บทที่ 588 ทำเนียบดวงชะตามรรคาสวรรค์
หานเจวี๋ยคิดไปคิดมา ตัดสินใจว่าจะส่งเต้าจื้อจุนไปเข้าร่วมกับเผ่าเรืองนาม แต่ก็ต้องรอให้เต้าจื้อจุนสำเร็จเป็นครึ่งอริยะก่อนค่อยว่ากัน
ตอนนี้เผ่าเรืองนามยังไม่มีครึ่งอริยะ หากมีครึ่งอริยะยอมให้การสนับสนุน ฝ่ายนั้นต้องไม่ปฏิเสธแน่นอน
ครึ่งอริยะมีน้อยนิดเหลือเกิน แต่ทุกสำนักที่มีครึ่งอริยะประจำการอยู่ล้วนเป็นกลุ่มอิทธิพลชั้นแนวหน้าทั้งสิ้น ความแข็งแกร่งของเผ่าเรืองนามขึ้นอยู่กับจำนวนสมาชิกในเผ่า ไม่ใช่ตบะอันล้ำเลิศ
เต้าจื้อจุนยังอยู่ห่างไกลจากระดับครึ่งอริยะมากนัก หานเจวี๋ยจึงปล่อยเรื่องนี้ไปก่อน ทุ่มสมาธิกับการฝึกบำเพ็ญ
วางแผนปูทางเพื่อความสะดวกเท่านั้น ตบะของตนยังคงสำคัญที่สุดอยู่ดี
….
เวลาล่วงเลย เพียงพริบตาเดียวผ่านไปสามพันปีแล้ว
หานเจวี๋ยสิ้นสุดการปิดด่านบำเพ็ญ เริ่มแสดงธรรมแก่สำนักซ่อนเร้นเช่นเดียวกับที่ผ่านมา แสดงธรรมเป็นเวลาร้อยปี เหล่าศิษย์ยังไม่ได้สติกลับมา หานเจวี๋ยก็ล่าถอยออกไปแล้ว
สี่ปีต่อมา หานเจวี๋ยได้ยินเสียงหนึ่งแว่วขึ้น
“สหายเต๋าหาน พวกเรามีเรื่องอยากปรึกษา เกี่ยวกับตำแหน่งอริยะต่อจากนี้ เจ้ามารวมตัวกันที่ตำหนักเอกภพเถอะ”
เป็นเสียงของจอมอริยะเสวียนตู
หานเจวี๋ยลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ถามในใจว่า ‘หากไปครั้งนี้ ข้าจะมีอันตรายถึงชีวิตหรือไม่’
อุดอู้มานาน เขาก็อยากออกไปเดินเล่นเหมือนกัน
[จำเป็นต้องหักอายุขัยสี่พันล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]
ดำเนินการต่อ!
พอไม่ถูกหักอายุขัยนานๆ เข้า หานเจวี๋ยรู้สึกไม่ค่อยชินอยู่บ้าง
[ไม่มี]
ไม่มีคำว่าขณะนี้ ก็แปลว่าไม่มีเลย!
หานเจวี๋ยผ่อนคลายลงทันที จากนั้นก็เคลื่อนย้ายไปโผล่ ณ ชั้นฟ้าที่สามสิบสาม
ประตูใหญ่ตำหนักเอกภพเปิดอ้า หานเจวี๋ยบินเข้าไปในวัง มองเห็นเทพสูงสุดหนานจี๋และเจ้านิกายเทียนเจวี๋ยมาถึงแล้ว ทั้งสองต่างพยักหน้าทักทายเขา
จอมอริยะเสวียนตูนั่งอยู่ด้านหลัง มองเขาอย่างสงบนิ่ง
เทพสูงสุดหนานจี๋ก้าวเข้ามาหา ยิ้มแย้มเอ่ยทักทายอย่างกระตือรือร้น “สหายเต๋าหาน ในที่สุดเจ้าก็ยอมออกมาสักที ข้าหลงนึกว่าครั้งนี้เจ้าก็คงไม่มาอีกแล้ว”
หานเจวี๋ยเอ่ยตอบ “ออกมาสูดอากาศบ้างน่ะ การประชุมอีกหลายครั้งต่อจากนี้นั้นข้าก็อาจจะขาดประชุมอีกเช่นเคย ยุ่งอยู่กับการฝึกบำเพ็ญ”
“โอ้ เจ้าแข็งแกร่งขนาดนี้แล้ว เหตุใดยังบากบั่นบำเพ็ญเช่นนี้อยู่เล่า”
“ยามที่เคราะห์ภัยครั้งต่อไปมาเยือน ข้าจะได้มีกำลังพอปกป้องตัวเอง”
เทพสูงสุดหนานจี๋ส่ายหน้าหลุดยิ้มออกมา
เจ้ามีกำลังปกป้องตัวเองมากพอแล้ว!
เทพสูงสุดหนานจี๋ไม่มีทางลืมเลือนฉากที่หานเจวี๋ยสังหารมารมรรคาสวรรค์อย่างทรงพลังได้ นั่นก็เป็นการปกป้องตัวเองหรือ
เจ้านิกายเทียนเจวี๋ยก็เข้ามาพูดคุยตามมารยาทกับหานเจวี๋ยเช่นกัน ส่วนจอมอริยะเสวียนตูกลับไม่ปริปากเลย
เวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูป อริยะรายอื่นต่างทยอยกันมา
ฉิวซีไหลและเทพสูงสุดอู๋ฝ่าเพียงผงกหัวให้หานเจวี๋ยนิดๆ ยากจะจินตนาการออกว่าอริยะสองรายนี้กลายเป็นทาสของหานเจวี๋ยแล้ว
หลังจากเหล่าอริยะมากันครบ จอมอริยะเสวียนตูถึงเปิดปากเอ่ย “วันนี้ที่เรียกทุกท่านมา เพราะอยากหารือว่าต้องการจัดตั้งทำเนียบมรรคาสวรรค์ขึ้นหรือไม่”
ฝูซีเทียนถามด้วยความอยากรู้ “ทำเนียบมรรคาสวรรค์คือสิ่งใด”
“เป็นทำเนียบลำดับนามที่จัดขึ้นสำหรับสรรพสิ่ง ช่วยเสริมสร้างจิตวิญญาณการต่อสู้ในวิถีบำเพ็ญของสรรพสิ่งได้” จอมอริยะเสวียนตูตอบ
หานเจวี๋ยมีสีหน้าประหลาดใจอยู่บ้าง แต่โชคดีที่แสงเทพจากหยินหยางพิทักษ์ตะวันจันทราบดบังใบหน้าของเขาไว้
ทำเนียบลำดับนาม?
พวกเจ้าเล่นเกมออนไลน์กันอยู่หรือไร
เทพสูงสุดหนานจี๋เลิกคิ้วพลางถามว่า “แล้วจะจัดลำดับกันอย่างไร วัดจากตบะหรือ แต่ตบะไม่สามารถบ่งชี้ความสามารถที่แท้จริงได้”
มหาจักรพรรดิเซียวเอ่ยว่า “จัดลำดับด้วยมรรควิถีดีหรือไม่”
“จัดลำดับด้วยสมบัติวิเศษเถอะ”
“เฮอะ คนเขารู้กันทั่วว่าเจ้ามอบสมบัติวิญญาณมรรคาสวรรค์ชิ้นหนึ่งให้บรรพชนพุทธเทวัญน่ะ”
“สมบัติวิญญาณมรรคาสวรรค์จะนับว่ายากเย็นอะไร เจ้าสามารถนำยอดสมบัติมรรคาสวรรค์ออกมาได้เช่นกัน”
ฉิวซีไหลและเทพสูงสุดหนานจี๋เริ่มโต้เถียงกัน สองอริยะเป็นไม้เบื่อไม้เมากันเสมอมา อริยะรายอื่นเคยชินกันเสียแล้ว
จอมอริยะเสวียนตูเอ่ยขึ้นว่า “จัดลำดับด้วยดวงชะตามรรคาสวรรค์เป็นอย่างไร สิ่งที่พวกเราเสาะแสวงหาคือความรุ่งโรจน์ของมรรคาสวรรค์ มิใช่กฎระเบียบป่าเถื่อนจำพวกคนอ่อนแอย่อมตกเป็นเหยื่อของผู้แข็งแกร่ง”
เมื่อเหล่าอริยะได้ฟังต่างก็รู้สึกว่ามีเหตุผล
หานเจวี๋ยก็ต้องมองจอมอริยะเสวียนตูในมุมใหม่เช่นกัน
หากจัดลำดับตามความแข็งแกร่งและอ่อนแอจริงๆ เช่นนั้นหานเจวี๋ยย่อมจะดูแคลนจอมอริยะเสวียนตู
เรื่องดวงชะตายากจะวัดกันได้ สิ่งมีชีวิตบางจำพวกตบะอาจไม่แข็งแกร่ง แต่มีความดีความชอบต่อสรรพสิ่ง ต่อมรรคาสวรรค์ หากจัดลำดับตามดวงชะตามรรคาสวรรค์ ก็ยังไม่แน่ว่าครึ่งอริยะจะอยู่ในทำเนียบรายชื่อ
หลังจากได้รับความเห็นชอบจากเหล่าอริยะ จอมอริยะเสวียนตูก็เริ่มใช้พลังเวท
จำต้องกล่าวเลยว่า จอมอริยะเสวียนตูช่างรอบคอบนัก เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเขาสามารถลงมือทำไปเลยก็ได้ แต่ก็ยังมาสอบถามเหล่าอริยะก่อน นับว่าเป็นการไว้หน้าให้เกียรติ
กลับกันหลี่มู่อีไม่ได้มีมนุษย์สัมพันธ์สูงขนาดนี้ ถึงขั้นใจแคบและขี้สงสัยด้วยซ้ำ
ตั้งแต่ต้นจนจบ จอมอริยะเสวียนตูไม่เกิดความประทับใจหรือความเกลียดชังในตัวหานเจวี๋ยเลย ราวกับผู้ที่สังหารหลี่มู่อีไม่ใช่หานเจวี๋ย และไม่มีอริยะรายใดเอ่ยถึงเรื่องนี้อีกเลย ราวกับไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ครึ่งชั่วยามผ่านไป
“พวกเราเหล่าอริยะเห็นพ้องต้องกันว่าจะเริ่มจัดตั้งทำเนียบดวงชะตามรรคาสวรรค์ สิ่งมีชีวิตในโลกต่างๆ ขอเพียงนึกถึงก็จะได้เห็นรายชื่อล้านลำดับแรกที่จัดลำดับขึ้นตามดวงชะตาของโลกต่างๆ รายชื่อห้าลำดับแรกแห่งแดนเซียน เมื่อมรรคาสวรรค์อยู่ในสภาวะสมบูรณ์ก็จะได้รับตำแหน่งอริยะ!”
เสียงของจอมอริยะเสวียนตูดังก้องไปทั่วปวงสวรรค์หมื่นโลกา จากนั้นเหล่าอริยะต่างก็แยกย้ายกันไป
หานเจวี๋ยกลับไปที่อารามเต๋า บรรดาสิ่งมีชีวิตในเขตเซียนร้อยคีรีล้วนพูดคุยถึงเรื่องทำเนียบดวงชะตามรรคาสวรรค์
หานเจวี๋ยหลับตาลงตรวจสอบดูทำเนียบดวงชะตามรรคาสวรรค์ ม้วนหนังสือสีทองพลันปรากฏขึ้นในสมองของเขา เมื่อกางมันออก รายชื่อนับล้านพลันปรากฏขึ้น
ดวงชะตาลำดับที่หนึ่ง หลี่เต้าคง
ดวงชะตาผลกุศลจากเขาเทพปู้โจวช่างมหาศาลเหลือคณาโดยแท้
ส่วนรายชื่อที่อยู่ด้านล่าง หานเจวี๋ยไม่คุ้นเลย
จี้เซียนเสินเป็นถึงผู้นำของเผ่าสวรรค์ ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะไม่ติดสิบลำดับแรก
น่าสนใจ
จากนี้ไปสรรพสิ่งจะเริ่มแก่งแย่งดวงชะตามรรคาสวรรค์กันอย่างแน่นอน รวมถึงมีการฆ่าฟันกันด้วย แต่ในเชิงภาพรวมแล้วจะเป็นการช่วยขับเคลื่อนมรรคาสวรรค์ให้พัฒนาขึ้น
ดวงชะตามรรคาสวรรค์ใช่ว่าจะต้องฆ่าฟันเท่านั้นถึงได้มา หากเข่นฆ่ามากเกินไป จะปรากฏแรงกรรมที่ส่งผลตรงกันข้ามกับดวงชะตา สิ่งสำคัญที่สุดยังคงเป็นการก่อคุณงามความดีต่อมรรคาสวรรค์ เช่นก่อตั้งเผ่าพันธุ์หรือสำนักดวงชะตา เทศนาธรรมถ่ายทอดมรรควิถี บุกเบิกฟ้าดินเป็นต้น
ต้าซั่นเทียนผู้ก่อตั้งโลกมนุษย์แห่งแรกขึ้นก็ติดหนึ่งในสิบลำดับแรกเช่นกัน
เหล่าอริยะล้วนไม่อยู่ในทำเนียบ อย่างไรก็ตามเหล่าอริยะต้องช่วยเกื้อหนุนศิษย์ในสังกัดให้ติดทำเนียบนี้อย่างแน่นอน
หานเจวี๋ยดูอยู่ครู่หนึ่งก็เริ่มฝึกบำเพ็ญ
ทำเนียบดวงชะตามรรคาสวรรค์นี้ยังคงดำเนินต่อไปอีกนาน เขาไม่จำเป็นต้องลงมือทันที
อีกทั้งต้องรอดูว่าอริยะรายอื่นจะวางแผนกันอย่างไร
….
ภายในห้วงอวกาศอันมืดมิดแห่งหนึ่ง ประกายแสงสายหนึ่งเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่างตัดสลับกันไปมา คล้ายจริงคล้ายมายา
หากเข้าไปมองใกล้ๆ จะเห็นว่าประกายแสงนั้นแผ่ออกมาจากเกาะเกาะหนึ่ง บนเกาะเต็มไปด้วยผลึกสีม่วงมากมายนับไม่ถ้วน ทำให้สภาพแวดล้อมของเกาะดูเบียดเสียดแน่นหนาอย่างยิ่ง
ภายในเกาะมีขุนเขาสายธาร ก่อตัวเป็นโลกแห่งหนึ่ง ทั้งขุนเขาและผืนฝ่าล้วนมีผลึกสีม่วงงอกอยู่มากมาย
ภายในป่าไผ่ผลึก จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายกำลังนั่งสมาธิฝึกบำเพ็ญอยู่ ไอดำมากมายพัวพันรอบกายเขา บางครั้งก็ก่อตัวเป็นเงาเทพและมารต่อสู้ห้ำหั่นกัน
จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายสวมชุดคลุมสีดำปักลายมังกร หน้าตาดุดันเผด็จการ น่าหวาดผวาและชวนอึดอัด หว่างคิ้วของเขาเปี่ยมไปด้วยไอชั่วร้ายหนาแน่น จากรูปลักษณ์ภายนอกที่เห็น ทำให้คนรู้สึกว่าเขาคือมารร้ายน่าหวาดกลัวตนหนึ่ง
จักรพรรดิสวรรค์ผู้ยิ่งใหญ่เกรียงไกรในวันวานเปลี่ยนไปเป็นคนละคนแล้ว
ทันใดนั้นจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายพลันลืมตาขึ้น เห็นเงาร่างหนึ่งปรากฏขึ้นในผลึกม่วงเบื้องหน้า มองไม่เห็นใบหน้าที่แท้จริง
“มีเรื่องใด” จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายเปิดปากถาม
เงาร่างในผลึกม่วงเปล่งเสียงแหบพร่าออกมา “ข้ากลืนกินมรรคาสวรรค์เล็กไปห้าแห่งแล้ว เจ้าเลือกมาสักแห่งเถอะ”
จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายได้ฟังก็แสดงสีหน้าตกตะลึง “เร็วขนาดนี้เชียวหรือ อริยะเหล่านั้นเล่า”
“บ้างก็ตาย บ้างก็หนีรอดไปได้”
“ได้ เช่นนั้นท่านก็ยกมรรคาสวรรค์เล็กที่ยิ่งใหญ่ที่สุดจากในบรรดานั้นให้ข้าเถอะ”
“อืม จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้าย อย่าทำให้ข้าผิดหวัง ให้เวลาอย่างมากหมื่นล้านปี ข้าจะกวาดล้างแดนเซียนให้ได้ เมื่อถึงเวลานั้น เจ้าจะได้เผชิญหน้ากับสรรพสิ่งแห่งแดนเซียน”
“วางใจเถิด ข้าจะไม่ทำให้ท่านต้องผิดหวัง”
จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายตอบอย่างมั่นใจเต็มเปี่ยม ดวงตาฉายแววคาดหวังเฝ้ารอ
เขาเฝ้ารอวันนั้นมาโดยตลอด!
………………………………………………………………