บทที่ 625 สี่สิบเก้าสาย
“ปราณม่วงอนธการของหลี่เต้าคงน่าจะได้รับมาจากหานเจวี๋ย หลี่มู่อีตายด้วยน้ำมือหานเจวี๋ย ในอดีตที่ผ่านมาหลังจากอริยะแห่งนิกายเหรินดับสูญ ปราณม่วงอนธการของเขาก็ถูกหลี่มู่อีเก็บไว้มาโดยตลอด ยามนี้กลับหาไม่พบต้องเป็นเพราะตกไปอยู่ในมือหานเจวี๋ยเป็นแน่”
“เช่นนั้นปราณม่วงอนธการของสือตู๋เต้ามาจากผู้ใด น่าจะมาจากหนี่ว์วาหรือไม่ก็ฝูซีเทียนเท่านั้น รายแรกปราณม่วงอนธการหายสาบสูญไปนานแล้ว รายหลังสิ้นชีพในแดนต้องห้ามอันธการ ไม่มีทางหาปราณม่วงอนธการพบ”
เทพสูงสุดหนานจี๋เอ่ยเสียงขรึม กวาดสายตามองอริยะรายอื่นพลางเอ่ยว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้ ปราณม่วงอนธการของสือตู๋เต้าคงมาจากหนี่ว์วาเท่านั้น จะต้องมีใครในบรรดาพวกเราแอบเกื้อหนุนสือตู๋เต้าอยู่แน่นอน”
เจ้านิกายเทียนเจวี๋ย มหาจักรพรรดิเซียว ฉิวซีไหล เทพสูงสุดอู๋ฝ่าและจอมอริยะเสวียนตูล้วนนิ่งเงียบ
บรรยากาศแปลกไปเล็กน้อย
มหาจักรพรรดิเซียวเอ่ยว่า “ต่อให้มีคนลอบวางแผน ก็ไม่มีทางรับสารภาพอยู่ดี สิ่งที่จำเป็นต้องทราบให้กระจ่างในยามนี้คือฟางเหลียงพิสูจน์มรรคได้อย่างไร”
“ปราณม่วงอนธการของฟางเหลียงไม่น่าจะมาจากหานเจวี๋ย หลังจากฟางเหลียงก่อตั้งวิถีสวรรค์ขึ้น ดวงชะตาก็เหินห่างออกจากสำนักซ่อนเร้นไปเรื่อยๆ เทียบเท่ากับทรยศต่อสำนักซ่อนเร้นแล้ว น่าจะมิใช่หานเจวี๋ย หรือต่อให้เป็นเขา แล้วเขาจะไปเอาปราณม่วงอนธการมากมายขนาดนี้มาจากไหน”
เหล่าอริยะหน้านิ่วคิ้วขมวด จู่ๆ พวกเขาก็มองรูปการณ์ของมรรคาสวรรค์ไม่กระจ่างเลย
หลังจากจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์อันธการปรากฏตัวขึ้น พวกเขาก็รู้สึกตกเป็นรองยิ่งนัก รู้สึกว่าสูญเสียสิทธิ์ในการควบคุมจัดการอันเป็นของอริยะมรรคาสวรรค์ไปเสียแล้ว
จอมอริยะเสวียนตูเอ่ยว่า “ปราณม่วงอนธการมีแค่เก้าสาย คำพูดนี้อันที่จริงก็มาจากบรรพชนเต๋า พอดีกับตำแหน่งอริยะมรรคาสวรรค์เก้าที่ แต่พวกเจ้าเคยคิดบ้างหรือไม่ว่า ก่อนมรรคาสวรรค์จะถือกำเนิดขึ้น ก็มีปราณม่วงอนธการอยู่ก่อนแล้ว เหตุใดสองสิ่งนี้ถึงเหมาะเจาะพอดีเช่นนี้”
เทพสูงสุดอู๋ฝ่าถาม “ความหมายของเจ้าคือเดิมทีปราณม่วงอนธการมิได้มีแค่เก้าสายเช่นนั้นหรือ”
“อาจจะเป็นเช่นนี้”
จอมอริยะเสวียนตูถอนหายใจ เขาเริ่มรู้สึกมีใจแต่ไร้กำลังเสียแล้ว
ครั้งที่เขามาถึงมรรคาสวรรค์ เขาคิดจะทำตามปณิธานอันยิ่งใหญ่ แต่ตอนนี้แม้แต่ตำแหน่งอริยะก็ยังแปรผันชวนสับสน เขารู้สึกเหมือนตนถูกจับวางบนกระดานหมาก ไม่อาจสลัดพ้นได้
จอมอริยะเสวียนตูเอ่ยต่อว่า “พวกเจ้าสังเกตเห็นความผิดปกติของแดนเทพหวนปัจฉิมหรือไม่ พวกเราทำลายล้างจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์อันธการได้ แดนเทพหวนปัจฉิมกลับไม่ยินดีเลย ถึงขั้นที่ค่อนข้างเย็นชากับพวกเราด้วยซ้ำ”
พอเอ่ยออกมาเช่นนี้ เหล่าอริยะต่างมีหน้าแตกตื่น
เทพสูงสุดหนานจี๋เบิกตากว้าง “พวกเจ้าก็เช่นกันหรือ”
มหาจักรพรรดิเซียวขมวดคิ้ว สีหน้าของอริยะรายอื่นก็ไม่ค่อยน่ามองแล้วเช่นกัน
พวกเขาเชี่ยวชาญการวางแผน ย่อมมองออกง่ายดายยิ่ง
เมื่อคิดดูอย่างละเอียดก็เข้าใจแล้ว ต่อให้จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์อันธการจะแข็งแกร่งเพียงใด ก็ไม่มีทางแกร่งไปกว่าผู้ทรงพลังแห่งแดนเทพหวนปัจฉิมเหล่านั้น
หากผู้ทรงพลังเหล่านั้นมีความประสงค์จริงๆ ก็สามารถลงมือตรงๆ ได้!
ไยต้องก่อมหันตภัยมรรคาสวรรค์ขึ้นด้วย
เวลานี้เอง
เสียงของต้าซั่นเทียนแว่วมาจากด้านนอกตำหนัก “ต้าซั่นเทียน ขอเข้าพบเหล่าอริยะ!”
น้ำเสียงของเขาไร้ความเกรงใจอย่างยิ่ง ทำให้คนสัมผัสได้ว่าเขากำลังโกรธเกรี้ยวสุดขีด
เจ้านิกายเทียนเจวี๋ยเอ่ยขึ้น “จะอธิบายกับเขาอย่างไรเล่า ทำเนียบดวงชะตามรรคาสวรรค์กลายเป็นที่น่าขบขันไปเช่นนี้ ทำให้อริยะอย่างพวกเราเสียหน้าไปด้วย”
จอมอริยะเสวียนตูเอ่ยอย่างสงบ “ให้เขาเข้ามาเถอะ”
….
เขตเซียนร้อยคีรี ภายในอารามเต๋า
หานเจวี๋ยมีท่าทางแปลกใจ เขาเองก็กำลังสงสัยอยู่เช่นกัน ฟางเหลียงอาศัยสิ่งใดถึงพิสูจน์มรรคได้สำเร็จ
ปราณม่วงอนธการที่เขามอบให้หลี่เต้าคงได้มาจากแผนลวงของหลี่มู่อีในครั้งอดีต ส่วนปราณม่วงมหามรรคของตัวเขาที่ได้รับมาจากระบบยังไม่ได้นำมาใช้งาน
หรือว่าปราณม่วงอนธการจะไม่ได้มีแค่หนึ่งสาย?
ในยุคที่บรรพชนเต๋ายังคงอยู่ มรรคาสวรรค์มีอริยะมรรคาสวรรค์เก้าตำแหน่ง
เช่นนั้นบรรพชนเต๋าเล่า
บรรพชนเต๋าสำเร็จเป็นอริยะ จะต้องได้ครอบครองสายหนึ่งเช่นกัน!
‘ข้าอยากรู้ว่าปราณม่วงอนธการมีจำนวนเท่าไรกันแน่’ หานเจวี๋ยถามเงียบๆ
[จำเป็นต้องหักอายุขัยหนึ่งหมื่นล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]
ดำเนินการต่อ!
[สี่สิบเก้าสาย!]
มากขนาดนี้เชียวหรือ!
หานเจวี๋ยเบิกตากว้าง
เขาถามต่อไป ‘นอกเหนือไปจากส่วนที่ข้าทราบ ปราณม่วงอนธการที่เหลืออยู่ที่ใด’
[เกี่ยวข้องกับตัวตนที่อยู่เหนือขีดจำกัดของระบบ ไม่สามารถวิวัฒนาการได้]
บรรพชนเต๋า!
หานเจวี๋ยตกอยู่ในภวังค์ความคิด
หรือว่าบรรพชนเต๋าจะทำเช่นเดียวกันกับเขา แอบชุบเลี้ยงกองกำลังทรงพลังกลุ่มหนึ่งขึ้น
มีความเป็นไปได้สูง ในอดีตกาลตอนสำนักเต๋าจะแตกแยกล่มสลาย บรรพชนเต๋าสามารถยับยั้งได้ แต่ก็ไม่ทำ คาดว่ามีความคิดเช่นเดียวกับหานเจวี๋ย
หานเจวี๋ยหมายมั่นจะชุบเลี้ยงกองกำลังเทพมารขึ้น ส่วนสำนักซ่อนเร้นและเผ่าสวรรค์ที่แตกแยกกันเพราะจี้เซียนเสินและฟางเหลียง เขาไม่ได้เก็บมาใส่ใจเลย ระดับชั้นห่างกัน สิ่งที่แสวงหาย่อมแตกต่าง
จู่ๆ หานเจวี๋ยก็รู้ว่าบรรพชนเต๋ากำลังดำเนินแผนการอยู่!
ไม่มีผู้ใดทราบว่าบรรพชนเต๋าหายไปได้อย่างไร ตอนนี้บรรพชนเต๋ายังมีชีวิตอยู่ชัดๆ ทว่าไม่เคยปรากฏตัวขึ้นเลย ปล่อยให้เหล่าผู้ทรงพลังในแดนเทพหวนปัจฉิมวางแผนโจมตีมรรคาสวรรค์
เขากำลังวางแผนอะไรอยู่กันแน่
หานเจวี๋ยรู้สึกกดดันนัก
หากว่าบรรพชนเต๋าคิดสังหารเขา อาณาเขตเต๋าคงต้านไว้ไม่อยู่
หานเจวี๋ยสูดหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่ง ปรับสภาพอารมณ์
บรรพชนเต๋าไม่มีเหตุผลที่ต้องมาสังหารเขาเลย
หานเจวี๋ยสงสัยว่าฐานะตัวแปรของตนเป็นความจงใจของบรรพชนเต๋า เพื่อนำมาสยบเหล่าอริยะไว้ชั่วคราว
เมื่อทราบว่าเขาคือตัวแปร เหล่าอริยะเลือกชักชวนเข้าพวกก่อน จากนั้นก็วางแผนจัดการ
‘ไม่สนแล้ว ข้าแค่พยายามแข็งแกร่งขึ้นให้ได้ก็พอ’
หานเจวี๋ยคิดเงียบๆ บรรพชนเต๋าไม่เผยกาย เป็นไปได้ว่าอาจจะถูกตัวตนที่ไม่รู้จักสกัดควบคุมไว้ อาจจะประสบความลำบากกดดันอยู่
อืม
ได้แต่ภาวนาให้เป็นเช่นนี้
….
หลังจากฟางเหลียงสำเร็จเป็นอริยะ ทำเนียบดวงชะตามรรคาสวรรค์ก็กลายเป็นเรื่องน่าตลก สรรพสิ่งไม่เชื่อถือในสิ่งนี้อีกต่อไป ผู้ทรงพลังที่มีรายชื่อติดอันดับต้นๆ ของทำเนียบก็เลิกช่วงชิงแก่งแย่งดวงชะตาแล้ว
ต้าซั่นเทียนอันดับหนึ่งของทำเนียบที่ถูกตัดหน้าพิสูจน์มรรคไปก่อนหนึ่งก้าว กลายเป็นตัวตลกไปแล้ว!
สำนักวิถีสวรรค์ของฟางเหลียงขยายตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว จำนวนศิษย์ทะลุหลักสิบล้านอย่างรวดเร็ว ทั้งหมดล้วนเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีตบะบำเพ็ญ กลายเป็นกลุ่มอิทธิพลขนาดใหญ่แห่งหนึ่งในแดนเซียน
ในทางกลับกัน เผ่าสวรรค์กลับเงียบเหงาลงเพราะการผงาดขึ้นมาของฟางเหลียง
เหล่าเทพเซียนล้วนหวั่นเกรงว่าจะล่วงเกินฟางเหลียง ดังนั้นจึงไม่กล้าเกื้อหนุนจี้เซียนเสิน
ต่อให้จี้เซียนเสินจะแข็งแกร่งแค่ไหน ก็เป็นเพียงตัวเบี้ยที่ได้รับการสนับสนุนจากอริยะ แต่ฟางเหลียงเป็นอริยะแล้ว!
วันเวลาไหลผ่านไป
เผ่าสวรรค์เงียบเหงาลงเรื่อยๆ กลุ่มอิทธิพลมากมายที่ถูกเผ่าสวรรค์ควบคุมก็เริ่มกระด้างกระเดื่องขึ้นมา แดนเซียนเผชิญกับมรสุมการเปลี่ยนแปลง
ในเวลาเดียวกันนี้
ห่างไกลออกไปในส่วนลึกของแดนต้องห้ามอันธการ หานทั่วและอี๋เทียนกำลังเผชิญกับการไล่ล่าสังหารเสี่ยงตายอยู่
ทั้งสองพุ่งตัวฝ่าทะลุไปอย่างรวดเร็ว เคลื่อนที่ไปไม่หยุดยั้ง
พวกเขาหยุดพักใต้อุกกาบาตขนาดใหญ่ยักษ์ดวงหนึ่ง
อี๋เทียนหยิบยันต์อาคมออกมาสองแผ่น แปะลงบนร่างหานทั่วและตัวเอง
ทั้งสองกลั้นลมหายใจ เกาะติดแนบชิดกับอุกกาบาต ไม่กล้าหายใจแม้แต่น้อย
ท่ามกลางความมืดมิดเงาร่างน่าหวาดผวาร่างหนึ่งเหาะพุ่งมา มันมีรูปร่างคล้ายปลา ผิวกายเปื่อยเน่า ปากมหึมาที่อ้ากว้างมีสีแดงฉาน คมเขี้ยวแต่ละซี่ใหญ่โตดุจขุนเขา มันมีปีกโครงกระดูกสี่คู่ ยามที่เคลื่อนไหวจะโหมกระพือจนเกิดสายลมกระโชก
มันไม่สังเกตเห็นหานทั่วและอี๋เทียน เคลื่อนที่จากไปจากเขตพื้นที่นี้อย่างรวดเร็วยิ่ง
หานทั่วพรูลมหายใจออกมา เขาหันมองอี๋เทียน ถ่ายทอดเสียงติเตียน “เจ้าไปยั่วโมโหมันได้อย่างไร”
หากมิใช่เพราะหานทั่วมาถึงได้ทันเวลา อี๋เทียนอาจจะสิ้นชีพอยู่ในท้องสัตว์ประหลาดอันธการไปแล้ว
เพื่อออกตามหาอี๋เทียน หานทั่วเสียเวลาไปมากมายนัก ระหว่างทางประสบเหตุติดขัดไม่น้อยเลย เลี่ยงไม่ได้ที่จะมีความขุ่นเคืองในใจอยู่บ้าง
อี๋เทียนตีหน้าไร้เดียงสา ถ่ายทอดเสียงตอบ “มันจะชิงสมบัติของข้า!”
“สมบัติอันใด”
“ปราณสีม่วงสายหนึ่ง ข้ารับรู้ได้ว่าหากดูดซับปราณม่วงสายนั้นเข้าไป ข้าจะถอดร่างผลัดกระดูกกลายเป็นคนใหม่!”
“ปราณม่วงอันใด หรือจะเป็นปราณม่วงอนธการสำหรับพิสูจน์มรรคที่เล่าขานกันมา”
น้ำเสียงหานทั่วเต็มไปด้วยเจตนาเสียดสี ยามที่เขาพบตัวอี๋เทียน คนผู้นี้กำลังสู้ตายกับสัตว์ประหลาดอันธการตัวเมื่อครู่อยู่ เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าสู้ไม่ได้ ยังจะพัวพันอย่างเอาเป็นเอาตายอีก
โง่เง่า!
อี๋เทียนเอ่ยด้วยความตื่นเต้น “อาจจะใช่ก็ได้!”
………………………………………………………………