บทที่ 94 กำจัดเฒ่าประหลาด
ตั้งแต่จี้เหลิ่งฉานมาท้าดวล เวลาผ่านไปห้าปีแล้ว
ในช่วงห้าปีนี้ สำนักหยกพิสุทธิ์สงบราบรื่น ไม่เผชิญความยากลำบากใหญ่หลวงใดๆ ทั้งสำนักวุ่นอยู่กับการพากเพียรฝึกบำเพ็ญ
ตบะของลูกศิษย์สำนักสวรรค์เพลิงโลหิตโดยทั่วไปจะสูงกว่าของศิษย์สำนักหยกพิสุทธิ์ หากสำนักหยกพิสุทธิ์ต้องการพิชิตสำนักสวรรค์เพลิงโลหิตอย่างแท้จริง ก็จำเป็นต้องเพิ่มพูนตบะของลูกศิษย์
ภายในตำหนักใหญ่ที่เงียบสงบ โม่จู๋ในชุดสีดำกำลังนั่งสมาธิฝึกบำเพ็ญ
นับจากถูกหานเจวี๋ยหักหลัง นางก็ถูกขังไว้ที่นี่มาโดยตลอด ไม่ให้ออกไปที่ใด
สำนักหยกพิสุทธิ์มิได้ปฏิบัติต่อนางเลวร้ายอะไร นางต้องการสิ่งใดก็จะหามาให้หมด รวมถึงของล้ำค่าฟ้าดินที่จำเป็นต่อการฝึกบำเพ็ญด้วย
เมื่อไม่มีทางหลบหนี โม่จู๋จึงมุ่งมั่นตั้งใจฝึกบำเพ็ญ หลายปีที่ผ่านมานี้ ตบะของนางไปถึงระดับรวมแก่นปราณขั้นแปดแล้ว
ตบะของนางนับว่าก้าวหน้าขึ้นรวดเร็วมาก เหตุผลที่รวดเร็วเช่นนี้เป็นเพราะได้ประโยชน์จากการปรับปรุงสำนักหยกพิสุทธิ์ของนักพรตเต๋าจิ่วติ่ง ไม่เพียงแค่นางเท่านั้น ความเร็วในการฝึกบำเพ็ญโดยเฉลี่ยของศิษย์ในสำนักหยกพิสุทธิ์ก็เพิ่มขึ้นมากกว่าสองเท่าเช่นกัน
โม่จู๋ขมวดคิ้วแน่น ตรงหว่างคิ้วพลันมีความดุร้ายจางๆ ปรากฏ
“ฝ่าออกไป หนีไปจากที่นี่ และล้างแค้นให้ตระกูลโม่!”
“เจ้ารออะไรอยู่”
“โม่ฟู่โฉวพี่ชายร่วมตระกูลของเจ้ายังรอความช่วยเหลือจากเจ้าอยู่!”
เสียงแปลกประหลาดนี้ดังอยู่ข้างหูของโม่จู๋ไม่หยุด ราวกับว่ามีภูตผีกำลังสะกดจิตนาง ทำให้นางตัวสั่นเทาเล็กน้อย
ผ่านไปนาน
จู่ๆ โม่จู๋ก็ลืมตาขึ้นมา แขนทั้งสองข้างกางออก ไอมารที่น่าสะพรึงกลัวระเบิดปะทุ พลังวิญญาณภายในตำหนักสั่นกระเพื่อมและก่อตัวเป็นรูปร่างขึ้นมา ราวกับคลื่นโหมซัดโจมตี สั่นสะเทือนทั้งตำหนักใหญ่
โม่จู๋ก้มศีรษะ หอบหายใจถี่รัว เหงื่อร้อนๆ หยดราวฝน เปียกไปทั่วทั้งใบหน้างดงามของนาง
‘วิชายุทธ์นี้เหตุใด…หรือตระกูลโม่เป็นฝ่ายมารจริงๆ’
โม่จู๋ครุ่นคิดด้วยความอกสั่นขวัญแขวน
วิชายุทธ์ที่นางฝึกฝนไม่ใช่ของสำนักหยกพิสุทธิ์ หากแต่เป็นวิชายุทธ์สืบทอดของตระกูลโม่ นับตั้งแต่ทะลวงถึงระดับรวมแก่นปราณได้ พลังวิญญาณของนางก็เริ่มเปลี่ยนไป แตกต่างจากผู้บำเพ็ญสายมารทั่วไปที่นางพบเจอ มหาศาลทว่าแปลกพิลึกนัก แต่ก็ไม่หนาวเหน็บมืดมนเช่นกัน
แต่นางไม่ทันสังเกตเห็นว่าไอมารของนางรวมตัวกันเป็นเงาร่างคนผู้หนึ่งอยู่เหนือศีรษะ กำลังสยายปีกสองข้าง ทั้งดุร้ายและน่ากลัว
โม่จู๋ลังเลว่าควรจะปรับแก้วิชายุทธ์ดีหรือไม่
หากปรับแก้ใหม่ ก็ไม่รู้ว่าจะเสียเวลามากมายแค่ไหน
นางอดไม่ได้ที่จะนึกถึงหานเจวี๋ย ตบะของหานเจวี๋ยต้องสูงเกินไปมากแล้วแน่นอน ไม่ง่ายเลยกว่านางจะมีความหวังไล่ตามเขาทัน นางจึงไม่อยากยอมแพ้
คิดไปก็เท่านั้น โม่จู๋กัดฟันและฝึกฝนต่อ
……
ในเดือนเดียวกัน สำนักหยกพิสุทธิ์มีแขกผู้มีเกียรติคนหนึ่งมาเยือน นั่นคือเฒ่าประหลาดอู้เต้าเจ้าสำนักไร้ลักษณ์
หลี่ชิงจื่อในฐานะเจ้าสำนักจำต้องออกมาต้อนรับ
หานเจวี๋ยจับสัมผัสกลิ่นอายของเฒ่าประหลาดอู้เต้าได้ก็ตรวจสอบเขาทันที และเริ่มจำลองการทดสอบ
เฒ่าประหลาดอู้เต้าระดับรวมกายาขั้นเจ็ดเผชิญหน้ากับหานเจวี๋ยซึ่งอยู่ระดับรวมกายาขั้นสี่ แน่นอนว่าไม่ใช่คู่ต่อสู้กัน
ในการต่อสู้ครั้งแรก หานเจวี๋ยใช้เวลาสิบกว่าลมหายใจ พลังวิเศษของคนผู้นี้ประหลาดมาก กายเนื้อตายไปก็ฟื้นคืนชีพใหม่ เมื่อจิตดั้งเดิมถูกทำลาย ร่างกายถึงจะไม่อาจฟื้นขึ้นมาใหม่ได้
หลังทดลองไปแปดรอบ ในที่สุดหานเจวี๋ยก็พบวิธีสังหารเฒ่าประหลาดอู้เต้าในพริบตา
คราวนี้เขาถึงจะพอใจ
หนึ่งชั่วยามต่อมา
หลี่ชิงจื่อพาเฒ่าประหลาดอู้เต้ามาที่หน้าถ้ำเทวาฟ้าประทาน
มู่หรงฉี่และสวินฉางอันที่อยู่ใต้ต้นฝูซังมองพวกเขาอย่างอดไม่ได้ ทั้งสองคนฉงนสงสัย นี่เป็นครั้งแรกเลยที่หลี่ชิงจื่อพาคนมาพบหานเจวี๋ย
“ผู้อาวุโสหาน เจ้าสำนักไร้ลักษณ์ตั้งใจมาเยี่ยมเยียนท่าน ไม่ทราบว่าท่านยินยอมให้เข้าพบหรือไม่” หลี่ชิงจื่อเอ่ยถาม ในใจเต็มไปด้วยความตื่นเต้น
สำนักไร้ลักษณ์แข็งแกร่งเกินไป หลี่ชิงจื่อไม่กล้าล่วงเกิน จึงทำได้เพียงพาพวกเขามาพบหานเจวี๋ย
หากเฒ่าประหลาดอู้เต้ามีเจตนาร้าย สามารถลอบเข้ามาเงียบๆ ก็ยังได้
ทันใดนั้นประตูถ้ำเทวาฟ้าประทานก็เปิดออก เสียงของหานเจวี๋ยลอยตามลมมา
“เข้ามาเถอะ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เฒ่าประหลาดอู้เต้าเผยรอยยิ้มออกมา เขาเดินเข้าไปในถ้ำทันที จากนั้นประตูถ้ำก็ปิดลงตาม
หลี่ชิงจื่อไม่ได้จากไปไหน แต่รออยู่ด้านนอกถ้ำเทวา
เขาหวั่นใจเล็กน้อย ไม่รู้ว่าผู้อาวุโสหานจะตำหนิเขาหรือไม่
เฒ่าประหลาดอู้เต้าเจาะจงว่าต้องการเข้าพบหานเจวี๋ย หากเขาปฏิเสธไปแล้วเฒ่าประหลาดอู้เต้าโกรธเคืองจนลงไม้ลงมือขึ้นมา เขาก็ต้องขอความช่วยเหลือจากหานเจวี๋ยอยู่ดี
หลังจากเข้าไปในถ้ำเทวาฟ้าประทาน เฒ่าประหลาดอู้เต้าก็ได้พบกับหานเจวี๋ย
ครั้งแรกที่เห็นหานเจวี๋ย เขาถึงกับตะลึงในความงาม
เป็นบุรุษที่หล่อเหลาอะไรเช่นนี้!
แม้แต่ตงหวางเซียนก็ไม่สามารถเทียบรูปลักษณ์และคุณสมบัติกับหานเจวี๋ยได้
หานเจวี๋ยนั่งอยู่บนตั่งไม้ เอ่ยถามว่า “เหตุใดสหายเต๋าจึงมาเยี่ยมเยือนข้า”
มาถูกจังหวะดีจริง!
สวรรค์มีทางเจ้าไม่ไป นรกไร้ประตูเจ้าดันแส่เข้ามา!
มาแล้วก็อย่าคิดว่าจะได้กลับ!
เฒ่าประหลาดอู้เต้าเดินไปนั่งลงหน้าโต๊ะ จากนั้นยิ้มกล่าว “ข้าได้ยินมานานแล้วว่าผู้อาวุโสสังหารเทพของสำนักหยกพิสุทธิ์สง่างามนัก ข้าจึงตั้งใจมาเยี่ยมเยือน อีกอย่าง ข้าต้องการแก้ไขความคับข้องใจระหว่างท่านกับข้าด้วย ข้าไม่รู้มาก่อนว่าแม่นางสิงเป็นคู่บำเพ็ญเพียรของท่าน นับมีความผิดที่ล่วงเกินจริง นี่เป็นความผิดของข้าเอง ดังนั้นเรื่องที่สำนักหยกพิสุทธิ์พิชิตสำนักสวรรค์เพลิงโลหิต ข้าจะไม่พุ่งเป้าเล่นงานอีก”
หานเจวี๋ยแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจ “จริงหรือ เช่นนั้นต้องขอบคุณสหายเต๋ามาก”
‘หยุดพล่ามเถอะ! จากความเกลียดชังระดับ 4 ดาวในตอนแรกสุด จนถึงความเกลียดชังระดับ 5 ดาวในตอนนี้ ในใจเจ้าต้องเคียดแค้นจนอยากสับข้าเป็นหมื่นๆ ชิ้นแล้วแน่นอน!’
หานเจวี๋ยครุ่นคิดกับตัวเอง เฒ่าประหลาดอู้เต้าแสดงออกอย่างเป็นมิตร ทว่าหานเจวี๋ยมองเห็นระดับความเกลียดชังที่เขามีต่อตนเองได้ แน่นอนว่าต้องไม่เชื่อคำพูดของเขา
“อีกอย่าง หลายปีมานี้ข้ามักจะถูกคนสาปแช่ง ไม่ทราบว่าเป็นฝีมือสหายเต๋าหรือไม่ หากใช่ ข้าหวังว่าสหายเต๋าจะไม่ระรานข้าอีก ข้าก็จะไม่รบกวนแม่นางสิงอีกเช่นกัน พวกเราสองสำนักยังสร้างความสัมพันธ์ฉันท์มิตรกันได้” เฒ่าประหลาดอู้เต้าเอ่ยอย่างจริงจัง
หานเจวี๋ยเลิกคิ้ว ถามด้วยความประหลาดใจว่า “สาปแช่ง? ข้าเป็นคนเช่นนั้นที่ไหนกัน อีกอย่างข้าก็ไม่เคยพบสหายเต๋ามาก่อน แล้วจะสาปแช่งท่านได้อย่างไร”
เจ้าคนนี้น่าสนใจอยู่นี่!
ถึงขั้นเดาออกว่าหานเจวี๋ยเป็นคนสาปแช่งเขา
ไม่ได้การแล้ว!
ต้องโค่นกล้วยอย่าไว้หน่อ![1]
ฝ่ายเฒ่าประหลาดอู้เต้าก็แอบก่นด่าในใจว่าไร้ยางอาย หากไม่ใช่เจ้าแล้วจะเป็นใครได้
ในขณะเดียวกัน เขาก็กำลังประเมินศักยภาพของหานเจวี๋ยไปด้วย
แม้ว่าทั้งตัวหานเจวี๋ยจะเต็มไปด้วยสมบัติวิญญาณ แต่ก็ไม่ได้แผ่กลิ่นอายที่ทำให้เขาหวาดผวาออกมา
หรือจะใช้โอกาสนี้สังหารฝ่ายตรงข้ามดี?
เจ้าคนผู้นี้ไม่กล้ายอมรับ แสดงว่าภายในใจเกรงกลัวเขามาก
หากคนผู้นี้ถูกสังหาร สิงหงเสวียนก็จะตกเป็นของลูกศิษย์เขา สำนักหยกพิสุทธิ์และสำนักสวรรค์เพลิงโลหิตก็จะถูกสำนักไร้ลักษณ์ยึดเอามา
เมื่อความคิดเช่นนี้ของเฒ่าประหลาดอู้เต้าปรากฏ ก็ราวกับหญ้าป่าที่เติบโตอย่างบ้าคลั่ง เกิดขึ้นแล้วไม่อาจหยุดยั้งได้
“สหายเต๋า พวกเราไม่จำเป็นต้องเสแสร้งกันอีก ข้าไม่ได้มาซักไซ้เอาความ เพียงแค่ต้องการให้ท่านหยุดเท่านั้น” เฒ่าประหลาดอู้เต้ายิ้มบางๆ พลางเอ่ย
[ความเกลียดชังที่เฒ่าประหลาดอู้เต้ามีต่อท่านเพิ่มขึ้น ระดับความเกลียดชังในขณะนี้คือ 5.5 ดาว]
‘แม่เจ้า! ยังสูงได้อีกหรือ’
แววตาของหานเจวี๋ยเย็นชาทันใด
……
ด้านนอกถ้ำเทวา
สวินฉางอันขมวดคิ้วเอ่ย “เจ้าสำนัก อาจารย์ไม่ชอบถูกรบกวน ท่านทำเช่นนี้ไม่เป็นการละเมิดกฎของอาจารย์หรือ ถึงเวลานั้นสำนักไร้ลักษณ์คงรู้กันหมดว่าผู้อาวุโสสังหารเทพคืออาจารย์ของข้า”
หลี่ชิงจื่อประหม่าเล็กน้อย ตอบอย่างเลี่ยงไม่ได้ว่า “เจ้าสำนักไร้ลักษณ์แต่เดิมก็ต้องการมาเยือนเขาเพียรบำเพ็ญเซียน ทว่ากลัวจะทำลายมิตรภาพของสองฝ่าย จึงพูดคุยผ่านทางข้า”
ไก่คุกรัตติกาลที่อยู่ใต้ต้นฝูซังกังวลใจสุดขีด
ตบะของมันเกือบถึงระดับสุญตาเต็มที แต่เมื่อเผชิญหน้ากับเฒ่าประหลาดอู้เต้าก็ยังเสี่ยงอันตรายไม่น้อย สิ่งนี้บอกชัดว่าอะไรน่ะหรือ
ก็บอกชัดว่าเฒ่าประหลาดอู้เต้าแข็งแกร่งมากอย่างไรละ!
‘นายท่านคงไม่เกิดเรื่องอะไรกระมัง…หรือจะพุ่งเข้าไปพานายท่านหลบหนีดี’ ไก่คุกรัตติกาลขบคิดอย่างกังวล
ตู้ม!
ทันใดนั้น ภายในถ้ำเทวาฟ้าประทานเกิดเสียงดังสนั่น หลี่ชิงจื่อตกใจจนหน้าถอดสี
ไก่คุกรัตติกาลกลายเป็นอัสนีดำสายหนึ่งพุ่งไปยังถ้ำเทวาฟ้าประทานทันที
เมื่อเข้ามาในถ้ำ มันเห็นเฒ่าประหลาดอู้เต้ายืนอยู่ตรงหน้าหานเจวี๋ย
“นายท่าน! ข้ามา…”
“หุบปาก!”
หานเจวี๋ยเอ่ยเสียงต่ำ ขัดจังหวะคำพูดของไก่คุกรัตติกาล
ไก่คุกรัตติกาลนิ่งอึ้ง ก่อนมองไปยังเฒ่าประหลาดอู้เต้า ดวงตาของไก่จ้องมองที่ผู้เฒ่า
เฒ่าประหลาดอู้เต้าไม่ทำให้มันรู้สึกกระวนกระวายอีกแล้ว
คนผู้นี้ราวกับ…
ตายแล้ว?
หานเจวี๋ยเอ่ยด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ว่า “จิตดั้งเดิมของเขาถูกข้าทำลายแล้ว แจ้งเจ้าสำนักไปว่าเจ้าสำนักไร้ลักษณ์กับข้าคุยกันถูกคอมาก จึงตั้งใจจะอยู่ต่ออีกสักสองสามวัน”
ไก่คุกรัตติกาลตกใจ
ถ้ำเทวาไม่พังทลาย นายท่านกลับทำลายจิตดั้งเดิมของเฒ่าประหลาดอู้เต้าได้ นี่ระยะห่างระหว่างตบะของทั้งสองฝ่ายต่างกันมากเพียงใดกันแน่
………………………………………………………
[1] โค่นกล้วยอย่าไว้หน่อ หมายถึง ทำลายล้างคนชั่วให้สิ้นซาก กำจัดศัตรูให้หมดสิ้น