บทที่ 571 หมื่นจักรพรรดิเซียนออกสู่โลก มรรคาสวรรค์ตื่นตระหนก
หลี่มู่อีได้ยินหานเจวี๋ยปฏิเสธ ก็ไม่ได้ร้อนรนเช่นกัน เขาคาดเดาไว้แต่แรกแล้ว เพียงได้ยินเขาเอ่ยโน้มน้าวต่อว่า “ข้ามีแผนการอาจหาญอย่างหนึ่ง หากเจ้ายอมร่วมมือกับข้า วันหน้านิกายเหรินและสำนักซ่อนเร้นจะแบ่งปันมรรคาสวรรค์อย่างเท่าเทียม เจ้าและข้าควบคุมระเบียบมรรคาสวรรค์ร่วมกัน”
หานเจวี๋ยเอ่ยว่า “ข้าไม่มีใจทะเยอทะยานมากปานนั้น”
“นี่มิใช่ความทะเยอทะยาน นี่เป็นการช่วยเหลือมรรคาสวรรค์ ช่วยเหลือสรรพสิ่งในปวงสวรรค์!”
“ข้าไม่มีความสามารถมากถึงเพียงนั้น”
“หากพวกเราร่วมมือกัน ต้องทำได้แน่”
หานเจวี๋ยสบถในใจ ไร้สาระจริงๆ
หานเจวี๋ยถามขึ้น “เช่นนั้นเจ้าคิดจะทำอย่างไร”
หลี่มู่อีกล่าวว่า “ฉิวซีไหลกำลังผสานมรรค ถึงแม้เขาจะปกปิดได้มิดชิดยิ่ง แต่ข้าสัมผัสได้ ข้าวางแผนจะเกื้อหนุนสำนักซ่อนเร้นให้ได้ครอบครองดวงชะตามรรคาสวรรค์ แม้ว่าฉิวซีไหลจะผสานมรรค สำนักซ่อนเร้นก็ยังขึ้นตรงต่อเจ้า พอใกล้ช่วงเปิดฉากสงคราม ให้เจ้าประกาศสลายสำนักซ่อนเร้น แน่นอนว่าเป็นแค่การแกล้งสลายตัว เพิกถอนดวงชะตาสำนักซ่อนเร้น ทำให้ดวงชะตามรรคาสวรรค์ปั่นป่วน กฎระเบียบวุ่นวาย พลังมรรคของฉิวซีไหลต้องลดฮวบแน่นอน ถือโอกาสกำจัดเขาไปพร้อมกันกับจิตวิญญาณมรรคาสวรรค์ในร่างเขา”
หานเจวี๋ยแค่นหัวเราะในใจ เป็นแผนที่ดีจริงๆ
ยิงศรดอกเดียวได้นกสองตัว
หานเจวี๋ยเกือบถามเขาไปแล้วว่าเห็นข้าโง่หรือ
เขาจำเป็นฝืนทนไว้ อริยะไหนเลยจะหยาบคายได้ เอ่ยไปว่า “ขอถามว่าในระหว่างนั้นอริยท่านจะมีบทบาทอย่างไร แค่ช่วยเกื้อหนุนสำนักซ่อนเร้นน่ะหรือ”
สำนักซ่อนเร้นยังจำเป็นต้องให้หลี่มู่อีมาเกื้อหนุนอีกหรือ
เพ้อเจ้อ!
“ข้าจะให้คนของนิกายเหรินมาเข้าร่วมสำนักซ่อนเร้น ยามที่ต่อกรกับฉิวซีไหล ข้าก็จะร่วมสู้ด้วย เป็นอย่างไร” หลี่มู่อีตอบอย่างสงบหนักแน่น
วาจานี้กลับจริงใจนัก ไม่ว่าจะจริงหรือเท็จ หากนิกายเหรินเข้าร่วมกับสำนักซ่อนเร้น ในแง่ของชื่อเสียงจะสามารถสร้างแรงกดดันต่อสำนักนิกายแห่งอริยะอื่นๆ ได้
แต่น่าเสียดาย หานเจวี๋ยไม่คิดจะรับนิกายเหรินเข้ามา ถึงขึ้นที่ต่อต้านยิ่งนักด้วย
จริงอยู่ที่ภูมิหลังนิกายเหรินแข็งแกร่ง ระยะเวลาที่ก่อตั้งมายากจะคำนวณได้ อยู่มานานกว่าแดนเซียนเสียอีก ยิ่งไปกว่านั้นคือมีนิกายเหรินโบราณอยู่ในแดนเทพหวนปัจฉิมด้วย
นิกายเหรินแห่งแดนเซียนเปรียบเสมือนสาขาย่อยของนิกายเหรินมากมาย
หานเจวี๋ยเอ่ยว่า “ข้าจะทบทวนเรื่องนี้ดู”
หลี่มู่อีขมวดคิ้วกล่าว “ถ้าเจ้าบอกจะทบทวนนั่นหมายความว่าปฏิเสธ เจ้าไม่พอใจสิ่งใดกันแน่ ไม่ยอมไปหาท่านปรมาจารย์ ไม่ยอมร่วมมือกับข้า เช่นนั้นเจ้าก็หาวิธีมาเถอะ หากข่าวแพร่ออกไปว่ามรรคาสวรรค์มีจิตวิญญาณ สรรพสิ่งต้องหวาดผวาแน่นอน”
“นับจากนี้ต่อไป รูปการณ์จะมิใช่การคานอำนาจกันในหมู่อริยะอีกต่อไป แต่มรรคาสวรรค์จะปกครองอย่างเผด็จการ การคงอยู่ของเจ้าต้องถูกมรรคาสวรรค์เพ่งเล็งแน่นอน แม้ว่าเจ้าจะเคยช่วยเหลือมรรคาสวรรค์ไว้ก็ตาม”
หานเจวี๋ยเอ่ยว่า “ข้าเพียงมิอยากตกเป็นเป้าโจมตีของสาธารณชน เจ้าไปหาอริยะรายอื่นเถอะ”
พอพูดจบ หานเจวี๋ยออกจากแดนความฝันทันที
ณ ชั้นฟ้าที่สามสิบสาม อาณาเขตเต๋านิกายเหริน
หลี่มู่อีลืมตาขึ้น ขมวดคิ้วแน่น
“คนผู้นี้หัวรั้นโดยแท้ ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าจะไม่มีความทะเยอทะยานเลยจริงๆ”
หลี่มู่อีพึมพำกับตัวเอง ในใจไม่สบอารมณ์ยิ่ง
นี่มิใช่ครั้งแรกที่เขาถูกหานเจวี๋ยปฏิเสธ หานเจวี๋ยไม่เคยไว้หน้ากันเลย
ในเมื่อหานเจวี๋ยไม่ยอมตอบตกลง เขาก็ทำได้เพียงไปหาอริยะรายอื่น
….
ภายในอาณาเขตเต๋า
หานเจวี๋ยแค่นเสียง พึมพำว่า “คิดจะหลอกต้มข้าอีกแล้ว กำจัดจิตวิญญาณมรรคาสวรรค์ จำเป็นต้องใช้เจ้าหรือ”
เขาวางแผนเอาไว้แล้ว
รอให้ฉิวซีไหลผสานมรรคสำเร็จ เขาจะจับฉิวซีไหลมา จากนั้นขังไว้ในคุกสวรรค์อนธการ ตามด้วยความสามารถชำระล้างสมบูรณ์ กำจัดจิตวิญญาณมรรคาสวรรค์ในตัวฉิวซีไหล
จำเป็นต้องกล่าวเลยว่า คุกสวรรค์อนธการผนวกกับความสามารถชำระล้างแล้ว ช่างยอดเยี่ยมเหลือเกิน
หานเจวี๋ยถึงขั้นที่ตั้งตารอให้ฉิวซีไหลผสานมรรคได้สำเร็จด้วยซ้ำ
ฝึกบำเพ็ญต่อดีกว่า!
ทะลวงระดับให้ได้ในเร็ววัน!
หานเจวี๋ยสามารถต่อสู้กับอริยะเสรีได้แล้ว รอจนเขาทะลวงระดับอีกครั้ง ต้องสามารถสังหารอริยะเสรีที่ค่อนข้างอ่อนแอได้แน่
หานเจวี๋ยคิดแล้วก็หลับตาลง สงบใจฝึกบำเพ็ญ
เวลาดำเนินต่อไปเรื่อยๆ
ชีวิตดั่งความฝัน ผู้บำเพ็ญทรงพลังหนึ่งนิทราเนิ่นนานสามพันปี ราชวงศ์แดนมนุษย์ผลัดเปลี่ยน ภูเขานทีเคลื่อนตัว
ในยามที่แดนเซียนปรากฏผู้กล้าทรงพลังขึ้น โลกมนุษย์ด้านล่างแดนเซียนก็เริ่มประกาศศักดาเช่นกัน ปรากฏผู้โบยบินสู่สวรรค์อย่างต่อเนื่อง เข่นฆ่ามาถึงแดนเซียน แสดงความโดดเด่น
ในเวลานี้เอง สรรพสิ่งในแดนเซียนถึงได้ตระหนักว่านอกจากแดนเซียนแล้ว ยังมีโลกอื่นๆ ที่ร้ายกาจยิ่งนักเช่นกัน ขณะเดียวกันพวกเขาก็คิดไปเช่นกันว่าโลกมนุษย์เหมาะสำหรับอยู่อาศัยและฝึกบำเพ็ญ
ภายในระยะเวลาสามพันปี มีสิ่งมีชีวิตจากโลกมนุษย์โบยบินขึ้นมาเกินกว่าสิบล้านแล้ว สิ่งมีชีวิตในแดนเซียนก็บรรลุถึงระดับที่น่าดูชมยิ่งนักเช่นกัน เหมือนแดนเซียนในช่วงก่อนเกิดมหาเคราะห์
หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น
เขาเข้าใกล้การทะลวงระดับยิ่งนักแล้ว
เยี่ยมมาก!
หานเจวี๋ยอดใจคอยการทะลวงระดับแทบไม่ไหวแล้ว จนใจที่หานตั้วเทียนมาขอเข้าพบกว่าสิบครั้งแล้ว
หานเจวี๋ยเก็บตัวมาหลายปี ไม่ยอมรับคำขอเข้าพบมาโดยตลอด วันนี้มีโอกาสแล้ว
เขาให้หานตั้วเทียนเข้ามา
แม้ว่าหานตั้วเทียนจะยังไม่ทันเปิดปาก หานเจวี๋ยก็ทราบแล้วว่าเขาจะพูดอะไร
ไม่พ้นไปจากกถ่ายเทบุคลากรออกไป หรือไม่ก็เรื่องรับศิษย์ใหม่เข้ามา
เป็นอย่างที่คิดจริงๆ มีศิษย์ในนามหมื่นรายที่ตบะบรรลุถึงขีดกำจัดแล้ว ไม่อาจก้าวหน้าต่อไปได้อีก
หานเจวี๋ยอนุญาตให้พวกเขาออกไป มุ่งหน้าไปเสริมกำลังให้เผ่าสวรรค์
“อาจารย์ปู่เทียด จะรับศิษย์เข้ามาสักหน่อยหรือไม่ ระยะนี้มีเมืองก่อตั้งขึ้นในละแวกเขตเซียนร้อยคีรีไม่น้อยเลย ข้าจำได้ว่าเผ่าสวรรค์จัดสรรปันส่วนสามเมืองที่อยู่ใกล้ที่สุดให้พวกเราเมื่อนานมาแล้ว ตอนนี้ถูกเผ่าพันธุ์อื่นๆ และสำนักนิกายอื่นเข้ายึดครอง ช่างน่าหงุดหงิดจริงๆ” หานตั้วเทียนถามอย่างมีความหวัง
หานเจวี๋ยเอ่ยเสียงเรียบ “ตอนนี้ยังไม่คิดรับศิษย์ สำนักซ่อนเร้นเน้นประสิทธิภาพไม่เน้นปริมาณ ส่วนเมืองอาณัติด้านนอก ไม่ควรค่าให้สนใจ”
“แต่ว่า…”
“ไม่มีแต่อันใดทั้งนั้น ไปซะ ตบะของเจ้าทำให้ข้าไม่สบอารมณ์ ภายในหมื่นปี เจ้าต้องบรรลุระดับเทพให้ได้ มิเช่นนั้นวันหน้าก็อย่าหมายจะได้ออกไป”
“หมื่นปีหรือขอรับ ข้า…”
“หืม?”
“รับทราบขอรับ…”
หานตั้วเทียนจากไปด้วยความหวาดผวา
เด็กคนนี้เพิ่งพิสูจน์จักรพรรดิเซียนเมื่อไม่นานมานี้ แต่จะให้เขาก้าวข้ามลำดับจักรพรรดิเซียนทั้งเก้าวัฏไปถึงระดับเทพภายในหมื่นปีนั้น เขารู้สึกว่าแทบเป็นไปไม่ได้เลย
หลายวันต่อมา หานเจวี๋ยส่งศิษย์ในนามหนึ่งหมื่นรายที่หานตั้วเทียนคัดสรรไว้ออกไป
ศิษย์เหล่านี้ล้วนเป็นจักรพรรดิเซียน!
เมื่อจักรพรรดิเซียนหนึ่งหมื่นคนพ้นจากอาณาเขตเต๋า พลันก่อให้เกิดฟ้าร้องสะท้านสะเทือน
หานเจวี๋ยสัมผัสได้ชัดเจนว่าดวงชะตามรรคาสวรรค์กำลังเกิดการเปลี่ยนแปลง
จักรพรรดิเซียนคนเดียวไม่นับว่าเป็นอันใด แต่จักรพรรดิเซียนหมื่นคนนับว่าเกินไปมากจริงๆ
ศิษย์ในนามจำนวนหมื่นคนของสำนักซ่อนเร้นเงยหน้ามองฟ้าร้องดังสะท้านสะเทือน ต่างยิ้มอย่างภาคภูมิใจ
มานะบำเพ็ญมาหลายหมื่นปี ก็เพื่อรอคอยวันที่จะได้เปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่เช่นนี้!
“ไปเถอะ มุ่งหน้าสู่เผ่าสวรรค์!”
ศิษย์ในนามที่เป็นผู้นำกลุ่มตะโกนเสียงดัง เหล่าศิษย์นับหมื่นพุ่งผ่านเมฆอัสนีไปดั่งห่าธนู
ในเวลาเดียวกันนี้
ณ ชั้นฟ้าที่สามสิบสาม อาณาเขตเต๋าสำนักพุทธ
ฉิวซีไหลลืมตาขึ้น ขมวดคิ้วแน่นพลางเอ่ยพึมพำ “จักรพรรดิเซียนหมื่นคนอีกแล้ว สำนักซ่อนเร้นซุกซ่อนจักรพรรดิเซียนไว้มากน้อยเพียงใดกันแน่”
เขาจำได้ว่าจำนวนศิษย์ระดับเทพของสำนักซ่อนเร้นก็เกินเรื่องไปมากโขเช่นกัน
สำนักซ่อนเร้นที่ดูเหมือนจะเก็บตัวเหตุใดจึงมีศิษย์เก่งกาจมากมายเช่นนี้
เขาสังเกตการณ์เขตเซียนร้อยคีรีมาตลอด หลายหมื่นปีมานี้มิได้เปิดรับศิษย์เลย หรือว่าศิษย์เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งมีชีวิตก่อนกำเนิดฟ้าที่หานเจวี๋ยรับไว้ส่งเดชในช่วงปีนั้น
นี่ก็เป็นไปได้
ต่อให้เป็นสิ่งมีชีวิตก่อนกำเนิดฟ้า คุณสมบัติก็แกร่งด้อยแตกต่างกันไป สำเร็จเป็นจักรพรรดิเซียนได้ในไม่กี่หมื่นปี นับว่ามีคุณสมบัติเลิศล้ำแล้ว
เวลานี้เอง จิตวิญญาณมรรคาสวรรค์ปรากฏตัวขึ้น เอ่ยว่า “ดวงชะตามรรคาสวรรค์เกิดความเปลี่ยนแปลงอีกแล้ว สาเหตุมาจากจักรพรรดิเซียนหมื่นคนแห่งสำนักซ่อนเร้น พื้นฐานดวงชะตามรรคาสวรรค์แข็งแกร่งขึ้นมา ต้องกำจัดสำนักซ่อนเร้นไม่ให้แข็งแกร่งขึ้นอีก ดวงชะตามรรคาสวรรค์เริ่มเอนเข้าหาสำนักซ่อนเร้นแล้ว”
ฉิวซีไหลกล่าวด้วยความไม่สบอารมณ์ “เจ้าควบคุมมรรคาสวรรค์ไม่ได้ ยังกล้าเรียกตัวว่ามรรคาสวรรค์อีกหรือ ข้าชักจะสงสัยแล้วว่าเจ้าใช่จิตวิญญาณมรรคาสวรรค์จริงหรือไม่”
“ข้าจะไม่ใช่ได้อย่างไร”
จิตวิญญาณมรรคาสวรรค์เอ่ยด้วยความร้อนรนกระวนกระวาย ฉิวซีไหลฟังแล้วได้แต่ถอนหายใจ
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ช่วงนี้เขารู้สึกมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วว่าจิตวิญญาณมรรคาสวรรค์ผิดปกติ หยาบกระด้างขึ้นเรื่อยๆ ไม่ได้วางตัวเฉกเช่นมรรคาสวรรค์ แต่เหมือนมนุษย์ขึ้นทุกที
………………………………………………………………