“ใช่ ข้ารักสัตว์มาก แถมข้ายังเลี้ยงวานรน่ารักไว้ตัวหนึ่งอีกด้วย!” อันหลินทอดมองยอดไผ่ ตะโกนลั่นว่า “เจ้าอัปลักษณ์ ลงมา!” ต้นไผ่สั่นไหวครู่หนึ่ง จากนั้นวานรจิ๋วตัวหนึ่งก็เหาะลงมาจากฟ้า กระโดดไปเกาะบนไหล่ของอันหลิน มันดวงตากลมโตดุจโคมไฟ จมูกเชิดขึ้นฟ้า ปากบิดเบี้ยว รวมถึงกระเล็กๆ ทั้งหลายแหล่ แลดูทั้งน่ารักและน่าชัง เจ้าอัปลักษณ์ฉีกยิ้มให้ทังซือหยวน เผยรอยยิ้มอันน่าเกลียด จากนั้นก็แคะจมูก… “เจ้าอัปลักษณ์ ทำได้ดี!” อันหลินส่งกระแสจิตชื่นชม (ได้เห็นความชอบอันมีเอกลักษณ์และรสนิยมในความงามที่พิลึกของฉันแล้วล่ะสิ ตกใจหรือเปล่า) เมื่อเห็นดวงตาเบิกกว้างของทังซือหยวน อันหลินคิดว่าแผนการของเขากำลังก้าวสู่ความสำเร็จแล้ว! “ในวงการบำเพ็ญเซียนที่มองเพียงภายนอกนี้ สหายอันหลินกลับอยู่ร่วมกับวานรจิ๋วอัปลักษณ์ตัวนี้ได้มีความสุขปานนี้ ช่างเป็นความบริสุทธิ์ที่หายากเสียจริง” ทังซือหยวนได้สติกลับมา ดวงตาคู่งามชำเลืองมอง แลดูตื่นเต้นกว่าเดิม นางจ้องอันหลิน ใบหน้าขาวผ่องงดงามแดงระเรื่อเล็กน้อย พูดเสียงหวานแผ่วเบาว่า “ก่อนหน้านี้ข้านึกว่า…เจ้าจะชื่นชมเพียงรูปลักษณ์ภายนอกของข้าเท่านั้น ที่แท้เจ้าก็ไม่ใช่คนมองคนที่ภายนอก เช่นนั้น…เจ้าชอบข้าตรงไหนหรือ” อันหลินงงเป็นไก่ตาแตก บรรยากาศที่อบอวลไปด้วยความเสน่หาแบบนี้มันคืออะไรกัน! รสนิยมเลวร้ายของเขาตีความแบบนี้ได้ด้วยเหรอ ชอบเธอที่ตรงไหนงั้นเหรอ ตอบว่าไม่มีตรงไหนที่ชอบเลยได้หรือเปล่า ไม่สิ…พูดแบบนี้จะถูกนางตบเอาได้! อันหลินส่ายหน้ายิ้มๆ “ข้าก็พูดไม่ถูกเหมือนกัน หรืออาจเป็นเพียงความรู้สึกชั่ววูบบางอย่างกระมัง ไม่นานความรู้สึกแบบนี้อาจจะจางหายไปก็ได้” (ใช่แล้ว แนวโน้มแบบนี้แหละ ประโยคนี้เธอน่าจะเข้าใจแล้วสินะ ฉันแค่ถูกชะตากับเธอชอบกลเท่านั้น ไม่ได้สนใจเธอจริงๆ เสียหน่อย!) ทังซือหยวนได้ฟังก็ก้มหน้าลง แพขนตางอนงามสั่นระริก เม้มปากจิบชาคำหนึ่ง ไม่พูดอะไร และไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ ขณะที่อันหลินคิดว่าเขาจะทำสำเร็จแล้ว หญิงตรงหน้าคนนี้ก็พูดขึ้นมาอีกครั้ง “ความรู้สึกชั่ววูบบางอย่างงั้นหรือ ประโยคนี้ช่างดีจริงๆ…” “บางครั้งความรู้สึกก็เป็นเช่นนี้แหละ เกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว ไม่รู้จะจบสิ้นอย่างไร ไม่คิดเลยว่าจุดนี้ มุมมองของข้ากับสหายอันหลินจะคล้ายคลึงกันเช่นนี้” อันหลินตะลึงงันอีกครั้ง นี่มันเรื่องบ้าบออะไรกันแน่… บทสนทนาของพวกเขาอยู่ในระนาบเดียวกันจริงเหรอ สายตาชื่นชมของนางต้องการอะไรกันแน่! “สหายอันหลิน อาจารย์และอาจารย์แม่ของข้าเป็นคู่ครองกันหกร้อยปีเต็มๆ แต่สุดท้าย ทั้งสองก็แยกจากกันอยู่ดี เจ้ารู้ไหมว่าเป็นเพราะอะไร” ทังซือหยวนพูดต่อ “เพราะอะไร หรือมีคนเหยียบเรือสองแคม” อันหลินนึกสนใจขึ้นมา ทังซือหยวนส่ายหน้า “ไม่ใช่ เป็นเพราะวันหนึ่งอาจารย์หญิงล้มป่วย ใช้กระแสจิตบอกอาจารย์ที่อยู่ไกลห่างพันลี้ อาจารย์ให้ท่านดื่มน้ำอุ่นให้มากๆ จากนั้น ทั้งสองคนก็แยกจากกัน” “พรืด…” อันหลินพ่นชาเต็มปากออกมา “อาจารย์หญิงบอกว่า ใจของอาจารย์แปรเปลี่ยนไปแล้ว หากว่าเป็นเมื่อก่อน เขาต้องใจร้อนดั่งไฟแผดเผาวิ่งโร่กลับไปเยี่ยมท่าน อยู่กับท่านแน่นอน ตอนนี้กลับขายผ้าเอาหน้ารอดบอกให้ดื่มน้ำอุ่น หมดรักเสียแล้ว” “นี่แหละพลังแห่งกาลเวลา” “มนุษย์โลกมักพูดว่ารักกันตลอดไป แต่ผู้บำเพ็ญเพียรเช่นพวกเรา คู่รักไม่ได้อยู่เคียงคู่กันแค่ร้อยปี” “ความรักในคราแรกอาจเป็นเรื่องจริง แต่เมื่อกาลเวลาผันผ่าน ความรักจะเกิดการเปลี่ยนแปลงช้าๆ” ทังซือหยวนเงยหน้าขึ้น ทอดมองผืนฟ้าอย่างเศร้าโศก “เฉกเช่นเมฆขาวบนท้องนภา มันเคยดำรงอยู่ แต่กาลเวลาก็ทำให้มันมลายไป เป็นดังที่เจ้าพูด ความรู้สึกเช่นนี้ไม่มีใครรักษาไว้ได้นาน บางทีอาจจางหายไปไม่เวลาใดก็เวลาหนึ่ง…” มุมปากของอันหลินกระตุก ทำไมพูดถึงเขาอีกแล้ว คำพูดที่เขาเสกสรรปั้นแต่งขึ้นมาเป็นปรัชญาขนาดนี้เชียวเหรอ หญิงคนนี้มีความคิดอเนกนัย[1]สูงมาก นี่มันประเภทคิดเองเออเองชัดๆ แถมยังเป็นคนช่างจ้ออีกด้วย… “สหายอันหลิน ข้าคิดว่าเจ้าไม่เหมือนคนอื่น เจ้ามีนิสัยตรงไปตรงมา จริงใจ มีน้ำใจ ความคิดทางด้านความรู้สึกก็คล้ายคลึงกับข้ามาก…” ทังซือหยวนยิ่งพูดตาก็ยิ่งเป็นประกาย แม้แต่อันหลินที่หน้าด้านหน้าทนยังถูกนางชมจนหน้าขึ้นสี ที่แท้…เขาก็มีข้อดีมากขนาดนี้เชียวเหรอ “ฉะนั้น…สหายอันหลิน ข้าอนุญาตแล้ว…” นิ้วเรียวของทังซือหยวนลูบปอยผมดำขลับที่ปลิวตามแรงลม สายตาผินมองที่อื่นอย่างหลบเลี่ยง น้ำเสียงก็เหมือนจะอ่อนหวานขึ้นเช่นกัน “เอ่อ” อันหลินกะพริบตาปริบๆ ทังซือหยวนถลึงตามองอันหลินที่ค่อนข้างมึนงงเป็นเชิงตำหนิ “ข้าบอกว่า…ข้าอนุญาตให้เจ้าจีบข้าได้!” อันหลินตกตะลึง! ให้ตายเถอะ ใกล้จะควบคุมสถานการณ์ไม่ได้แล้ว ทำอย่างไรดี! “เอ่อ…สหายทังซือหยวน หนทางการบำเพ็ญเพียรยาวไกล สู้เราเริ่มจากการเป็นเพื่อนดีกว่า หากเราสองใจตรงกันจริง ข้าค่อยจีบเจ้าแล้วกัน” อันหลินยอมแล้วจริงๆ ยามนี้ทำได้แค่บอกกล่าวให้ชัดแล้ว ไม่คิดเลยว่าทังซือหยวนจะไม่โกรธ กลับส่งยิ้มหวานหยด งดงามจับใจปานเมฆหลากสีอันสวยงาม “อันที่จริงความสงวนตัวและความไร้เดียงสาของเจ้า ก็เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ข้าสนใจเจ้าด้วย ทำตามที่เจ้าพูดนั่นแหละ” อันหลินได้ยินก็โล่งอกแล้วในที่สุด ดูท่าทางน่าจะผ่านด่านนี้ไปได้แล้ว ด้วยเหตุนี้ ทั้งคู่จึงสนทนากันในแบบฉบับของเพื่อนอยู่พักหนึ่ง บรรยากาศยังนับว่ากลมกลืนเข้ากันได้ดี “อืม เดี๋ยวข้าต้องไปรับรางวัลการประลองแห่งสำนักที่ป่าหมื่นขุนพลแน่ะ” จู่ๆ ทังซือหยวนก็นึกอะไรขึ้นมาได้ พูดอย่างตื่นเต้นว่า “ครั้งนี้ข้าจะไปรับอาวุธวิเศษขั้นต้นหนึ่งชิ้นและอาวุธคุ้มกันขั้นต้นอีกหนึ่งชิ้น” “เอ๊ะ รางวัลสำนักไม่ใช่อาวุธวิเศษขั้นต้นหนึ่งชิ้นกับหินวิญญาณส่วนหนึ่งไม่ใช่หรือ” อันหลินถามอย่างฉงน ทังซือหยวนพยักหน้า “ใช่แล้ว แต่สามหมื่นกว่าหินวิญญาณที่ข้ามี กับสี่หมื่นหินวิญญาณที่ได้จากการประลองแห่งสำนัก รวมกันแล้วสามารถแลกอาวุธคุ้มกันขั้นต้นน้ำดีได้หนึ่งชิ้นแล้ว” อันหลินกะพริบตาปริบๆ “ได้สี่หมื่นหินวิญญาณหรือ ไม่ใช่…สองหมื่นหินวิญญาณหรือ” “โอ๊ะ…” ทังซือหยวนปิดปาก รู้ว่าตัวเองเผลอหลุดปากไป ใบหน้างามแดงระเรื่อ อันหลินจ้องทังซือหยวนอย่างฉงนสงสัย ทังซือหยวนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็พูดขึ้นว่า “ข้าเห็นแก่ความซื่อตรงของเจ้า จะบอกความลับหนึ่งแก่เจ้า ความจริงการประลองระหว่างข้ากับข่วงเร่อ ไม่ได้ง่ายดายอย่างที่ตาเจ้าเห็นหรอก…แต่มีคนจ่ายสองหมื่นหินวิญญาณให้ข้า เดิมทีโอกาสในการชนะของข้าไม่สูงอยู่แล้ว ก็เลย เจ้าน่าจะเข้าใจ…” สองหมื่นหินวิญญาณ… แผนแบบนี้ อันหลินเข้าใจไหมน่ะหรือ เขาเข้าใจดีเหลือเกิน! เข้าใจดีจนเขาอยากจะร้องไห้! อันหลินโดนฟ้าผ่าจนกรอบนอกนุ่มในในพริบตา ริมฝีปากสั่นระริก ไม่รู้ว่าควรสบถว่าอะไรดี ควรพูดว่าทำไมเจ้าถึงถูกซื้อด้วยราคาแค่สองหมื่นหินวิญญาณ หรือบอกว่าทำไมหนึ่งแสนหินวิญญาณของเขา…ถึงได้แพ้สองหมื่นหินวิญญาณดีล่ะ! ไม่รู้เพราะเหตุใด เขานึกถึงคำพูดของเซียนพสุธามิ่งหยวนขึ้นมา ‘นี่แหละหนอ…ชีวิต!’ … อันหลินและทังซือหยวนแยกจากกันแล้ว เขากลับมายังที่พักของตัวเองและเริ่มขบคิด ทังซือหยวนได้กำไรสองหมื่นหินวิญญาณ ข่วงเร่อได้ห้าหมื่นหินวิญญาณ เขาขาดทุนสามแสนห้าหมื่นหินวิญญาณ… จู่ๆ ก็อยากร้องไห้ขึ้นมา! ……………………………… [1] ความคิดอเนกนัย คือ ความคิดหลายทิศทาง หลายแง่หลายมุม คิดได้กว้างไกลนำไปสู่การคิดประดิษฐ์สิ่งแปลกใหม่รวมถึงการคิดค้น พบวิธีการแก้ปัญหาได้
“ใช่ ข้ารักสัตว์มาก แถมข้ายังเลี้ยงวานรน่ารักไว้ตัวหนึ่งอีกด้วย!” อันหลินทอดมองยอดไผ่ ตะโกนลั่นว่า “เจ้าอัปลักษณ์ ลงมา!”
ต้นไผ่สั่นไหวครู่หนึ่ง จากนั้นวานรจิ๋วตัวหนึ่งก็เหาะลงมาจากฟ้า กระโดดไปเกาะบนไหล่ของอันหลิน
มันดวงตากลมโตดุจโคมไฟ จมูกเชิดขึ้นฟ้า ปากบิดเบี้ยว รวมถึงกระเล็กๆ ทั้งหลายแหล่ แลดูทั้งน่ารักและน่าชัง
เจ้าอัปลักษณ์ฉีกยิ้มให้ทังซือหยวน เผยรอยยิ้มอันน่าเกลียด จากนั้นก็แคะจมูก…
“เจ้าอัปลักษณ์ ทำได้ดี!” อันหลินส่งกระแสจิตชื่นชม
(ได้เห็นความชอบอันมีเอกลักษณ์และรสนิยมในความงามที่พิลึกของฉันแล้วล่ะสิ ตกใจหรือเปล่า)
เมื่อเห็นดวงตาเบิกกว้างของทังซือหยวน อันหลินคิดว่าแผนการของเขากำลังก้าวสู่ความสำเร็จแล้ว!
“ในวงการบำเพ็ญเซียนที่มองเพียงภายนอกนี้ สหายอันหลินกลับอยู่ร่วมกับวานรจิ๋วอัปลักษณ์ตัวนี้ได้มีความสุขปานนี้ ช่างเป็นความบริสุทธิ์ที่หายากเสียจริง” ทังซือหยวนได้สติกลับมา ดวงตาคู่งามชำเลืองมอง แลดูตื่นเต้นกว่าเดิม
นางจ้องอันหลิน ใบหน้าขาวผ่องงดงามแดงระเรื่อเล็กน้อย พูดเสียงหวานแผ่วเบาว่า “ก่อนหน้านี้ข้านึกว่า…เจ้าจะชื่นชมเพียงรูปลักษณ์ภายนอกของข้าเท่านั้น ที่แท้เจ้าก็ไม่ใช่คนมองคนที่ภายนอก เช่นนั้น…เจ้าชอบข้าตรงไหนหรือ”
อันหลินงงเป็นไก่ตาแตก
บรรยากาศที่อบอวลไปด้วยความเสน่หาแบบนี้มันคืออะไรกัน! รสนิยมเลวร้ายของเขาตีความแบบนี้ได้ด้วยเหรอ
ชอบเธอที่ตรงไหนงั้นเหรอ ตอบว่าไม่มีตรงไหนที่ชอบเลยได้หรือเปล่า
ไม่สิ…พูดแบบนี้จะถูกนางตบเอาได้!
อันหลินส่ายหน้ายิ้มๆ “ข้าก็พูดไม่ถูกเหมือนกัน หรืออาจเป็นเพียงความรู้สึกชั่ววูบบางอย่างกระมัง ไม่นานความรู้สึกแบบนี้อาจจะจางหายไปก็ได้”
(ใช่แล้ว แนวโน้มแบบนี้แหละ ประโยคนี้เธอน่าจะเข้าใจแล้วสินะ ฉันแค่ถูกชะตากับเธอชอบกลเท่านั้น ไม่ได้สนใจเธอจริงๆ เสียหน่อย!)
ทังซือหยวนได้ฟังก็ก้มหน้าลง แพขนตางอนงามสั่นระริก เม้มปากจิบชาคำหนึ่ง ไม่พูดอะไร และไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
ขณะที่อันหลินคิดว่าเขาจะทำสำเร็จแล้ว หญิงตรงหน้าคนนี้ก็พูดขึ้นมาอีกครั้ง
“ความรู้สึกชั่ววูบบางอย่างงั้นหรือ ประโยคนี้ช่างดีจริงๆ…”
“บางครั้งความรู้สึกก็เป็นเช่นนี้แหละ เกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว ไม่รู้จะจบสิ้นอย่างไร ไม่คิดเลยว่าจุดนี้ มุมมองของข้ากับสหายอันหลินจะคล้ายคลึงกันเช่นนี้”
อันหลินตะลึงงันอีกครั้ง นี่มันเรื่องบ้าบออะไรกันแน่…
บทสนทนาของพวกเขาอยู่ในระนาบเดียวกันจริงเหรอ สายตาชื่นชมของนางต้องการอะไรกันแน่!
“สหายอันหลิน อาจารย์และอาจารย์แม่ของข้าเป็นคู่ครองกันหกร้อยปีเต็มๆ แต่สุดท้าย ทั้งสองก็แยกจากกันอยู่ดี เจ้ารู้ไหมว่าเป็นเพราะอะไร” ทังซือหยวนพูดต่อ
“เพราะอะไร หรือมีคนเหยียบเรือสองแคม” อันหลินนึกสนใจขึ้นมา
ทังซือหยวนส่ายหน้า “ไม่ใช่ เป็นเพราะวันหนึ่งอาจารย์หญิงล้มป่วย ใช้กระแสจิตบอกอาจารย์ที่อยู่ไกลห่างพันลี้ อาจารย์ให้ท่านดื่มน้ำอุ่นให้มากๆ จากนั้น ทั้งสองคนก็แยกจากกัน”
“พรืด…” อันหลินพ่นชาเต็มปากออกมา
“อาจารย์หญิงบอกว่า ใจของอาจารย์แปรเปลี่ยนไปแล้ว หากว่าเป็นเมื่อก่อน เขาต้องใจร้อนดั่งไฟแผดเผาวิ่งโร่กลับไปเยี่ยมท่าน อยู่กับท่านแน่นอน ตอนนี้กลับขายผ้าเอาหน้ารอดบอกให้ดื่มน้ำอุ่น หมดรักเสียแล้ว”
“นี่แหละพลังแห่งกาลเวลา”
“มนุษย์โลกมักพูดว่ารักกันตลอดไป แต่ผู้บำเพ็ญเพียรเช่นพวกเรา คู่รักไม่ได้อยู่เคียงคู่กันแค่ร้อยปี”
“ความรักในคราแรกอาจเป็นเรื่องจริง แต่เมื่อกาลเวลาผันผ่าน ความรักจะเกิดการเปลี่ยนแปลงช้าๆ”
ทังซือหยวนเงยหน้าขึ้น ทอดมองผืนฟ้าอย่างเศร้าโศก “เฉกเช่นเมฆขาวบนท้องนภา มันเคยดำรงอยู่ แต่กาลเวลาก็ทำให้มันมลายไป เป็นดังที่เจ้าพูด ความรู้สึกเช่นนี้ไม่มีใครรักษาไว้ได้นาน บางทีอาจจางหายไปไม่เวลาใดก็เวลาหนึ่ง…”
มุมปากของอันหลินกระตุก ทำไมพูดถึงเขาอีกแล้ว คำพูดที่เขาเสกสรรปั้นแต่งขึ้นมาเป็นปรัชญาขนาดนี้เชียวเหรอ
หญิงคนนี้มีความคิดอเนกนัย[1]สูงมาก นี่มันประเภทคิดเองเออเองชัดๆ แถมยังเป็นคนช่างจ้ออีกด้วย…
“สหายอันหลิน ข้าคิดว่าเจ้าไม่เหมือนคนอื่น เจ้ามีนิสัยตรงไปตรงมา จริงใจ มีน้ำใจ ความคิดทางด้านความรู้สึกก็คล้ายคลึงกับข้ามาก…” ทังซือหยวนยิ่งพูดตาก็ยิ่งเป็นประกาย
แม้แต่อันหลินที่หน้าด้านหน้าทนยังถูกนางชมจนหน้าขึ้นสี
ที่แท้…เขาก็มีข้อดีมากขนาดนี้เชียวเหรอ
“ฉะนั้น…สหายอันหลิน ข้าอนุญาตแล้ว…” นิ้วเรียวของทังซือหยวนลูบปอยผมดำขลับที่ปลิวตามแรงลม สายตาผินมองที่อื่นอย่างหลบเลี่ยง น้ำเสียงก็เหมือนจะอ่อนหวานขึ้นเช่นกัน
“เอ่อ” อันหลินกะพริบตาปริบๆ
ทังซือหยวนถลึงตามองอันหลินที่ค่อนข้างมึนงงเป็นเชิงตำหนิ “ข้าบอกว่า…ข้าอนุญาตให้เจ้าจีบข้าได้!”
อันหลินตกตะลึง!
ให้ตายเถอะ ใกล้จะควบคุมสถานการณ์ไม่ได้แล้ว ทำอย่างไรดี!
“เอ่อ…สหายทังซือหยวน หนทางการบำเพ็ญเพียรยาวไกล สู้เราเริ่มจากการเป็นเพื่อนดีกว่า หากเราสองใจตรงกันจริง ข้าค่อยจีบเจ้าแล้วกัน” อันหลินยอมแล้วจริงๆ ยามนี้ทำได้แค่บอกกล่าวให้ชัดแล้ว
ไม่คิดเลยว่าทังซือหยวนจะไม่โกรธ กลับส่งยิ้มหวานหยด งดงามจับใจปานเมฆหลากสีอันสวยงาม “อันที่จริงความสงวนตัวและความไร้เดียงสาของเจ้า ก็เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ข้าสนใจเจ้าด้วย ทำตามที่เจ้าพูดนั่นแหละ”
อันหลินได้ยินก็โล่งอกแล้วในที่สุด ดูท่าทางน่าจะผ่านด่านนี้ไปได้แล้ว
ด้วยเหตุนี้ ทั้งคู่จึงสนทนากันในแบบฉบับของเพื่อนอยู่พักหนึ่ง บรรยากาศยังนับว่ากลมกลืนเข้ากันได้ดี
“อืม เดี๋ยวข้าต้องไปรับรางวัลการประลองแห่งสำนักที่ป่าหมื่นขุนพลแน่ะ” จู่ๆ ทังซือหยวนก็นึกอะไรขึ้นมาได้ พูดอย่างตื่นเต้นว่า “ครั้งนี้ข้าจะไปรับอาวุธวิเศษขั้นต้นหนึ่งชิ้นและอาวุธคุ้มกันขั้นต้นอีกหนึ่งชิ้น”
“เอ๊ะ รางวัลสำนักไม่ใช่อาวุธวิเศษขั้นต้นหนึ่งชิ้นกับหินวิญญาณส่วนหนึ่งไม่ใช่หรือ” อันหลินถามอย่างฉงน
ทังซือหยวนพยักหน้า “ใช่แล้ว แต่สามหมื่นกว่าหินวิญญาณที่ข้ามี กับสี่หมื่นหินวิญญาณที่ได้จากการประลองแห่งสำนัก รวมกันแล้วสามารถแลกอาวุธคุ้มกันขั้นต้นน้ำดีได้หนึ่งชิ้นแล้ว”
อันหลินกะพริบตาปริบๆ “ได้สี่หมื่นหินวิญญาณหรือ ไม่ใช่…สองหมื่นหินวิญญาณหรือ”
“โอ๊ะ…” ทังซือหยวนปิดปาก รู้ว่าตัวเองเผลอหลุดปากไป ใบหน้างามแดงระเรื่อ
อันหลินจ้องทังซือหยวนอย่างฉงนสงสัย
ทังซือหยวนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็พูดขึ้นว่า “ข้าเห็นแก่ความซื่อตรงของเจ้า จะบอกความลับหนึ่งแก่เจ้า ความจริงการประลองระหว่างข้ากับข่วงเร่อ ไม่ได้ง่ายดายอย่างที่ตาเจ้าเห็นหรอก…แต่มีคนจ่ายสองหมื่นหินวิญญาณให้ข้า เดิมทีโอกาสในการชนะของข้าไม่สูงอยู่แล้ว ก็เลย เจ้าน่าจะเข้าใจ…”
สองหมื่นหินวิญญาณ…
แผนแบบนี้ อันหลินเข้าใจไหมน่ะหรือ
เขาเข้าใจดีเหลือเกิน! เข้าใจดีจนเขาอยากจะร้องไห้!
อันหลินโดนฟ้าผ่าจนกรอบนอกนุ่มในในพริบตา ริมฝีปากสั่นระริก ไม่รู้ว่าควรสบถว่าอะไรดี
ควรพูดว่าทำไมเจ้าถึงถูกซื้อด้วยราคาแค่สองหมื่นหินวิญญาณ หรือบอกว่าทำไมหนึ่งแสนหินวิญญาณของเขา…ถึงได้แพ้สองหมื่นหินวิญญาณดีล่ะ!
ไม่รู้เพราะเหตุใด เขานึกถึงคำพูดของเซียนพสุธามิ่งหยวนขึ้นมา ‘นี่แหละหนอ…ชีวิต!’
…
อันหลินและทังซือหยวนแยกจากกันแล้ว
เขากลับมายังที่พักของตัวเองและเริ่มขบคิด
ทังซือหยวนได้กำไรสองหมื่นหินวิญญาณ ข่วงเร่อได้ห้าหมื่นหินวิญญาณ เขาขาดทุนสามแสนห้าหมื่นหินวิญญาณ…
จู่ๆ ก็อยากร้องไห้ขึ้นมา!
………………………………
[1] ความคิดอเนกนัย คือ ความคิดหลายทิศทาง หลายแง่หลายมุม คิดได้กว้างไกลนำไปสู่การคิดประดิษฐ์สิ่งแปลกใหม่รวมถึงการคิดค้น พบวิธีการแก้ปัญหาได้