บทที่ 599 มุ่งหน้าสู่เขตฟ้าบุพกาล
เช้าวันใหม่ หยางตู๋ในวัยสิบสี่ปีเดินออกมาจากเพิงหลังเล็กที่เต็มไปด้วยอุปกรณ์ไฟฟ้าเก่าๆ แสงแดดส่องกระทบร่างเขา เส้นผมเขายุ่งเหยิง ถึงแม้ใบหน้าจะสกปรกมอมแมม แต่แววตากลับใสกระจ่าง ยังคงมองออกว่าหน้าตาหล่อเหลา
“วันนี้ไปค้นดูแถวๆ จัตุรัสร้างเขตตงเฉิงดีกว่า หวังว่าจะค้นเจออุปกรณ์ไฟฟ้าเก่าๆ ที่ยังใช้ได้นะ”
หยางตู๋ยิ้มมุมปาก สีหน้าคาดหวัง
เขาบิดขี้เกียจ หยิบพลองเหล็กสีเงินอันหนึ่งที่วางอยู่ตรงประตูขึ้นมา มุ่งหน้าไปทางตะวันออก
ในเวลานี้เอง
ลำแสงสายหนึ่งพุ่งลงมาจากฟากฟ้า กระแทกเข้าใส่หน้าผากหยางตู๋ด้วยความเร็วสุดขีด
หยางตู๋พลันตะลึงงันอยู่ที่เดิม แววตาเลื่อนลอย
ผ่านไปพักใหญ่
หยางตู๋ลืมตาขึ้นอีกครั้ง
เขาพึมพำกับตัวเอง “วิชาชุบร่างวัฏจักรดารา…นี่มันอะไรกัน”
….
ไกลออกไปบนดวงอาทิตย์หานเจวี๋ยจับตามองหยางตู๋อยู่
หยางตู๋ไร้ที่พึ่งพิง แม้ว่าชีวิตจะลำบาก แต่ไม่เคยสูญเสียอุปนิสัยมองโลกในแง่ดีไปเลย ความมองโลกในแง่ดีของเขามิใช่การเสแสร้ง ช่วงที่อยู่คนเดียวในตอนกลางคืนเขาจะวาดหวังถึงอนาคตของตัวเอง ไม่รู้สึกอ่อนไหวไปตามฤดูกาล
พลังวิญญาณของแดนเซียนพิภพมีไม่มากพอ หานเจวี๋ยจึงถ่ายทอดวิชาชุบร่างวัฏจักรดาราให้แก่เขา วิชานี้เป็นศาสตร์หลอมร่าง ดึงดูดพลังธรรมชาติเข้ามาชุบหลอมร่างกาย
อย่างไรก็ตามพอถึงช่วงท้ายๆ ยังคงต้องพึ่งพาพลังวิญญาณอยู่ดี
อีกอย่าง วิชาชุบร่างวัฏจักรดาราเดิมทีเหมาะสำหรับให้ผู้มีคุณสมบัติกายฟ้าบุพกาลฝึกบำเพ็ญ แต่ผ่านการปรับปรุงจากหานเจวี๋ยแล้ว สร้างหลักสูตรสำหรับร่างกายธรรมดาขึ้นมา กล่าวอีกอย่างก็คือ วิญญาณธรรมดายากจะแสดงประสิทธิภาพที่แท้จริงออกมาได้ แต่วันหน้าหยางตู๋จะต้องกลายเป็นเทพมารฟ้าบุพกาล ฝึกฝนวิชานี้ไว้ล่วงหน้า ถือเสียว่าเป็นการเตรียมพร้อม
เมื่อถึงเวลานั้น หานเจวี๋ยจะเคลื่อนย้ายเขาไปฝึกบำเพ็ญที่อาณาเขตเต๋าแห่งที่สอง
หานเจวี๋ยกลับสู่อาณาเขตเต๋าหลัก แล้วฝึกบำเพ็ญต่อ
หากว่าหยางตู๋ชิงตายไปเสียก่อน เช่นนั้นก็หมายความว่าเด็กคนนี้ชะตาไม่แข็งพอ
ไม่คู่ควรได้รับการชุบเลี้ยงจากหานเจวี๋ย
เวลาไหลผ่านไปเรื่อยๆ
หนึ่งพันปีผ่านไปว่องไวยิ่ง
ความเข้าใจที่หานเจวี๋ยมีต่อการผสานมหามรรคต้นกำเนิดลึกซึ้งขึ้นเรื่อยๆ เขาต้องสร้างมหามรรคต้นกำเนิดให้มีตัวตนขึ้นมาจริงๆ เสียก่อน แล้วค่อยผสานรวมเข้ากับกายเนื้อ
อย่างไรก็ตามหานเจวี๋ยไม่สามารถสร้างมหามรรคต้นกำเนิดให้มีตัวตนขึ้นมาอย่างแท้จริงได้ เป็นความรู้สึกที่แปลกพิลึกยิ่ง ราวกับมหามรรคต้นกำเนิดมีตัวตนขึ้นมาก่อนอยู่แล้ว
เป็นมหามรรคที่เขาสรรค์สร้างขึ้นมาชัดๆ เหตุใดเขาถึงไม่ทราบเลยเล่าว่ามหามรรคต้นกำเนิดมีตัวตนขึ้นมาจริงๆ หรือยัง
เขาจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากความสามารถวิวัฒนาการ ‘ข้าอยากรู้ว่าเหตุใดถึงไม่สามารถแปลงมหามรรคต้นกำเนิดให้มีตัวตนขึ้นมาอย่างแท้จริงได้’
[จำเป็นต้องหักอายุขัยหนึ่งแสนล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]
สมกับเป็นมหามรรคที่ผู้เฒ่าสร้างขึ้น ค่าตัวสูงจริงๆ!
ดำเนินการต่อ!
[มหามรรคต้นกำเนิดมีตัวตนขึ้นมาแล้ว]
หานเจวี๋ยตะลึงงัน ซักถามต่อตามสัญชาตญาณ ‘อยู่ที่ใด’
ครั้งนี้ไม่มีการหักอายุขัย แสดงคำตอบออกมาตรงๆ เลย
[ตั้งอยู่ในส่วนลึกของความโกลาหลปั่นป่วน ส่งพิกัดโดยละเอียดเข้าสู่สมองของท่านแล้ว]
ความทรงจำมหาศาลผุดขึ้นมาในสมองของหานเจวี๋ย คล้ายแผนที่สามมิติ
มหามรรคต้นกำเนิดมีตัวตนแล้ว ทว่าอยู่ห่างไกลจากแดนเซียนยิ่งนัก
หานเจวี๋ยขมวดคิ้ว
ไกลขนาดนี้ ถ้าออกไปเพียงลำพังจะอันตรายเกินไป
แต่หากไม่ออกไปตามหามหามรรคต้นกำเนิด เขาก็ไม่สามารถพิสูจน์มรรคสำเร็จเป็นอริยะเสรีได้
สมควรตาย!
ช่วงที่สร้างมหามรรคขึ้นมา ทำไมถึงไม่สังเกตเห็นเลยนะว่าเจ้าสิ่งนี้เผ่นหนีไปไกลขนาดนั้น
หานเจวี๋ยทนไม่ไหวจึงสอบถามดู ด้วยเกรงว่าจะมีแผนร้ายอยู่เบื้องหลัง
ถูกหักอายุขัยไปอีกหนึ่งแสนล้านปี
[มหามรรคถือกำเนิดได้เพียงในส่วนลึกของเขตฟ้าบุพกาลเท่านั้น]
เอาเถอะ
หานเจวี๋ยเริ่มใช้ความคิดว่าจะไปตามหามหามรรคต้นกำเนิดอย่างไรดี
หากย้ายอาณาเขตเต๋าหลักออกจากเขตเซียนร้อยคีรี หากภายหน้าคิดจะกลับเข้ามาอีกคงถูกมรรคาสวรรค์กีดกัน ทำได้เพียงใช้ประโยชน์จากอาณาเขตเต๋าแห่งที่สองแล้ว ถึงอย่างไรตอนนี้ก็ยังไม่มีเทพมารอาศัยอยู่ในอาณาเขตเต๋าแห่งที่สอง
หานเจวี๋ยพลันค้นเกาะสำนักซ่อนเร้นในอดีตออกมา มีขนาดเท่าเม็ดทรายที่ผสานเวทห้วงมิติแบบพิเศษเอาไว้
เขานำเกาะสำนักซ่อนเร้นเคลื่อนย้ายไปที่อาณาเขตเต๋าแห่งที่สอง แล้วเคลื่อนย้ายอาณาเขตเต๋าแห่งที่สองมาไว้บนเกาะสำนักซ่อนเร้น
หลังจากนั้นต้องรออีกร้อยปีถึงจะเคลื่อนย้ายอาณาเขตเต๋าอีกครั้งได้ สำหรับหานเจวี๋ยแล้วระยะเวลาหนึ่งร้อยปีนับว่าสั้นนัก
หลังจากทำทุกอย่างเสร็จสิ้น หานเจวี๋ยเก็บเกาะสำนักซ่อนเร้นเข้าไป กลับมาที่อาณาเขตเต๋าหลักอีกครั้ง
การเดินทางเข้าสู่ส่วนลึกของเขตฟ้าบุพกาลครั้งนี้ ไม่ทราบเลยว่าจะดีหรือร้าย และไม่รู้ว่าต้องใช้เวลานานแค่ไหน
หานเจวี๋ยสอดส่องดูหานทั่วและหานอวี้ ทายาททั้งสองต่างปลอดภัยดี มีวิถีชีวิตแตกต่างกันไป
ศิษย์คนอื่นๆ ก็ปลอดภัยไร้กังวลเช่นกัน ในเมื่อเป็นเช่นนี้ หานเจวี๋ยก็ออกเดินทางอย่างสบายใจได้
ห้าร้อยปีต่อมา
ค่ายกลอาณาเขตเต๋าแห่งที่สองยกระดับเทียบเท่าอาณาเขตเต๋าหลักแล้ว หานเจวี๋ยจึงเตรียมตัวออกเดินทาง
เขาทิ้งร่างแยกร่างหนึ่งไว้ในอาณาเขตเต๋าหลัก ส่วนร่างจริงเข้าไปในเกาะสำนักซ่อนเร้น จากนั้นจึงควบคุมเกาะสำนักซ่อนเร้นให้เคลื่อนย้ายไปที่แดนต้องห้ามอันธการ มุ่งหน้าไปตามแผนที่ในความทรงจำที่ระบบมอบให้
เกาะสำนักซ่อนเร้นเคลื่อนที่ผ่านแดนต้องห้ามอันธการไปอย่างรวดเร็ว ซ่อนตัวมิดชิดยิ่ง
หานเจวี๋ยเคลื่อนที่ต่อไปพร้อมกับถามในใจว่า ‘การออกตามหามรรคต้นกำเนิดครั้งนี้จะต้องเผชิญหน้ากับตัวตนที่อยู่เหนือขีดกำจัดค่ายอาคมของอาณาเขตเต๋าหรือไม่’
[จำเป็นต้องหักอายุขัยหนึ่งแสนปีล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]
ดำเนินการต่อ!
[ไม่พบ แต่จะได้พบกับผู้ทรงพลังที่เหนือกว่าท่าน]
หานเจวี๋ยขมวดคิ้ว
‘ดูเหมือนจะถึงเวลาที่ต้องระวังตัวไว้บ้างแล้ว เฮ้อ’
หานเจวี๋ยไม่อยากออกไปเลย จนปัญญาที่ว่าหากไม่ผสานรวมกับมหามรรคต้นกำเนิด เขาก็ไม่อาจสำเร็จเป็นอริยะเสรีได้ ภารกิจนี้จำเป็นต้องทำ
เกาะสำนักซ่อนเร้นเคลื่อนที่ไปอย่างรวดเร็วยิ่ง แต่จนปัญญาที่แดนต้องห้ามอันธการกว้างใหญ่เหลือเกิน
แดนต้องห้ามอันธการตั้งอยู่ท่ามกลางเขตฟ้าบุพกาล ทว่าอยู่ห่างไกลจากส่วนลึกของเขตฟ้าบุพกาลอย่างยิ่ง
หานเจวี๋ยควบคุมเกาะสำนักซ่อนเร้นให้บินทะยานไป พลางทำความเข้าใจมหามรรคต้นกำเนิดไปด้วย
เป็นครั้งแรกที่เขาออกเดินทางไกลอย่างแท้จริง เขากังวลยิ่งนัก กลัวว่าจะเกิดเหตุร้ายขึ้น
เวลาผันผ่านไปปีแล้วปีเล่า
การแย่งชิงดวงชะตาของแดนเซียนยังคงดำเนินต่อไป ไม่มีผู้ใดทราบว่าหานเจวี๋ยจากไปแล้ว รวมถึงศิษย์ในสำนักซ่อนเร้นด้วย
ณ ชั้นฟ้าที่สามสิบสาม
เทพสูงสุดหนานจี๋และเจ้านิกายเทียนเจวี๋ยรวมตัวกันในอาณาเขตเต๋าแห่งหนึ่ง
เจ้านิกายเทียนเจวี๋ยถือคันฉ่องบานหนึ่งไว้ ในคันฉ่องฉายให้เห็นโลกอันกว้างใหญ่ไพศาลแห่งหนึ่ง ทั่วสารทิศปกคลุมด้วยหมอกดำมืดมหาศาลไร้สิ้นสุด กำลังจะเข้าท่วมทับแล้ว
เทพสูงสุดหนานจี๋สบถด่า “จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์อันธการที่สมควรตาย จับตามองพวกเราอยู่อย่างนั้นหรือ”
สีหน้าเจ้านิกายเทียนเจวี๋ยเขียวคล้ำ เอ่ยว่า “มรรคาสวรรค์น้อยแห่งนี้น่าจะไม่รอดแล้ว พวกเราต้องวางแผนกันต่อ”
“แต่จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์อันธการจับตามองแดนเซียนอยู่ตลอด ต่อให้พวกเราบุกเบิกฟ้าดินอีกก็เสียเปล่า”
“เช่นนั้นควรทำอย่างไรเล่า”
“ทำลายล้างจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์อันธการ”
“ทำลายล้างอย่างไรล่ะ หลี่มู่อียังเกือบสิ้นชีพในกำมือของจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์อันธการเลย”
“ก็แค่เกือบเท่านั้น หลี่มู่อีสิ้นชีพเพราะหานเจวี๋ย”
เทพสูงสุดหนานจี๋เงียบไป
ถึงแม้เขาจะยกยอปอปั้นหานเจวี๋ย และคิดไปเองว่ามีความสัมพันธ์อันดีต่อกันแล้ว แต่ก็ยังไม่กล้าไปหาหานเจวี๋ยอยู่ดี
หากว่าหานเจวี๋ยเข้าใจไปว่าเป็นเขาวางแผนปองร้าย เขามิใช่ต้องตายเหมือนกันหรือ
เมื่อหวนนึกถึงเหตุการณ์ครานั้น เทพสูงสุดหนานจี๋ก็สั่นสะท้านขึ้นมาแม้จะไม่ได้รู้สึกเหน็บหนาวแต่อย่างใด
เจ้านิกายเทียนเจวี๋ยก็ปวดหัวเช่นกัน ถ้าไปหาหานเจวี๋ยด้วยเรื่องนี้ จะต้องถูกเข้าใจว่าเป็นแผนร้ายแน่ เพราะตอนนั้นฉิวซีไหลและหลี่มู่อีก็ไปหาหานเจวี๋ยเพื่อให้ช่วยปราบศัตรูจากภายนอกเช่นกัน
สองอริยะต่างตกอยู่ในความเงียบงัน
สุดท้าย พวกเขาตัดสินใจไปหาจอมอริยะเสวียนตู
….
ชั่วพริบตาเดียว หานเจวี๋ยก็ออกเดินทางมาสี่ร้อยปีแล้ว
หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น เข้าฝันจักรพรรดิเซียนวัฏจักร
อาณาเขตเต๋าหลักมีร่างแยกประจำการอยู่ เกิดเรื่องขึ้นหรือไม่ เขาทราบชัดเจนดี
ทว่ามิติวัฏจักรอยู่ห่างไกลยิ่ง หานเจวี๋ยไม่ทราบถึงสถานการณ์ หากจัดวางร่างแยกไว้ที่มิติวัฏจักร ความจะแตกได้ง่ายๆ ว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังมิติวัฏจักรก็คือเขา
“ระยะนี้สถานการณ์ความก้าวหน้าของมิติวัฏจักรเป็นอย่างไรบ้าง” หานเจวี๋ยถาม
มิติวัฏจักรแยกออกเป็นสองแผนก แผนกแรกเป็นของจักรพรรดิเซียนวัฏจักร อีกแผนกเป็นกองกำลังจากนิกายเหรินของจอมอริยะเสวียนตู ทั้งสองฝ่ายต่างดูแลจัดการผู้กลับชาติมาเกิด ในทางแจ้งสามัคคีปรองดอง ในทางลับลอบแข่งขันชิงดีชิงเด่น
จักรพรรดิเซียนวัฏจักรเอ่ยตอบ “ไม่เลวเลยขอรับ ระยะนี้ในมิติวัฏจักรปรากฏผู้มีพรสวรรค์รายหนึ่งขึ้น ตัวเขาฝึกวิชาชุบร่างที่มีความพิเศษอย่างหนึ่ง ทำให้เขาทิ้งระยะห่างจากผู้กลับชาติมาเกิดคนอื่นๆ ที่มาก่อน ยามนี้ติดหนึ่งในสิบของการจัดลำดับผู้กลับชาติมาเกิดแล้ว ทั้งข้าและทางนิกายเหรินต่างต้องการตัวเขา จนปัญญาที่เด็กคนนี้ไม่ยอมเลือกเลย”
………………………………………………………………