บทที่ 583 ก่อตั้งวังเทพ ความคาดหวังของหานเจวี๋ย
ครั้นจั้งกูซิงพูดจบ หานเจวี๋ยตกอยู่ในห้วงความคิด
ในเมื่อหานทั่วและจักรพรรดิเซียนกลับชาติมาเกิดอยากเข้าร่วมวังเทพ หานเจวี๋ยย่อมไม่ขัดขวาง
ไม่อาจรวมไข่ไว้ในตะกร้าใบเดียวได้ หากว่ากลุ่มอิทธิพลต่างๆ ของแดนเซียนล้วนมีศิษย์สำนักซ่อนเร้นอยู่ เช่นนั้นในอนาคตสำนักซ่อนเร้นก็จะแทรกซึมได้ง่ายขึ้น
อย่ามองเพียงว่าตอนนี้หานเจวี๋ยแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ สำนักซ่อนเร้นดูไร้ศัตรูแล้ว แต่ใครจะรู้ว่าอนาคตเป็นอย่างไร
ในอดีตสำนักเต๋าก็รุ่งโรจน์ดุจตะวันกลางฟ้าไม่ใช่ยังคงแตกแยกหรอกหรือ
หานเจวี๋ยเอ่ยว่า “ข้าจะช่วยพูดให้เจ้า”
จั้งกูซิงได้ฟังก็ปรีดา รีบคำนับขอบคุณหานเจวี๋ย
ในอดีตเมื่อนานมาแล้ว หานเจวี๋ยก็เคยคำนับขอบคุณจั้งกูซิงเช่นนี้
จั้งกูซิงเงยหน้าถามว่า “จนถึงบัดนี้หานทั่วก็ยังไม่ทราบชาติกำเนิดของตน ท่านวางแผนไว้อย่างไร”
หานเจวี๋ยเอ่ยตอบ “คงสถานการณ์ปัจจุบันไว้ ข้ามีแผนการของข้า”
“ตกลง”
หานเจวี๋ยโบกแขนเสื้อ เคลื่อนย้ายจั้งกูซิงออกไป เลี่ยงไม่ให้ทั้งสองต้องตกอยู่ในสถานการณ์กระอักกระอ่วน
หลายหมื่นปีผ่านไป เพียงพอให้เกิดความเปลี่ยนแปลงมากมาย อย่างน้อยความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองก็ลดน้อยลง หานเจวี๋ยไม่ได้สนใจจะรำลึกความหลังแล้ว เขาเชื่อว่าจั้งกูซิงก็ไม่ได้มีอารมณ์อยากคุยเล่นเช่นกัน
ความจริงก็เป็นเช่นนี้แล
หลังออกจากเขตเซียนร้อยคีรี จั้งกูซิงเสมือนปลดเปลื้องภาระหนักอึ้ง พ่นลมหายใจออกมาเหยียดยาว
เขาเผยรอยยิ้มขมขื่น พึมพำกับตัวเอง “อริยะช่างเลิศล้ำโดยแท้”
ยามนั่งอยู่เบื้องหน้าหานเจวี๋ย เขารู้สึกกดดันอย่างมหาศาล ทุกครั้งที่สบตาหานเจวี๋ย หัวใจเขาจะเต้นรัว
แม้ว่าผ่านประสบการณ์ผันผวนขึ้นลงอย่างโชกโชน แต่จนใจที่อริยะและมนุษย์สามัญแตกต่างกันมากเหลือเกิน เขาควบคุมมรรคจิตของตนให้มั่นคงไม่ได้
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม หานเจวี๋ยตอบรับคำขอของเขาแล้ว
เขายังคงรู้จักหานเจวี๋ยดียิ่ง อีกฝ่ายไม่มีทางรับปากส่งเดช จะต้องมีความมั่นใจเต็มเปี่ยมแน่นอน
เมื่อย้อนทบทวนเรื่องในอดีต จั้งกูซิงก็รู้สึกสะท้อนใจอย่างยิ่ง
เด็กหนุ่มที่ถูกวิหคชาดสกัดขวางในโลกมนุษย์เมื่อปีนั้น ยามนี้กลายเป็นอริยะแล้ว
จั้งกูซิงไม่คิดว่าหานเจวี๋ยมีคุณสมบัติดีเยี่ยม ต่อให้มีคุณสมบัติดีแค่ไหนก็ไม่มีทางสำเร็จเป็นอริยะได้ในหลายหมื่นปี คาดว่าเดิมทีหานเจวี๋ยคงเป็นอริยะอยู่แล้ว เพียงอวตารลงไปหาประสบการณ์ในโลกมนุษย์
‘วังเทพอยู่ในมือข้าแล้ว ต้องเหนือกว่าบรรพบุรุษให้ได้!’
จั้งกูซิงคิดพร้อมกับดวงตาที่ส่องประกาย เหาะมุ่งไปยังขอบฟ้า
อีกด้านหนึ่ง หานเจวี๋ยเข้าฝันเทพสูงสุดหนานจี๋เพื่อบอกถึงเรื่องนี้
เทพสูงสุดหนานจี๋ตอบรับรวดเร็วนัก บอกว่ายินดีออกหน้าให้หานเจวี๋ย ซ้ำยังรั้งหานเจวี๋ยให้อยู่คุยกันอีกพักหนึ่งด้วย นัดแนะว่าถ้ามีโอกาสจะถกมรรคด้วยกัน
หลังจากแดนความฝันสิ้นสุดลง หานเจวี๋ยแอบด่าในใจ
หนังหน้าของเทพสูงสุดหนานจี๋ช่างหนาโดยแท้!
ไม่อาจตบหน้าคนที่ยิ้มให้ได้ ถึงอย่างไรครั้งนี้หานเจวี๋ยก็ติดหนี้น้ำใจเทพสูงสุดหนานจี๋หนึ่งครั้งแล้ว
ขอเพียงเทพสูงสุดหนานจี๋ไม่ต่อต้านหานเจวี๋ย หานเจวี๋ยก็ยังพออดทนได้
….
แปดสิบปีต่อมา
“ข้า จั้งกูซิง น้อมสืบสานเจตจำนงของบรรพบุรุษ ก่อตั้งวังเทพขึ้น ผู้ใดก็ตามที่มีพรสวรรค์โดดเด่น ต่างสามารถเข้าร่วมวังเทพได้ วังเทพจัดลำดับอาวุโสตามคุณสมบัติ ข้าต้องการก่อตั้งวังเทพที่ยุติธรรมและเท่าเทียมต่อบุตรแห่งสวรรค์ ใช้พลังแห่งวัยเยาว์ ช่วงชิงดวงชะตามรรคาสวรรค์มา!”
เสียงจั้งกูซิงดังก้องทั่วแดนเซียน เพียงแต่มิได้ก่อให้เกิดปฏิกิริยาตอบสนองมากนัก
หลังจากเผ่าพันธุ์เลื่องชื่อถือกำเนิดขึ้น ผู้ทรงพลังรุ่นหลังที่ก่อตั้งสำนักดวงชะตาขึ้นล้วนใช้กลยุทธ์ประกาศก้องไปทั่วแดนเซียน
หานเจวี๋ยนับนิ้วทำนาย หานทั่วและจักรพรรดิเซียนกลับชาติมาเกิดเข้าร่วมวังเทพแล้ว มิใช่แค่พวกเขา แม้แต่จิ่งเทียนกงอดีตเจ้านิกายเจี๋ยรุ่นก่อนและอี๋เทียนเทพปีศาจแห่งเผ่าปีศาจก็เข้าร่วมวังเทพเช่นกัน
ปัจจุบันศิษย์วังเทพมีจำนวนเกินหมื่นแล้ว นอกจากจิ่งเทียนกง จักรพรรดิเซียนกลับชาติมาเกิด ก็ไม่มีเซียนทองต้าหลัวอีก
หานเจวี๋ยสอดส่องดูหานอวี้ต่อ
หลังจากฝึกฝนวิชาวัฏจักรหกวิถี ตบะของหานอวี้เพิ่มพูนขึ้นทุกวัน แต่เมื่อเทียบกับหานทั่วแล้วคุณสมบัติของเขาด้อยเกินไป เท่าที่เห็นตอนนี้ ยังไม่มีความหวังไปถึงระดับเทพ เว้นแต่หานเจวี๋ยจะหาทางยกระดับคุณสมบัติของเขา
หานเจวี๋ยก็ไม่ได้มีความคาดหวังในตัวหานอวี้ เพียงเพิ่มความบันเทิงเล็กน้อยให้ช่วงเวลาฝึกบำเพ็ญที่เงียบสงบและน่าเบื่อหน่ายของตน ก็เหมือนการดูซีรีส์ในชาติก่อน
ความคาดหวังที่แท้จริงยังคงอยู่ที่หานทั่ว
หานเจวี๋ยคาดหวังให้บุตรชายคนนี้ของตนกลายเป็นเทพมารอนธการ!
หานอวี้ยังคงปิดด่านอยู่ในหุบเขาแห่งนั้น หานเจวี๋ยมองอยู่ครู่หนึ่งก็ถอนสายตากลับมาฝึกบำเพ็ญต่อ
….
เหนือหมู่เมฆา ตำหนักวังลอยเรียงราย เงาร่างนับไม่ถ้วนสัญจรผ่านไปมา สำแดงพลังกับตำหนักแต่ละหลัง รวมตำหนักเข้าด้วยกัน
หานทั่วในชุดสีดำยืนอยู่หน้าประตูตำหนักหลังหนึ่ง มองวังเทพที่รุ่งเรืองขึ้นมา เขารู้สึกสะท้อนใจอย่างยิ่ง
ฝึกบำเพ็ญมานานถึงเพียงนี้ ในที่สุดเขาก็ได้ลงหลักปักฐาน
วังเทพก่อตั้งขึ้นใหม่ เขานับว่าเป็นหนึ่งในรุ่นบุกเบิก ปัจจุบันเป็นหนึ่งในผู้มีอำนาจจัดการวังเทพ
ในใจเขากระจ่างยิ่งนัก เมื่อเทียบกับผู้มีอำนาจคนอื่นๆ เขาอ่อนแอที่สุด
จิ่งเทียนกงถึงขั้นที่เคยตั้งข้อสงสัย ตอนนั้นอี๋เทียนเกือบจะลงมือกับอีกฝ่ายแล้ว โชคดีที่จั้งกูซิงและจักรพรรดิเซียนกลับชาติมาเกิดล้วนก้าวออกมาให้การสนับสนุนเขา เรื่องนี้ถึงนับว่าได้บทสรุป
มีคนตั้งข้อสงสัย หานทั่วมิได้เคืองขุ่นแต่อย่างใด กลับได้รับแรงกระตุ้น
มองเหล่าศิษย์ของวังเทพอยู่พักหนึ่ง หานทั่วหันหลังกลับเข้าไปในตำหนักที่พักของตน ฝึกบำเพ็ญต่อ
หานทั่วนั่งลงบนเบาะกลมแล้วหลับตาลง
ทันใดนั้นเขาก็ถูกดึงเข้าสู่แดนความฝันฉากหนึ่ง
ที่นี่คือป่าผืนหนึ่ง ร่างเปล่งแสงเทพเจิดจ้าแยงตาร่างหนึ่งอยู่ด้านหน้า หานทั่วตกตะลึงยิ่ง
เกิดอะไรขึ้น
เหตุใดเขาถึงไม่รู้สึกตัวเลย
หานทั่วมองอีกฝ่ายด้วยความตื่นตัว พลางถามเสียงเข้ม “ท่านคือผู้ใด”
เงาร่างแสงเทพย่อมเป็นหานเจวี๋ย
หานเจวี๋ยถามด้วยเสียงลึกลับล่องลอย “ข้ามองเห็นความไม่ยินยอมในใจเจ้า ดูเหมือนเจ้าจะไม่พอใจในตบะของตน ข้าสามารถถ่ายทอดมรรควิถีให้เจ้าได้ แต่เจ้าจำเป็นต้องจ่ายค่าตอบแทน เจ้ายินยอมหรือไม่”
หานทั่วได้ฟังก็ขมวดคิ้ว
ปฏิกิริยาตอบสนองแรกของเขาคือปฏิเสธ แต่พอใคร่ครวญดูรอบหนึ่ง อีกฝ่ายมีพลังเทพมหาศาล หากต้องการทำร้ายเขา ไยต้องอ้อมค้อมวกวนด้วยเล่า
หานทั่วเอ่ยขึ้น “ข้าต้องจ่ายด้วยสิ่งใด แม้แต่ท่านเป็นผู้ใดข้าก็ยังไม่ทราบ เหตุใดข้าต้องเชื่อท่านด้วย”
“เจ้าเคยมาหาข้า”
“เคยไปหาท่านหรือ”
หานทั่วขมวดคิ้วแน่น ตกอยู่ในห้วงความคิด จู่ๆ ก็เขาแสดงสีหน้าตกตะลึง
“ท่านคือเจ้าสำนักซ่อนเร้น”
“เรื่องนี้ห้ามแพร่งพรายออกไป ข้าจะถ่ายทอดมรรควิถีให้เจ้า เจ้าเป็นหนี้ชีวิตข้า วันหน้าข้าต้องการให้เจ้าลงมือทำเรื่องหนึ่ง ส่วนจะต้องอุทิศด้วยชีวิตของเจ้าหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับเจ้ามีความพยายามมากพอไหม ขอเพียงเจ้าแข็งแกร่งพอ ต่อให้ศัตรูแข็งแกร่งแค่ไหนก็ต้องสยบอยู่ใต้เท้าเจ้า”
น้ำเสียงหานเจวี๋ยเต็มไปด้วยแรงดึงดูด
หานทั่วตกอยู่ในภวังค์ความคิดอีกครั้ง
หากเป็นหานเจวี๋ย ต้องปฏิเสธแน่นอน แต่เขาอยากรู้ว่าหานทั่วจะเลือกแบบไหน
อันที่จริงหานเจวี๋ยสามารถใช้ระบบวิวัฒนาการทำนายได้ แต่ไม่จำเป็นเลย หากทำเช่นนั้นจะสูญเสียอรรถรสในการพัฒนาไป อีกอย่างก็สิ้นเปลืองอายุขัยด้วย
“ข้ารับปากท่าน!” หานทั่วเอ่ยเสียงขรึม
“ข้ารู้ว่าคุณสมบัติของข้าแข็งแกร่งมากแต่ก็ยังไม่เพียงพอ ในแง่คุณสมบัติ ข้าสู้อี๋เทียนไม่ได้ ในแง่ตบะ หากเทียบกับจิ่งเทียนกงก็ไม่มีทางไล่ตามทัน ข้าต้องการโอกาสวาสนาอันยิ่งใหญ่ ผู้อาวุโสโปรดถ่ายทอดมรรควิถีแก่ข้าด้วย!”
“อืม”
หานเจวี๋ยก็ไม่พูดไร้สาระเช่นกัน เริ่มแสดงธรรม ธรรมที่แสดงย่อมเป็นมหามรรคต้นกำเนิด
….
ภายในอารามเต๋า
หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น เขาแสดงธรรมต่อหานทั่วแบบส่วนตัวหนึ่งร้อยปี ในที่สุดก็ชักนำหานทั่วเข้าสู่มหามรรคต้นกำเนิดได้ คาดว่าผ่านไปอีกสักระยะ ตบะของหานทั่วจะมีพัฒนาการก้าวกระโดด เขาถือโอกาสปลดขีดจำกัดทางสายเลือดของหานทั่วอีกเล็กน้อย ให้คุณสมบัติของเขาเพิ่มขึ้นอีก
ส่วนจิ่งเทียนกง ถึงแม้จะเป็นสาวกของตน แต่หานเจวี๋ยก็ไม่ได้ห้ามปราม เขาเฝ้ามองจิ่งเทียนกงสร้างแรงกดดันให้หานทั่วอย่างมีความสุข ป้องกันไม่ให้หานทั่วหยุดชะงักไม่ก้าวหน้าได้พอดี
แน่นอน หากว่าสองคนนี้ลงเอยด้วยการเป็นศัตรูกันจริงๆ หานเจวี๋ยคงต้องออกโรงเอง
สำหรับจิ่งเทียนกงนั้น หานเจวี๋ยก็รู้สึกถูกชะตาด้วยเสมอมา
………………………………………………………………