลพลันปรากฏการปริแตกออกเป็นรอยแยกช่องหนึ่ง มีแสงทองสายหนึ่งพุ่งออกมา เป็นฉิวซีไหล
ฉิวซีไหลในยามนี้น่าอนาถอย่างยิ่ง ร่างพุทธองค์สีทองเต็มไปด้วยรอยปริร้าว ราวกับพร้อมแตกเป็นเสี่ยงๆ ได้ทุกเมื่อ
“สหายเต๋าทั้งหลายรีบช่วยข้าที!”
ฉิวซีไหลเอ่ยด้วยความร้อนรน เมื่อสี่อริยะมรรคาสวรรค์ได้ยินก็เคลื่อนย้ายไปขวางอยู่ตรงหน้าฉิวซีไหลทันที
ปากหลุมมืดมิดราวกลับหลุมดำ ใหญ่โตอย่างยิ่ง ด้านในปรากฏดวงตาแดงฉานคู่หนึ่งขึ้น ใหญ่โตยิ่งกว่าตำหนักหลังใดของเหล่าอริยะบนชั้นฟ้าที่สามสิบสาม
มารมรรคาสวรรค์!
“อะไรกัน ผู้ช่วยของเจ้ามีแค่ตัวสวะสี่ตัวนี้หรือ”
เสียงหัวเราะเย็นยะเยือกแว่วออกมา เต็มไปด้วยเจตนาถากถาง
สี่อริยะพลันขุ่นข้อง พากันเรียกอาวุธวิเศษของตนออกมา
พวกเขาล้วนเป็นอริยะมรรคาสวรรค์ ไม่อาจหลีกหนีเช่นเดียวกับหานเจวี๋ยได้ ทำได้เพียงต่อสู้
หากปล่อยให้มารมรรคาสวรรค์เข่นฆ่าทะลวงสามสิบสามชั้นฟ้าไปได้ มรรคาสวรรค์ล่มสลาย พวกเขาก็ต้องตายอยู่ดี!
ฉิวซีไหลกัดฟันเอ่ย “มารสวรรค์ด้านในมากมายยิ่ง จำนวนมากกว่ามารสวรรค์ที่บุกทำลายล้างสรวงสวรรค์ ซ้ำยังมีตบะแก่กล้ากว่าทั้งสิ้น!”
ดวงตาเขาฉายแววหวาดหวั่นแวบหนึ่ง
เขาพยายามซ่อนเร้นไว้อย่างสุดกำลัง เขาจะกลัวไม่ได้
ถ้าเขากลัว มรรคาสวรรค์ต้องล่มสลายจริงๆ แน่!
………………………………………………………………