จี่เยี่ยนหลิงบอกลาพวกอันหลิน เหาะกลับสำนักเหวินกู่เพียงลำพัง
อันหลินนอนหมอบบนตัวต้าไป๋อย่างไร้เรี่ยวแรง แต่สวีเสี่ยวหลานกลับเหาะมาหยุดอยู่ข้างอันหลินด้วยความอยากรู้อยากเห็น เอ่ยถามว่าเป็นความทรงจำอะไรกันแน่ ถึงทำให้จี่เยี่ยนหลิงฮึดสู้อีกครั้ง
ก่อนหน้านี้มีจี่เยี่ยนหลิงอยู่ด้วย จึงไม่กล้าเอ่ยถาม แต่ตอนนี้นางจากไปแล้ว จึงไม่มีสิ่งใดขัดขวางความสงสัยของสวีเสี่ยวหลานได้อีก
อันหลินถอนหายใจเล็กน้อย เล่าเรื่องที่หวังลู่กลายเป็นปีศาจร้ายคอยคุ้มครองจี่เยี่ยนหลิงคร่าวๆ
เมื่อสวีเสี่ยวหลานได้ฟัง ใบหน้าขาวผ่องดุจหินหยกก็เต็มไปด้วยความเศร้า รำพันเสียงเบาว่า “นี่แหละหนอความรัก…”
อันหลิน “…”
ขณะนั้นเอง ใบหน้าของชิงหัวก็ผุดวาบในหัวสมองของต้าไป๋ ใบหน้าของจิ้งจอกขาวตัวหนึ่งปรากฏขึ้นในใจเจ้าอัปลักษณ์ ใบหน้าของหวังลู่ผุดขึ้นในสมองของอันหลิน
“อันหลิน ต่อไปเจ้าจะไปไหน”
หลังสวีเสี่ยวหลานพร่ำพรรณนาแล้วก็ถามขึ้นมาอีกครั้ง
“ไปสำนักเซียนหมื่นชีวิต ไปเยี่ยนพี่เฉิงหน่อย” อันหลินครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วตอบ
สวีเสี่ยวหลานพยักหน้า “สำนักหมื่นชีวิตข้าไม่ไปแล้ว ข้ากลับสำนักก่อนดีกว่า”
สำนักเซียนหมื่นชีวิตเป็นสี่สุดยอดสำนักแห่งแดนจิ่วโจวเฉกเช่นเดียวกับสำนักวิหคชาด นอกจากจะสนทนากันบ้างยามประลองยุทธ์ ปกติแล้วไม่ค่อยไปมาหาสู่กันเท่าใดนัก ด้วยเหตุนี้ นางจึงไม่สนใจสำนักเซียนหมื่นชีวิตแต่อย่างใด แม้การได้เห็นรูปหล่ออย่างเซวียนหยวนเฉิงจะไม่เลว แต่เปิดเทอมก็ได้เจอกันแล้วไม่ใช่หรือ ไยต้องรีบร้อนด้วย
ทุกคนมาถึงเขตเมืองของแคว้นเทียนเหอ
สวีเสี่ยวหลานใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายกลับแคว้นไป๋หัว ส่วนพวกอันหลินกลับถูกส่งไปที่แคว้นเฟิงหยวน
แคว้นเฟิงหยวนตั้งอยู่ทางเหนือสุดของแดนจิ่วโจว เชื่อมต่อกับแดนศักดิ์สิทธิ์เหมันต์แห่งแผ่นดินบรรพกาล ที่มีสงครามต่อเนื่องตลอดปี มีทหารที่สรวงสวรรค์ส่งมาประจำการณ์
อันที่จริงสำนักอื่นในแดนจิ่วโจวก็เข้าร่วมการศึกป้องกันแนวชายแดนเช่นกัน แต่ในสำนักบำเพ็ญเซียนเหล่านี้ มีสำนักเซียนหมื่นชีวิตเป็นแกนนำ เป็นกำลังสำคัญในการต่อต้านการรุรานแคว้นเฟิงหยวนของสาวหิมะ
กลางลานเคลื่อนย้ายในเขตเมืองของแคว้นเฟิงหยวน ร่างของอันหลินค่อยๆ ปรากฏให้เห็น
“ฟู่…หนาวนิดหน่อยแฮะ”
สิ่งที่โชยมาปะทะหน้าเป็นลมหนาวอันเย็นเยียบ ทำให้เขาเผลอหดตัวโดยไม่รู้ตัว
“โฮ่ง! เมืองตั้งอยู่ทางเหนือของแคว้นเฟิงหยวน มองจากตำแหน่งแล้ว เข้าใกล้แดนศักดิ์สิทธิ์เหมันต์มาก อุณหภูมิต่ำเป็นเรื่องปกติ” ต้าไป๋สะบัดตัวเล็กน้อย
หลังอันหลินพักรักษาอยู่ระยะหนึ่ง การเคลื่อนไหวขั้นพื้นฐานสามารถจัดการได้ด้วยตัวเองแล้ว แต่ก็ยังชอบนอนอยู่บนแผ่นหลังของต้าไป๋อยู่ดี เพราะมันสบายและอบอุ่นเหลือเกิน!
เขากวาดสายตามองทั่ว แม้สภาพแวดล้อมที่นี่จะค่อนข้างหนาวเหน็บ แต่ผู้คนที่สัญจรไปมาในแคว้นเฟิงหยวนกลับไม่ได้แต่งกายหนาแน่น
ผู้คนส่วนใหญ่จะใส่แค่ชุดธรรมดาทั่วไป มีหญิงสาวบางคนถึงขั้นสวมเพียงชุดกระโปรงแขนกุด เผยให้เห็นท่อนแขนขาวหยอกและเรียวยาวนั้น ไม่รู้ว่าเป็นกระแสนิยมของที่นี่หรือไม่
อันหลินขี่ต้าไป๋เดินชมไปเรื่อยๆ ความจริงการเยือนสถานที่ที่แตกต่างกัน สัมผัสธรรมเนียมประเพณีท้องถิ่นที่ไม่เหมือนกัน ก็เป็นหนึ่งในความชอบของการท่องเที่ยวช่วงปิดเทอมของเขาเช่นกัน
เจ้าอัปลักษณ์กลายร่างเป็นลิงตัวจิ๋ว นั่งรักษาอาการบาดเจ็บบนหัวไหล่อันหลิน
มันได้รับบาดเจ็บตอนที่ต่อสู้กับมังกรนิลไม่น้อย บัดนี้เมื่อกินยาฟื้นฟูปราณที่อันหลินให้มันแล้ว ก็ไม่อยากจะขยับเขยื้อนเลย
พาหนะสุนัขสุดเท่ รวมถึงลูกลิงน่าเกลียดน่าชัง มักจะเป็นที่ดึงดูดสายตาผู้คนอยู่แล้ว
ขณะที่เขากำลังเดินไปข้างหน้าอย่างสบายอุรา หญิงชราผมขาวโพลนก็เยื้องย่างเข้ามา จู่ๆ ก็ล้มคว่ำหน้าในระยะที่ใกล้ต้าไป๋เป็นอย่างมาก
“โอ๊ย!”
หญิงชราร้องตะโกนเสียงดังลั่น “เจ็บจังเลย ช่วยด้วย!”
เสียงร้องอย่างเจ็บปวด ทำให้ผู้คนสัญจรกรูกันมามุงดูในพริบตา
อันหลิน “…”
ในตอนนั้นเอง เด็กหญิงคนหนึ่งก็วิ่งเข้ามา ร้องไห้ฟูมฟาย “ท่านย่า…ท่านเป็นอะไรไป อย่าตายนะ!”
ขณะที่พูด นางก็เหลียวมองอันหลิน พูดอย่างโกรธเคืองว่า “ทำไมเจ้าต้องชนย่าข้าด้วย ย่าข้าอายุหนึ่งร้อยหกสิบห้าปีแล้ว เจ็บปวดเช่นนี้ เอาชีวิตของย่าข้าได้เลยนะ! ฮือๆ ๆ…”
เด็กน้อยร้องไห้โวยวายเสียงดัง คนที่ล้อมมุงดูก็มีมากขึ้นเรื่อยๆ แถมยังชี้มือชี้ไม้ใส่อันหลินอีกด้วย
ถึงขั้นว่าเริ่มมีคนกระซิบกระซาบว่า ‘มีเงินแล้วอย่างไร ขี่สุนัขแล้วจะข่มเหงรังแกคนอื่นได้งั้นหรือ’ อะไรทำนองนั้น
ต้าไป๋งงเป็นไก่ตาแตก มันเพิ่งเคยพบเจอสถานการณ์แบบนี้ครั้งแรก มันไม่ได้ชนหญิงชราคนนี้นี่นา!
สีหน้าของอันหลินก็เปลี่ยนไปเช่นกัน
เขาไม่คิดเลยว่าจะเจอแก๊งต้มตุ๋นในแดนบำเพ็ญเซียน!
นี่เป็นการตามกระแสโลกเหรอ
แต่ไม่นาน เขาก็พบว่าความเจ็บปวดบนใบหน้าของหญิงชราคล้ายว่าจะไม่ได้เสแสร้ง
สีหน้าแสร้งเจ็บปวดทรมานมากได้ แต่อาการของเนื้อตัวที่สั่นเทาด้วยความเจ็บปวด รวมถึงลมหายใจถี่กระชั้น จะแสดงให้สมจริงเช่นนี้นั้นยากมาก
วิชาญาณทิพย์!
ดวงตาของเขากลายเป็นสีขาวโพลน กวาดมองสภาพร่างกายของหญิงชรา
ในขณะเดียวกัน เด็กหญิงก็ร่ำไห้ร้องตะโกนต่อไป แม้แต่ดวงตาก็แดงก่ำ “เจ้าชนย่าของข้า เจ้าต้องจ่ายเงินค่ารักษาให้ย่าข้า เจ้าต้องชดใช้สองร้อยหินวิญญาณ!”
ฝูงชนที่มุงดูก็มีความรู้สึกร่วมไปกับบรรยากาศแบบนี้เช่นกัน หญิงชราครวญครางอย่างเจ็บปวด เด็กหญิงร้องห่มร้องไห้ ฉากที่น่าเศร้าใจเช่นนี้ เป็นตัวการสำคัญของเรื่องนี้ จำต้องชดใช้!
“ชดใช้ๆ ๆ…”
ผู้คนร้องตะโกนอย่างโกรธเคืองเพื่อกดดันอันหลิน
อันหลินกะพริบตาปริบๆ ถามอย่างอ่อนโยนว่า “สองร้อยหินวิญญาณพอหรือ จะเอามากกว่านี้หน่อยไหม”
ราวกับเด็กหญิงรู้คำตอบของอันหลินอยู่แล้ว รีบตะโกนสวนทันทีว่า “น้อยกว่านี้ไม่ได้แล้ว สองร้อยหินวิญญาณขาดตัว! เอ่อ…”
แต่วินาทีต่อมา นางเพิ่งได้สติจากคำพูดของอันหลิน ใบหน้าอ่อนเยาว์ชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็แคะหู ทำท่าราวกับตัวเองหูฝาดไปอย่างไรอย่างนั้น
“ไม่เอามากกว่าจริงหรือ อาการอาจจะสาหัสก็ได้นะ” อันหลินแสดงความเป็นห่วง
เขากระโดดลงจากหลังต้าไป๋ เดินเข้าไปใกล้หญิงชราแล้วพยุงนางขึ้น
หญิงชราเห็นชายหนุ่มที่ใบหน้าอ่อนโยน ไม่โกรธกริ้วเลยสักนิด ก็ยืนอึ้งกับที่เช่นกัน
อันหลินย่อตัวนั่งลง ลูบหัวของเด็กหญิง หยิบหินวิญญาณถุงหนึ่งออกจากแหวนมิติ พูดเสียงนุ่มว่า “นี่เป็นห้าร้อยหินวิญญาณ เอาไปรักษาให้ย่าเจ้านะ!”
ขณะที่พูด ใบหน้าของเขามีรอยยิ้มอบอุ่นประดับอยู่ ราวกับจะทำลายความเหน็บหนาว
เด็กหญิงถือหินวิญญาณถุงใหญ่ไว้อึ้งๆ ไม่รู้ว่าควรพูดอย่างไรดี ความรู้สึกผิดล้นทะลักในใจ
ผ่านไปครู่ใหญ่นางเพิ่งได้สติ พูดเสียงสั่นเครือว่า “ขอบคุณพี่ชายมาก ข้า…ข้าจะคืนท่านแน่นอน อันที่จริงเมื่อครู่ข้าหลอก…”
นางยังพูดไม่ทันจบ ก็ถูกเสียงที่อันหลินตวาดต้าไป๋ดังลั่นกลบจนมิด “ต้าไป๋! ครั้งหน้าเดินระวังหน่อย อย่าชนคนแก่อีก!”
ต้าไป๋ทำหน้างงเป็นหมาตาแตก แถมยังเจือความน้อยใจด้วย
กลุ่มคนที่มุงดูต่างก็ปิดปากฉับ ท่าทีของอันหลินจะให้พวกเขาพูดอะไรได้อีก
คนเขาขอค่ารักษาสองร้อยหินวิญญาณ แต่เขากลับให้ถึงห้าร้อยหินวิญญาณ!
และระหว่างนี้ ยังอ่อนโยนและเอาใจใส่ถึงปานนั้น…
“ดี!” ทันใดนั้น ก็มีเสียงตะโกนว่าดีดังเกรียวกราว ถึงขั้นว่ามีหญิงสาวที่ค่อนข้างเปิดเผย ถูกท่าทางหล่อเหลาน่าหลงใหลของอันหลินกำราบ กรีดร้องขึ้นมาดังลั่น
อันหลินกระโดดขึ้นขี่หลังต้าไป๋ โบกมือให้เด็กหญิงรูปร่างกะทัดรัดคนนี้ “เด็กน้อย ดูแลท่านย่าของเจ้าให้ดีละ”
น้ำตาของเด็กหญิงไหลทะลักออกมา พยักหน้ารัวๆ
ท่ามกลางผู้คนมากมาย มีเพียงนางที่รู้ว่า พี่ชายตรงหน้านี้ตั้งอกตั้งใจมากแค่ไหน
หนึ่งคนหนึ่งสุนัขค่อยๆ เดินจากไปไกล หายลับไปภายใต้แสงอาทิตย์ยามอัสดง
เด็กหญิงเหม่อมองแผ่นหลังนั้น
สำหรับนางแล้ว คนคนนั้นกลายเป็นวีรบุรุษของนาง จะจดจำไว้ในใจเสมอ
………………