ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ – บทที่ 555 สำนักไร้วิถีล่มสลาย สามพันปี

บทที่ 555 สำนักไร้วิถีล่มสลาย สามพันปี

หลังจากผู้สดับธรรมทั้งหมดในวังไร้วิถีจากไป หานเจวี๋ยจึงหันหลังเดินเข้าไปในวังไร้วิถี

เทพสูงสุดอู๋ฝ่าไม่ได้ใช้ค่ายกลสกัดหานเจวี๋ย

หานเจวี๋ยค่อยๆ เดินเข้าไป แต่ทุกๆ ก้าวสามารถย่นระยะทางได้มากมายยิ่ง หดย่อพื้นที่ได้อย่างน่าอัศจรรย์

ในไม่ช้า เขาก็มองเห็นเทพสูงสุดอู๋ฝ่า

เทพสูงสุดอู๋ฝ่านั่งอยู่บนหอสูงแห่งหนึ่ง สูงส่งเหนือชั้น วางท่าโอหังยิ่ง เขามองหานเจวี๋ยด้วยความเหยียดหยาม

หานเจวี๋ยรับรู้ได้ชัดเจนว่ารอบข้างมีพลังลึกลับพลุ่งพล่านอยู่

คนผู้นี้กำลังกระตุ้นค่ายกล คิดจะปิดกั้นวังไร้วิถีจากโลกภายนอก

หานเจวี๋ยหยุดเท้า สูดหายใจลึกๆ คราหนึ่ง เอ่ยว่า “เทพสูงสุด ที่มาในครั้งนี้ ข้าอยากน้อมรับท่านเป็นนาย”

เทพสูงสุดอู๋ฝ่าได้ฟังก็หรี่ตาพลางถาม “จริงหรือ”

เขานึกว่าหานเจวี๋ยมาหาเรื่อง

เขาไม่ได้เชื่อคำพูดของหานเจวี๋ยไปเสียทั้งหมด

ก่อนหน้านี้หานเจวี๋ยเคยตอบโต้เขากลับมาหนึ่งฝ่ามือ เห็นได้ชัดว่าพลังไม่อ่อนด้อยเลย

หานเจวี๋ยเอ่ยว่า “ข้าอาศัยพลังพิสูจน์มรรค ไม่อยากถูกมรรคาสวรรค์ลิขิตชะตา หากเทพสูงสุดรวมมรรคาสวรรค์เป็นหนึ่งได้ สำหรับข้านับเป็นเรื่องดี ข้าจะได้สงบใจบำเพ็ญ ไม่ถูกรบกวน”

เทพสูงสุดอู๋ฝ่าถามอีกครั้ง “จริงหรือ”

“จริงแท้”

“เช่นนั้นเจ้าจงคุกเข่าลง”

หานเจวี๋ยสบถในใจ ไอ้ตัวสุนัข วางท่าผยองเสียจริงนะ

สองขาเขาเริ่มย่อโค้ง ทำท่าจะคุกเข่าลง

เพิ่งจะงอเข่า เขาก็ลงมือทันที

ร่างจำลองเทพมารตนหนึ่งพลันผุดขึ้นเหนือศีรษะหานเจวี๋ย เคลื่อนไหวดั่งสายฟ้า พุ่งเข้าใส่เทพสูงสุดอู๋ฝ่าปานเสือหิวโหยขย้ำเหยื่อ

เทพสูงสุดอู๋ฝ่าซัดฝ่ามือต้าน แต่ร่างจำลองเทพมารเคลื่อนไหวว่องไวกว่า โถมเข้าครอบคลุมเขา

เทพมารพันธนาการ!

นี่คือหนึ่งในร่างจำลองเทพมารล่าสุดหานเจวี๋ยเพิ่งทำความเข้าใจ สามารถกักขังสรรพสิ่งในฟ้าดิน ถึงขั้นที่กักขังมรรคาสวรรค์และมหามรรคได้

พลังเวทของเทพสูงสุดอู๋ฝ่าโจมตีใส่ร่างเทพมารพันธนาการ ทว่ากลับไม่เป็นผลอย่างสิ้นเชิง

สีหน้าเขาแปรเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด หยิบกระบี่ยาวส่องประกายขาวสว่างเล่มหนึ่งออกมา ในเวลานี้ หานเจวี๋ยพุ่งเข้ามา

ร่างจำลองเทพมารปรากฏขึ้นด้านหลังหานเจวี๋ยทีละตนๆ ทั้งหมดควบรวมกันอยู่บนร่างของเทพมารขุนพลสวรรค์ ร่างจำลองลำดับแรกสุด หานเจวี๋ยเงื้อหมัดชกออกไป เทพมารขุนพลสวรรค์ก็ซัดหมัดตาม

เจตนาสังหารอันน่าพรั่นพรึงถึงขีดสุดโจมตีเข้ามา เทพสูงสุดอู๋ฝ่าเบิกตากว้าง ถือกระบี่ต้านรับ

ตูม…

เงาร่างของเทพมารพันธนาการเริ่มพองขยาย ราวกับลูกโป่งที่ถูกเป่าลมเข้าไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ระเบิดออก พายุรุนแรงที่โหมขึ้นมาทำลายวังไร้วิถี ท้องฟ้าสว่างดุจกลางวันถูกฉีกกระชาก ผิวน้ำราบเรียบดุจกระจกที่ฉาบปูอยู่ด้านล่างแตกกระจาย

เมื่อมองจากด้านนอก วังไร้วิถีกำลังสั่นสะเทือน แสงรุ้งพรายพวยพุ่งออกมาจากด้านในวังไม่ขาดสาย สว่างวูบวาบ พร่างพราวโกลาหล

เหล่าอริยะภายในอาณาเขตเต๋าสำนักพุทธต่างเฝ้ารอด้วยความกระวนกระวาย

ถึงแม้จะรู้ดีว่าหานเจวี๋ยแข็งแกร่งยิ่ง แต่เรื่องแน่นอนนั้นไม่น่ากลัว น่ากลัวก็แต่เรื่องที่ไม่แน่นอน

ภายในวังไร้วิถี

เทพมารพันธนาการหายไปแล้ว พายุรุนแรงยังคงพัดหมุนอยู่ในห้องโถง มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ท้องฟ้าขาวสว่างปรากฏห้วงมิติฉีกขาดแหว่งวิ่นไปทั่ว ทำให้คนใจสั่นผวา

หานเจวี๋ยยืนอยู่บนแท่นสูง กำวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของเทพสูงสุดอู๋ฝ่าไว้ในมือ

เทพสูงสุดอู๋ฝ่าถูกพลังของเหล่าเทพมารมากมายอาทิเช่น เทพมารพันธนาการ เทพมารสุญญตาและเทพมารจองจำสะกดข่มเอาไว้ เคลื่อนไหวไม่ได้

เขามองหานเจวี๋ยด้วยความหวาดผวา ถามว่า “เจ้าเป็นใครกันแน่”

เขาไม่เคยประสบกับการต่อสู้เฉกเช่นเมื่อครู่มาก่อน ร่างจำลองเหล่านั้นมีความเป็นมาอย่างไรกันแน่

หานเจวี๋ยเอ่ยนิ่งๆ ว่า “ข้าเพียงต้องการพิทักษ์ระเบียบมรรคาสวรรค์ที่บรรพชนเต๋าเหลือไว้เท่านั้น”

บรรพชนเต๋าหรือ

เทพสูงสุดอู๋ฝ่าสีหน้าแปรเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

เขากัดฟันกล่าว “ข้าคืออริยะมรรคาสวรรค์ เจ้าสังหารข้าไม่ได้ เบื้องหลังข้ามีผู้ทรงพลังอยู่ ขอเตือนให้เจ้ายอมแพ้เสีย”

หานเจวี๋ยเอ่ยถาม “ผู้ทรงพลังเบื้องหลังเจ้าแข็งแกร่งกว่าบรรพชนเต๋าหรือไม่เล่า”

เทพสูงสุดอู๋ฝ่าเงียบไป

หานเจวี๋ยเก็บมือ หายตัวไปจากห้องโถง

เขามาโผล่ในอาณาเขตเต๋าของเขตเซียนร้อยคีรีโดยตรง จากนั้นก็โยนเทพสูงสุดอู๋ฝ่าเข้าไปในคุกสวรรค์อนธการ

เพื่อป้องกันไม่ให้เทพสูงสุดอู๋ฝ่ามีโอกาสหลบหนี หานเจวี๋ยวางแผนว่าจะไม่ฝึกบำเพ็ญ แต่จะคอยจับตามองเทพสูงสุดอู๋ฝ่าไว้ตลอดเวลา!

เทพสูงสุดอู๋ฝ่าถูกสะกดไว้ เขาร้องโวยวาย “อะไรกัน เจ้าคิดจะกักขังข้าอย่างนั้นหรือ เจ้าจะขังไว้ชั่วระยะหนึ่ง หรือจะขังไปตลอดชาติกันเล่า”

หานเจวี๋ยไม่สนใจเขา

คำตอบทุกอย่างขึ้นอยู่กับกาลเวลา

….

ณ ชั้นฟ้าที่สามสิบสาม

เหล่าอริยะมาถึงวังไร้วิถี หลี่มู่อีก็มาเช่นกัน

หลี่มู่อีขมวดคิ้วเอ่ยถาม “มีกลิ่นอายของการต่อสู้ แต่เหตุใดถึงไม่เห็นพวกเขาทั้งสอง”

ไม่มีผู้ใดตอบ

เหล่าอริยะเริ่มสำรวจบริเวณรอบข้าง

หลี่มู่อีลอบเดือดดาล รู้สึกไม่สบอารมณ์สุดขีด

นับตั้งแต่เขากลับมา เหล่าอริยะล้วนกีดกันเขาไว้นอกวง แต่พอนึกถึงว่าในมหันตภัยมารสวรรค์เขาไม่ได้ออกแรงช่วยเลยจริงๆ ก็พอจะเข้าใจได้ ดังนั้นจึงอดกลั้นไว้เสมอมา

เหล่าอริยะเดินไปรอบๆ กันอยู่พักหนึ่ง หลังจากแน่ใจแล้วว่าหานเจวี๋ยและเทพสูงสุดอู๋ฝ่าไม่อยู่ที่นี่ จึงได้แต่ยอมรามือไป

หลายสิบปีผ่านไป ฉิวซีไหลมาขอเข้าฝันหานเจวี๋ย

หานเจวี๋ยเมินไปเสีย

ฉิวซีไหลไม่กล้ามาขอเข้าฝันอีก คิดว่าหานเจวี๋ยยังต่อสู้กับเทพสูงสุดอู๋ฝ่าอยู่ ไม่กล้ารบกวนมากนัก

เวลาจึงผันผ่านไปเช่นนี้แล

หลังสิ้นสุดการแสดงธรรมที่วังไร้วิถี กลุ่มอิทธิพลของสำนักไร้วิถีขยายตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว ไม่ถึงพันปี ศิษย์ของสำนักไร้วิถีกลับมีอยู่ทั่วปวงสวรรค์หมื่นโลกาแล้ว

เหล่าอริยะไม่ทราบว่าเทพสูงสุดอู๋ฝ่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร จึงไม่กล้าวุ่นวาย

พริบตาเดียว

เวลาก็ล่วงเลยไปอีกสองพันปี หานเจวี๋ยและเทพสูงสุดอู๋ฝ่าหายเงียบไปสองพันปีแล้ว เหล่าอริยะใจกล้าขึ้นมาอีกครั้ง พากันจัดแจงศิษย์เข้าสู่โลก พุ่งเป้าไปที่สำนักไร้วิถี

ภายใต้สภาวะที่เทพสูงสุดอู๋ฝ่าไม่ปรากฏตัวขึ้นเลย สำนักไร้วิถีดุจมังกรไร้หัว ไม่ถึงร้อยปีก็ล่มสลายลง

ภายในหุบเขาลึก

หานทั่วนั่งสมาธิบำเพ็ญอยู่ภายในถ้ำ นับตั้งแต่สิ้นสุดการสดับธรรมที่วังไร้วิถี เขาเก็บตัวฝึกบำเพ็ญอยู่ที่นี่มาโดยตลอด ตบะเพิ่มพูนขึ้น

เจี่ยอวี้พลันเดินเข้ามาจากปากถ้ำ กล่าวว่า “สำนักไร้วิถีล่มสลายแล้ว เห็นทีจะเกิดเรื่องขึ้นกับเทพสูงสุดอู๋ฝ่า”

หานทั่วได้ยินก็ลืมตาขึ้น

เขาอดที่จะนึกถึงเงาร่างเปี่ยมแสงเทพที่พบเห็นในวันนั้นไม่ได้

หรือว่าการหายตัวไปของเทพสูงสุดอู๋ฝ่าจะเกี่ยวข้องกับคนผู้นั้น

หานทั่วเอ่ยหยอกเขา “แผนการที่จะเข้าร่วมสำนักไร้วิถีของเจ้าล่มเสียแล้ว ทำอย่างไรต่อเล่า”

เจี่ยอวี้เสาะหาตำแหน่งหนึ่งแล้วนั่งลง ยักไหล่พลางกล่าว “ข้าเตรียมจะไปจากแดนเซียน”

“ไปที่ใด”

“สถานที่ที่ไม่รู้จัก วันหน้าหากมีวาสนาคงได้พบกันอีก”

หานทั่วเงียบไป

เขามีสหายไม่มาก เจี่ยอวี้นับว่าเป็นผู้รู้ใจของเขา ถึงแม้เขาจะมองเจี่ยอวี้ไม่ออก แต่เจี่ยอวี้เคยช่วยเหลือเขาไม่น้อยเลยจริงๆ ทั้งสองร่วมเป็นร่วมตายด้วยกันมา

เจี่ยอวี้เอ่ยอย่างลุ่มลึกมีนัย “หานทั่ว เจ้าพิเศษนัก เพียงแต่เส้นทางบำเพ็ญสายนี้ยาวไกลยิ่ง หวังว่าครั้งหน้าที่ได้พบพานกัน เจ้าจะกลายเป็นบุคคลสำคัญภายใต้ร่มเงามรรคาสวรรค์”

หานทั่วขมวดคิ้วและเอ่ยขึ้น “จำเป็นต้องจากไปให้ได้หรือ”

“ใช่แล้ว ภารกิจของข้าจบลงแล้ว”

“เจ้ามาจากกลุ่มอิทธิพลใดกันแน่”

“บอกไม่ได้ พวกเรามาถกมรรคกันเถอะ นี่คงเป็นการถกมรรคครั้งสุดท้ายแล้ว”

“ได้”

หานทั่วก็ไม่เซ้าซี้ เขามิใช่หนุ่มน้อยไร้วุฒิภาวะเช่นในอดีตแล้ว

หลายปีต่อมา เจี่ยอวี้จากไป

หานทั่วเองก็จากไปด้วยเช่นกัน เปลี่ยนสถานที่ปิดด่านบำเพ็ญ

….

ภายในอารามเต๋า

ข้อความแถวหนึ่งเด้งขึ้นมาตรงหน้าหานเจวี๋ย

[คุกสวรรค์อนธการสยบทาสสำเร็จ]

[เทพสูงสุดอู๋ฝ่าเกิดความประทับใจในตัวท่าน ระดับความประทับใจในขณะนี้เต็มขั้นดาวแล้ว]

หานเจวี๋ยถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก

การสยบเทพสูงสุดอู๋ฝ่าให้เป็นทาสใช้เวลาสามพันปี เขาไม่ได้ฝึกบำเพ็ญมาสามพันปีแล้ว

เขาไม่เคยเสียเวลาไปมากมายขนาดนี้มาก่อน ทำให้เขาเป็นทุกข์นัก ทรมานอย่างยิ่ง

หานเจวี๋ยเรียกกล่องจดหมายออกมาตรวจดู เป็นอย่างที่คาดไว้จริงๆ เขามองเห็นจดหมายฉบับหนึ่ง

[เทพสูงสุดอู๋ฝ่าสหายของท่านถูกมรรคาสวรรค์ขับไล่ หลุดพ้นจากตำแหน่งอริยะมรรคาสวรรค์]

………………………………………………………………

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ
Score 9.8
Status: Ongoing
อ่านระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะเนื่องจากชาติก่อนเป็นโรครักษาไม่หาย ตายก่อนวัยอันควร เมื่อได้กลับมาเกิดใหม่ในแดนบำเพ็ญเซียน เขาจึงมีเป้าหมายเดียว... ชีวิตอมตะ! หานเจวี๋ยพบว่าตนเองมีระบบของเกมวิถีชีวิตอยู่กับตัว หลังจากใช้เวลากว่าสิบเอ็ดปี ในที่สุดก็สุ่มได้ดวงชะตาและรากวิญญาณชั้นเลิศจากระบบ ทำให้เขาสามารถเข้าสู่วิถีแห่งการบำเพ็ญเซียนได้อย่างมั่นใจ เพื่อเป้าหมายการมีชีวิตเป็นอมตะ เขาตัดสินใจฝึกฝนเงียบๆ เก็บเนื้อเก็บตัว ไม่ให้เป็นจุดสนใจ กระทั่งพันปีต่อมา แดนบำเพ็ญเซียนเปลี่ยนไปยุคแล้วยุคเล่า เมื่อเทพเซียนจะชำระล้างโลกมนุษย์ หานเจวี๋ยไม่อาจไม่ลงมือ ยามนั้นเขาจึงเพิ่งค้นพบว่า... เทพเซียนมันก็แค่นี้เอง!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset