บทที่ 590 ลี่เหยาตั้งสำนัก
‘เจ้าคนผู้นี้ใช้ได้เลยนี่ เมื่อก่อนอยากรับข้าเป็นศิษย์ ตอนนี้พอเห็นว่าหานอวี้หน้าตาเหมือนข้า จึงรับหานอวี้เอาไว้ ช่างเป็นหมาป่าร้ายที่มีใจทะเยอะทะยานโดยแท้’
หานเจวี๋ยด่าในใจ เห็นหลี่เต้าคงรับหานอวี้เป็นศิษย์ เขารู้สึกไม่สบอารมณ์อย่างน่าประหลาด
รอให้หลี่เต้าคงกลับมา ต้องสั่งสอนกันสักหน่อย
นับตั้งแต่กราบเข้าสู่สังกัดของหลี่เต้าคง ตบะของหานอวี้ก็เพิ่มพูนขึ้นทุกวัน ยิ่งไปกว่านั้นเขายังได้เรียนรู้พลังวิเศษมรรคกระบี่ไม่น้อยเลย กลายเป็นผู้ฝึกกระบี่อย่างแท้จริง
หลี่เต้าคงดีต่อหานอวี้ยิ่งนัก ถึงขั้นมอบกระบี่ระดับสมบัติวิญญาณมรรคาสวรรค์ให้แก่หานอวี้
สมบัติวิญญาณมรรคาสวรรค์ต่อให้เป็นอริยะ ก็ยังเป็นสมบัติที่พบได้น้อยยิ่ง
เมื่อเห็นกระบี่เล่มนี้ ความประทับใจที่หานเจวี๋ยมีต่อหลี่เต้าคงก็เพิ่มขึ้นอีกครั้ง
แม้ว่าการที่หลี่เต้าคงปฏิบัติต่อหานอวี้ด้วยความจริงใจ จะเป็นเพราะไว้หน้าหานเจวี๋ยก็ตาม
หานอวี้นับว่าได้ลงหลักปักฐานแล้ว การฝึกบำเพ็ญในภายภาคหน้าต้องเป็นไปอย่างราบรื่นแน่ แม้ว่าหานเจวี๋ยจะไม่ใช้เส้นสายให้เขา เขาก็สามารถกลายเป็นผู้แข็งแกร่งได้
ก็เป็นศิษย์ของหลี่เต้าคงนี่นะ!
ขณะที่หานเจวี๋ยกำลังสอดส่องหานอวี้ มีคนมาขอเข้าพบเขา
เป็นลี่เหยานั่นเอง
หานเจวี๋ยว่างอยู่พอดี จึงให้นางเข้ามา
ลี่เหยาเดินมาหยุดตรงหน้าหานเจวี๋ย ถึงแม้ทั้งสองจะเป็นคู่บำเพ็ญเพียรกันอย่างเป็นทางการแล้ว แต่นางมิได้มีท่าทางกำเริบเสิบสานเลย ยังคงค่อนข้างให้ความเคารพ
“ทำเนียบดวงชะตามรรคาสวรรค์สำคัญมากใช่หรือไม่ ข้าอยากช่วงชิงตำแหน่งอริยะด้วย” ลี่เหยาเอ่ยตรงๆ
หานเจวี๋ยกล่าว “เจ้าเพิ่งมีตบะระดับเซียนทองต้าหลัว ยังห่างไกลจากตำแหน่งอริยะมากนัก”
“ห่างไกลจริงๆ นั่นแหละ แต่การจะสั่งสมดวงชะตาก็ต้องใช้เวลาเช่นกันกระมัง”
ลี่เหยาเอ่ยอย่างจริงจัง “ยิ่งสำนักซ่อนเร้นมีอริยะมากเท่าไรก็ยิ่งดีเท่านั้น หลี่เต้าคงมีศักยภาพมากพอจะอาศัยพลังพิสูจน์มรรคสำเร็จเป็นอริยะ แต่ถึงอย่างไรเขาก็เข้าร่วมกับพวกเราหลังจากที่สำนักซ่อนเร้นแข็งแกร่งขึ้นมาแล้ว ข้าไม่ไว้ใจเขา”
หานเจวี๋ยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “นี่ไม่คล้ายตัวเจ้าเลย”
ลี่เหยากล่าวอย่างจนปัญญา “เอาเถิด อันที่จริงนี่คือความคิดเห็นร่วมกันของบรรดาศิษย์สืบทอด”
หัวใจของหานเจวี๋ยอุ่นวาบ
เขาไม่ได้รู้สึกว่าเหล่าศิษย์สืบทอดเห็นแก่ตัวเลย หากว่าทุกคนคิดเพื่อตัวเอง ก็คงผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาร้องขอวิธีพิสูจน์มรรคจากหานเจวี๋ยกันหมดแล้ว
พวกเขาส่งลี่เหยามาเป็นตัวแทน คาดว่าคงมองจากความสัมพันธ์ระหว่างลี่เหยาและเขา เพื่อให้โน้มน้าวเขาได้ง่ายขึ้น
หานเจวี๋ยสามารถมองเห็นค่าความประทับใจ ทว่าค่าความประทับใจไม่ได้คงที่ ค่าความประทับใจหกดาวก็อาจลดต่ำลงได้เช่นกัน
“เจ้าคิดเห็นอย่างไร” หานเจวี๋ยถาม
ลี่เหยาตอบ “ข้าวางแผนว่าจะพาอู้เต้าเจี้ยน เซียนซีเสวียน เซวียนฉิงจวิน และฉางเยวี่ยเอ๋อร์ไปก่อตั้งสำนักดวงชะตาสำหรับสตรีหรือสิ่งมีชีวิตเพศหญิง สำนักเช่นนี้ยังมิเคยมีปรากฏมาก่อน มีโอกาสใช้ประโยชน์ได้”
หานเจวี๋ยรู้สึกว่าใช้ได้ จากนั้นจึงถามต่อว่า “สิงหงเสวียนและถูหลิงเอ๋อร์เล่า ไยจึงไม่ไปด้วย”
ลี่เหยาชี้แจง “แม่นางสิงบอกว่าต้องการทุ่มเทฝึกบำเพ็ญเพื่อมีทายาทให้ท่าน ให้กำเนิดบุตรแห่งสวรรค์สักคน ถูหลิงเอ๋อร์บอกว่าสถานะของนางค่อนข้างพิเศษ ไม่เหมาะจะออกไปด้านนอก”
หานเจวี๋ยยิ้มไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกแล้ว
สาวน้อยสองนางนี้ต่างคิดจะฉวยโอกาสจากเขา
“อืม พวกเจ้าสามารถคัดเลือกศิษย์หญิงจำนวนหนึ่งภายในเขตเซียนร้อยคีรีได้ เมื่อถึงเวลาที่พวกเจ้าตัดสินใจจะออกไปแล้ว ให้พูดออกมาได้เลย ข้าได้ยิน ไม่จำเป็นต้องมาหาข้า”
“ขอบพระคุณเจ้าสำนัก!”
“หืม ยังเรียกเจ้าสำนักอยู่อีกหรือ”
ลี่เหยาฟังแล้วหน้าแดงซ่าน แต่นางเขินอาย จึงไม่ยอมเปลี่ยนคำเรียก
หานเจวี๋ยก็ไม่ได้บังคับ ให้นางถอยออกไปได้
หลายเดือนต่อมา
ลี่เหยา เซวียนฉิงจวิน เซียนซีเสวียน และฉางเยวี่ยเอ๋อร์พาศิษย์หญิงกว่าห้าร้อยคนจากไป ศิษย์หญิงเหล่านี้ล้วนมีตบะระดับจักรพรรดิเซียน
มีลี่เหยาเป็นผู้นำกลุ่ม หานเจวี๋ยก็ไม่นึกห่วงอีก หากเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ ขอเพียงอยู่ในรัศมีแดนเซียน เขาล้วนสามารถรับรู้ได้
ชั่วพริบตาเดียว
เวลาผ่านไปสองร้อยสี่สิบเอ็ดปี
“ข้ามีนามว่าลี่เหยา ได้รับการอบรมสั่งสอนจากอริยะสวรรค์เกรียงไกรเปี่ยมกุศล วันนี้ได้ก่อตั้งสำนักสตรีศักดิ์สิทธิ์ขึ้น เปิดรับสิ่งมีชีวิตเพศหญิงที่แปลงกายได้แล้วเป็นศิษย์ สั่งสอนถ่ายทอดวิชาศักดิ์สิทธิ์ให้ ไม่ว่าจะเป็นเผ่าพันธุ์ไหน ตบะระดับใด ต่างมาแสวงหามรรควิถีที่เทือกเขาเดียวดายแดนกล้วยไม้โรยราได้”
เสียงของลี่เหยาดังก้องไปทั่วปวงสวรรค์หมื่นโลกา น้ำเสียงเคร่งขรึมหนักแน่น ทำให้หานเจวี๋ยปลาบปลื้มนัก นางสามารถดูแลจัดการด้วยตัวคนเดียวได้แล้ว
ทว่านามนี้…
หานเจวี๋ยคิดเหลวไหลอยู่บ้าง
หากสลัดมุมมองในชาติที่แล้วทิ้งไป ในแดนเซียนสตรีศักดิ์สิทธิ์มีฐานะสูงส่งยิ่ง ไม่อาจทำให้มัวหมองแปดเปื้อนได้
ศิษย์สืบทอดคนอื่นๆ ต่างไม่ได้มาหาหานเจวี๋ย ทำให้หานเจวี๋ยพอใจยิ่ง
ครึ่งอริยะเท่านั้นถึงจะออกไปได้ นี่คือกฎเหล็ก!
ไม่มีทางเปลี่ยนแปลง!
นอกจากจะได้รับความเห็นชอบจากหานเจวี๋ย!
อื้ม…จริงๆ ก็แค่ความสองมาตรฐานเท่านั้น
หานเจวี๋ยใกล้จะมีอายุครบเก้าหมื่นปีแล้ว เขาไม่มีอารมณ์ฝึกบำเพ็ญ จึงลุกออกไปแสดงธรรมนอกอาราม
….
ณ ชั้นฟ้าที่สิบสาม ตำหนักใหญ่เผ่าสวรรค์
จี้เซียนเสินนั่งบนบัลลังก์ สีหน้ามืดทะมึนสลับไปมา เหล่าเทพเซียนในตำหนักต่างพากันถกเถียงวิจารณ์
“ได้ยินว่าเจ้าสำนักสตรีศักดิ์สิทธิ์เป็นต้าหลัว!”
“อริยะสวรรค์เกรียงไกรเปี่ยมกุศลมิใช่เจ้าสำนักซ่อนเร้นหรอกหรือ”
“ฮ่าๆๆ ภูมิหลังของสำนักซ่อนเร้นเรายิ่งใหญ่มากนัก ตกตะลึงกันเข้าแล้วกระมัง”
“สำนักสตรีศักดิ์สิทธิ์ก่อตั้งขึ้นเป็นครั้งแรก ซ้ำยังมีสำนักซ่อนเร้นเกื้อหนุน เผ่าสวรรค์สมควรไปร่วมแสดงความยินดี ให้เป็นที่ประจักษ์ไปทั่วปวงสวรรค์”
“ข้าคิดว่าเหมาะสม”
เหล่าเทพเซียนพูดคุยกันอย่างเป็นการเป็นงาน สำนักซ่อนเร้นมอบจักรพรรดิเซียนให้เผ่าสวรรค์มากมายเหลือเกิน เรียกได้ว่าเป็นคนของสำนักซ่อนเร้นไปแล้วกว่าครึ่ง
แม่ทัพเทพสวรรค์สังเกตเห็นว่าจี้เซียนเสินผิดปกติไป จึงเปิดปากถาม “บรรพชนสวรรค์ ท่านคิดอะไรอยู่หรือขอรับ”
พอประโยคนี้ถูกเอ่ยออกมา บรรดาเทพเซียนต่างเงียบลง ทุกคนมองไปที่จี้เซียนเสิน
แววตาของเทพเซียนบางส่วนแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย พวกเขาล้วนมาจากสำนักซ่อนเร้น ยามที่หลี่เสวียนเอ้าจากไปได้กำชับพวกเขาไว้ อย่าได้หลงลืมรากเหง้าที่แท้จริงของตน
พวกเขาล้วนเป็นศิษย์ของสำนักซ่อนเร้น!
ถ้าหากจี้เซียนเสินแสดงท่าทีไม่พอใจต่อสำนักซ่อนเร้น พวกเขาไม่ยอมทนแน่
ในมุมมองของพวกเขา หากไม่มีสำนักซ่อนเร้น เผ่าสวรรค์ไหนเลยจะมีวันนี้ได้!
จี้เซียนเสินกล่าวว่า “สำนักสตรีศักดิ์สิทธิ์ก่อตั้งสำเร็จ เผ่าสวรรค์ย่อมต้องร่วมยินดี แต่แดนกล้วยไม้โรยราเป็นอาณาเขตของนิกายเจี๋ย ระยะนี้นิกายเจี๋ยเตรียมเปิดศึกกับเผ่าปีศาจ ซ้ำยังจับมือเป็นพันธมิตรกับเผ่าสวรรค์แล้ว…”
เหล่าเทพเซียนต่างพากันขมวดคิ้ว
นิกายเจี๋ยเป็นสำนักนิกายแห่งอริยะ สำนักสตรีศักดิ์สิทธิ์ก่อตั้งขึ้นในอาณาเขตนิกายเจี๋ย ต้องเกิดความขัดแย้งขึ้นอย่างแน่นอน ไม่ว่าเผ่าสวรรค์จะช่วยเหลือผู้ใดก็ล้วนไม่เป็นผลดีทั้งสิ้น
แม่ทัพเทพสวรรค์เองก็ขมวดคิ้วเช่นกัน
ไม่ว่าจะเป็นสำนักซ่อนเร้น หรือว่านิกายเจี๋ย พวกเขาต่างล่วงเกินไม่ได้ทั้งสิ้น
แม่ทัพเทพสวรรค์กล่าว “อันที่จริงพวกเขาไม่จำเป็นต้องคิดมากเลย ย่อมต้องไปเยี่ยมเยือนสำนักสตรีศักดิ์สิทธิ์อยู่แล้ว ส่วนนิกายเจี๋ย พวกเราพยายามทุ่มเทช่วยเหลืออย่างเต็มที่ เทียบกับแดนกล้วยไม้โรยราแล้ว ความทะเยอทะยานของนิกายเจี๋ยยิ่งใหญ่กว่านั้น”
เซียนชราผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นมาว่า “หากว่านิกายเจี๋ยต้องการให้เลือกเล่า”
แม่ทัพเทพสวรรค์เงียบไป
“ทำลายล้างนิกายเจี๋ยเสียก็สิ้นเรื่อง!”
ศิษย์คนหนึ่งของสำนักซ่อนเร้นแค่นเสียงเอ่ย น้ำเสียงก้าวร้าว
เทพเซียนคนอื่นๆ ที่มาจากสำนักซ่อนเร้นต่างพากันสนับสนุน
พวกเขามาจากสำนักซ่อนเร้น ทราบว่าลี่เหยามีฐานะพิเศษในสำนักซ่อนเร้น ย่อมเลือกฝั่งได้ง่ายยิ่ง
จี้เซียนเสินสบถในใจ ตนกำลังคิดอะไรอยู่กัน
มีหานเจวี๋ยหนุนหลัง ยังจะกลัวอะไรอีก
ต้องเลือกสำนักสตรีศักดิ์สิทธิ์แน่อยู่แล้ว!
….
นิกายเจี๋ย ภายในอารามเต๋าหลังหนึ่ง
หวงจุนเทียนกำลังนั่งสมาธิ ศิษย์คนหนึ่งพุ่งเข้ามา รายงานว่า “เจ้านิกายขอรับสำนักสตรีศักดิ์สิทธิ์เข้ายึดครองเทือกเขาเดียวดายอันเป็นชีพจรวิญญาณเส้นหนึ่งของสำนักเรา จะทำอย่างไรดีขอรับ”
เจ้าสำนักสตรีศักดิ์สิทธิ์ได้รับการอบรมสั่งสอนจากอริยะสวรรค์เกรียงไกรเปี่ยมกุศล พวกเขาจำเป็นต้องระมัดระวัง ไม่กล้าล่วงเกินง่ายๆ
หวงจุนเทียนลืมตาขึ้น เอ่ยว่า “ยกเทือกเขาเดียวดายให้สำนักสตรีศักดิ์สิทธิ์ ส่งคนไปร่วมแสดงความยินดี มอบของขวัญอย่างสมเกียรติ ผูกมิตรกับสำนักสตรีศักดิ์สิทธิ์เอาไว้”
เขาอารมณ์ดียิ่ง
ในมุมมองของเขาการปรากฏตัวขึ้นของสำนักสตรีศักดิ์สิทธิ์ถือเป็นเรื่องดี
ในที่สุดหานเจวี๋ยก็ลงมือแล้ว ต้องการสนับสนุนเขา!
เมื่อสำนักสตรีศักดิ์สิทธิ์ขยายอำนาจ ร่วมมือกับนิกายเจี๋ย เช่นนั้นแล้วจะไม่แข็งแกร่งได้อีกหรือ!
ส่วนเรื่องที่ว่าสำนักสตรีศักดิ์สิทธิ์จะส่งผลกระทบต่อนิกายเจี๋ยหรือไม่ หวงจุนเทียนไม่นึกกังวลเลย
เขาจดจำเอาไว้เสมอว่าตนคือศิษย์ของสำนักซ่อนเร้น ตำแหน่งเจ้านิกายเจี๋ยจะเทียบกับความไว้วางใจจากหานเจวี๋ยได้อย่างไร
………………………………………………………………