เดินออกจากประตูห้องวิจัย อันหลินกับซูเฉี่ยนอวิ๋นเริ่มเยื้องย่างอย่างผ่อนคลาย
ต๋าอีกับต๋าเอ้อร์ได้รับชีวิตใหม่ อารมณ์ของอันหลินดีมากทีเดียว
เขาฮัมเพลง ก้าวด้วยฝีเท้าที่เบาหวิวและรวดเร็ว รู้สึกแม้กระทั่งว่าแสงแดดอบอุ่นสบายขึ้นหลายขุม
“สหายอันหลิน เจ้าจะไปจากที่นี่แล้วใช่ไหม” ซูเฉี่ยนอวิ๋นจำได้ว่าอันหลินเคยบอกตน เมื่อแหล่งพลังงานของหุ่นยนต์แล้วเสร็จ จะเดินทางกลับสรวงสวรรค์เลย
อันหลินได้ฟังก็ผงกหัว “ใช่แล้ว อีกไม่กี่วันก็จะเปิดเทอมแล้วไม่ใช่หรือ มีหลายเรื่องจำต้องกลับไปเตรียมตัวหน่อย”
อันที่จริงสาเหตุที่สำคัญที่สุด เป็นเพราะการไม่เลิกราของซูซิ่น ทำให้เขาเริ่มเหลืออดแล้ว
มิเช่นนั้นการกินอิ่มหนำเที่ยวสำราญในวังหลวงเป็นเหมือนสวรรค์แห่งการพักผ่อน อันหลินไหนเล่าจะอยากกลับไปไวปานนี้
จากนั้นเขาก็เจอกับชายหนุ่มรูปโฉมงดงามคนหนึ่งเข้าโดยบังเอิญ
“บังเอิญนักสหายอันหลิน” ซูซิ่นโบกมือยิ้มๆ
มุมปากของอันหลินกระตุก ทำไมซูซิ่นไม่ทักทายซูเฉี่ยนอวิ๋นก่อน แต่กลับทักทายเขาแทน
จู่ๆ เขาก็เกิดความรู้สึกไม่ดีขึ้นภายในใจ
“ได้ยินว่าเจ้าจะกลับสำนักแล้ว ข้าเองก็ไม่ได้เตรียมอะไร จึงขอมอบของขวัญเล็กๆ น้อยๆ ให้เจ้าแล้วกัน” ซูซิ่นพูดพลางยื่นกล่องไม้ใบหนึ่งให้อันหลินโดยพลการ
“โอ้โฮ ท่านพี่มอบของขวัญให้สหายอันหลินด้วยหรือ” ซูเฉี่ยนอวิ๋นป้องปากอุทานอย่างตกใจ ราวกับว่าพบเจอเรื่องอันน่าเหลือเชื่ออย่างไรอย่างนั้น
อันหลินพรั่นใจ แต่ผู้อื่นเป็นฝ่ายมอบของขวัญให้ ไม่รับไม่ได้หรอกมั้ง
คิดได้ดังนั้น เขาจึงจำใจรับกล่องไม้ชิ้นนี้ไว้ พร้อมกับแสดงความขอบคุณ
ซูซิ่นตบไหล่อันหลินปุๆ นัยน์ตาเปี่ยมด้วยการให้กำลังใจ
อันหลิน “…”
เขาสังหรณ์ใจว่า สิ่งที่อยู่ในกล่องไม้ต้องไม่ใช่ของดีอะไรแน่ๆ!
หากว่าเป็นไปได้ละก็ เขาไม่อยากรับของขวัญชิ้นนี้เลยจริงๆ
อันหลินขึ้นขี่หลังต้าไป๋ เหาะขึ้นฟ้าหลังบอกลาซูเฉี่ยนอวิ๋นกับซูซิ่นแล้ว
ทอดมองราชวังชิงมู่ที่ค่อยๆ ห่างไกลออกไปเรื่อยๆ บนนภา อันหลินหยิบกล่องไม้ออกจากแหวนมิติ
เขามองของสิ่งนี้ประหนึ่งเป็นกล่องแพนโดรา จมอยู่ในภวังค์ความคิด
โยนมันทิ้งไปเลยดีไหม
ความคิดหนึ่งแวบผ่านเข้ามาในหัวของเขา
ไม่สิ…เกิดเป็นของสำคัญอะไรขึ้นมาล่ะ…
สุดท้ายความสงสัยของมนุษย์ก็เอาชนะสติสัมปชัญญะอยู่ดี
เขาค่อยๆ เปิดกล่องไม้ออกช้าๆ
สิ่งที่เข้ามาในดวงตา เป็นจดหมายที่ส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ฉบับหนึ่ง
จดหมายรัก?
อันหลินค่อยๆ คลี่จดหมายที่ถูกพับไว้ออก ประโยคแรกเริ่มปรากฏสู่สายตาของเขา : [น้องเขยอันหลิน เชื่อว่าหากเจ้าเห็นจดหมายฉบับนี้ต้องตกใจมากเป็นแน่…]
เขาอ่านไปแค่ประโยคเดียวก็มือสั่น เกือบจะโยนจดหมายทิ้งแล้ว
ซูซิ่นพูดถูก อันหลินที่ได้รับจดหมายฉบับนี้ตกใจมากจริงๆ แถมยังสยดสยองหลังเห็นเนื้อหาด้วย!
น้องเขยอันหลินเหรอ
ให้ตายสิพับผ่า!
เป็นอย่างที่คิด…
กล่องไม้นี้โยนทิ้งไปเสียดีกว่า!
อันหลินยกกล่องไม้ขึ้น ผ่านไปครู่ใหญ่ก็ค่อยๆ ลดมือลง
อืม…ก่อนโยนขอดูหน่อยว่าเขาพูดอะไร
สติสัมปชัญญะของเขาถูกความใคร่รู้ทำลายอีกครั้ง คลี่จดหมายออกช้าๆ แล้วอ่านมันต่อ
‘ข้าเรียกเจ้าว่าน้องเขยได้โปรดอย่าตกใจ’ (ไม่ได้ตกใจ มีแต่ความสยดสยองต่างหาก)
‘เพราะเจ้าเป็นผู้ชายที่สนิทสนมกับอวิ๋นเล่อที่สุด และเป็นคนที่มีโอกาสล้มฉางเอ๋อได้มากที่สุด ไม่แน่ว่าในวันข้างหน้า เจ้าอาจจะกลายเป็นน้องเขยของข้าจริงๆ ก็ได้’ (ประโยคล้มฉางเอ๋อน่ากลัวกว่าประโยคก่อนหน้านี้อีก)
‘ข้าคิดว่าแม้สหายอันหลินจะไม่อยากจีบอวิ๋นเล่อในตอนนี้ แต่อนาคตต้องหวั่นไหวเป็นแน่ เพราะอวิ๋นเล่อเป็นสตรีที่เพียบพร้อมเช่นนี้ ใช่ไหม’ (มันไม่เกี่ยวกับความเพียบพร้อม! เพิ่มคำว่าเพียบพร้อมแล้ว ต่อไปคงเข้าประเด็นหลักแล้วสินะ)
อันหลินเดาไม่ผิด สิ่งที่จะพูดต่อไปนั้น เป็นประเด็นหลักจริงๆ
‘เมื่อเจ้าอยากจีบอวิ๋นเล่อ ตัวก็อยู่ไกลถึงสรวงสวรรค์แล้ว ข้าในฐานะที่เป็นพี่ชาย อยากช่วยก็จนปัญญา จึงตั้งใจเขียนข้อมูลเหล่านี้ หวังว่าจะช่วยเหลือเจ้าได้มากที่สุด’
‘วันเกิดของอวิ๋นเล่อคือ…สัตว์ที่นางชอบ…อาหารที่นางชอบกิน…เรื่องที่นางชอบทำในยามเช้า…สิ่งที่นางชอบทำในยามบ่าย…นางชอบฝึกกระบี่ยามราตรี แม้นางจะใช้กงจักรแสงจันทร์ แต่นางก็เป็นหญิงที่ฝันอยากเป็นเซียนกระบี่ ฉะนั้นน้องเขย เจ้ามีโอกาสมากนะ…นางก็มีเรื่องที่ไม่ชอบอยู่บ้างเหมือนกัน เช่นสภาพแวดล้อมที่วุ่นวายเกินไป…แม้บางครั้งนางจะพูดไม่เก่ง แต่ก็เป็นคนที่ชอบพูด…’
‘…พี่ชายช่วยเจ้าได้แต่เพียงเท่านี้ หากยังไม่สำเร็จละก็ เท่ากับว่าพวกเจ้าสองคนไม่มีวาสนาต่อกันจริง ข้าก็ไม่อาจแทรกแซงได้มากนัก สุดท้าย ขอให้ทุกอย่างราบรื่น!’
อันหลินอ่านจดหมายฉบับนี้เงียบๆ จนจบ ตกอยู่ในภวังค์ความคิดอีกครั้ง
อดพูดไม่ได้ว่า พี่ชายคนนี้ห่วงพะวงเรื่องชีวิตคู่ของน้องสาวจนใจแหลกสลายแล้ว
อันหลินรู้สึกสะเทือนอารมณ์มาก เขาเริ่มหวาดกลัวขึ้นมา
เขากลัวว่าตัวเองจะรู้มากเกินไปหรือเปล่า…
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เริ่มมีไฟลุกโชนผุดขึ้นจากฝ่ามือของเขา แผดเผากล่องไม้และจดหมายจนวอดวาย
อืม…ไม่มีหลักฐานแล้ว
แต่ว่าข้อมูลยังจดจำอยู่ในสมองไม่ลืม ทำอย่างไรดี
“เฮ้อ…” อันหลินส่ายหน้าอย่างระอาใจ สีหน้าอมทุกข์
บางครั้งฉลาดเกินไปก็ไม่ใช่เรื่องดี
…
ค่ายกลเคลื่อนย้ายของสำนักความร่วมมือบำเพ็ญเซียนแห่งสรวงสวรรค์
ชั่ววินาทีที่แสงสีขาวสว่างวาบ ร่างของอันหลินก็ค่อยๆ ปรากฏให้เห็น
สิ่งที่โผล่มาพร้อมกับเขาเป็นเจ้าอัปลักษณ์กับต้าไป๋ในเวอร์ชันมินิ
อันหลินมองสภาพแวดล้อมอันคุ้นเคยที่อยู่รอบตัว พลังปราณอันหนาแน่น ทำให้เผลอสูดลมหายใจเข้าลึก รู้สึกสบายไปทั้งตัว ทั้งๆ ที่ออกจากรั้วสำนักไม่ถึงหนึ่งเดือน กลับรู้สึกราวกับแยกจากกันนานแสนนาน
“เอ๊ะ อันหลิน! ต้าไป๋!” เสียงที่ฟังดูคุ้นหูนิดหน่อยดังขึ้นกะทันหัน
อันหลินหันหลังไป เห็นชายผิวคำคล้ำ รูปร่างท้วมเล็กน้อยคนหนึ่งกำลังมองตัวเองด้วยความดีใจ
“โอ้โฮ! หลิวต้าเป่าหรือ ทำไมเจ้าดำเช่นนี้เล่า!” อันหลินเบิกตากว้าง จ้องชายคนตรงหน้าอย่างตกใจ
ในความทรงจำของเขา หลิวต้าเป๋าเป็นชายที่มีผิวขาว รูปร่างกำยำ ไม่ได้เจอกันระยะหนึ่ง ทำไมถึงกลายเป็นคุณลุงแอฟริกันไปได้ล่ะ
“เฮ้อ…เรื่องนี้พูดไปมีแต่น้ำตา” หลิวต้าเป๋านวดหว่างคิ้ว พูดอย่างเจ็บปวดว่า “พ่อข้าจะให้ข้าฝึกเคล็ดวิชาสุริยันให้ได้ วิชานี้จำต้องเริ่มด้วยการตากแดดติดต่อกันเป็นเวลาหนึ่งเดือน”
“ปิดเทอมในหนึ่งเดือนนี้ของข้า ไม่ได้ทำอะไรเลย นอนแผ่อยู่บนชายหาดดุจปลาเค็มทุกวัน พลิกตัวหนเดียวยามเที่ยงวัน…”
อันหลินฟังถึงตรงนี้ก็หลุดขำพรืดออกมา
เขาคิดว่าหากเสี่ยวหงผู้เชี่ยวชาญการสังเคราะห์แสงฟื้น น่าจะมีหัวข้อสนทนากับหลิวต้าเป๋าเยอะโขเลยล่ะ
จากนั้นเขาก็เห็นอารมณ์ของหลิวต้าเป่าดิ่งฮวบลงกะทันหัน ทำท่าเหมือนจะร้องไห้ จึงรีบขอโทษขอโพยทันที “ขอโทษนะ ข้าทนไม่ได้…”
เขาไม่ขอโทษยังดี พอขอโทษแบบนี้ ทำให้หลิวต้าเป่าหน้าดำขึ้นมาทันที แม้หน้าจะดำเป็นทุนเดิมอยู่แล้วก็ตาม
หลิวต้าเป๋าทอดถอนใจอย่างทุกข์ระทม ย้อนถามอันหลินว่า “เจ้าล่ะ ปิดเทอมนี้ไปทำอะไรมา”
อันหลินหยุดคิดครู่หนึ่งแล้วตอบตามจริงว่า “เยอะเชียวล่ะ ข้าไปเที่ยวสำนักสัตว์เทพก่อน จากนั้นก็ไปเที่ยวสำนักวิหคชาด ตามมาด้วยสังหารปีศาจร้ายในหุบเหวหมื่นกาลี ต่อมาก็ไปหาเซวียนหยวนเฉิงที่สำนักเซียนหมื่นชีวิต แถมยังได้เจอกับเหตุการณ์ใหญ่อย่างสังฆราชินีแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์เหมันต์ชิงบุรุษอีกด้วย สุดท้ายก็ไปยังราชวังชิงมู่…”
หลิวต้าเป๋า “…”
อันหลินพบว่าสีหน้าของหลิวต้าเป๋าไม่สู้ดี จึงไถ่ถามว่า “เอ๊ะ เจ้าเป็นอะไรไป”
หลิวต้าเป๋ากุมหน้าอกส่ายหน้า “เปล่า ข้าแค่รู้สึกเจ็บปวดนิดหน่อย…”
“ขอข้าอยู่เงียบๆ คนเดียวก็หายแล้ว” เขาโบกมือเป็นเชิงบอกว่าไม่ต้องกังวล
อันหลินพยักหน้า จากนั้นใบหน้าก็ฉายความมุ่งมั่น
ปีใหม่มาถึงแล้ว…
ในหนึ่งปีนี้ เขาจะตั้งใจบำเพ็ญเพียรให้ดี ต้องก้าวหน้าขึ้นทุกวัน!