ระบบหรรษา กับข้าผู้บำเพ็ญเซียนปลอม – ตอนที่ 204 เป็นคนระหกระเหินเช่นเดียวกัน

ดวงตาสีม่วงของหลิวเชียนฮ่วนกะพริบปริบๆ พูดเสียงจริงจังว่า “ข้าคิดว่าพวกเราถูกหลอกแล้ว”

มุมปากของอันหลินกระตุก กุมขมับ “มันไม่ใช่แค่ท่านคิดว่า นี่มันเป็นเรื่องที่ชัดเจนอยู่แล้ว!”

ภายในหอไข่มุก นอกจากพื้นและกำแพงที่สะอาดสะอ้านแล้ว ไม่มีอะไรเลย!

แม้แต่ชั้นของหอคอยก็มีแค่ชั้นเดียว ว่างเปล่าจนชวนให้รู้สึกพรั่นใจ

ทอดมองไปมีจอกศักดิ์สิทธิ์กับผีอะไร นี่มันกรงขังชัดๆ

“เฮ้อ ข้าประมาทไปแล้ว ไม่รู้สึกถึงจิตสังหารจึงบุ่มบ่ามเข้ามา ไม่คิดเลยว่าเจตนาของศัตรูจะเป็นการขังพวกเรา” หวังเสวียนจ้านตำหนิตัวเอง ขมวดคิ้วมุ่นอยู่ข้างๆ

“ไม่เป็นไร ก็แค่หอคอย เราสามคนร่วมมือกันต้องทลายมันได้แน่!” อันหลินพูดให้กำลังใจเพื่อนร่วมกลุ่ม

จากนั้นเขาก็ล้วงกระบี่พิชิตมารแล้วเริ่มฟันผนังของหอไข่มุก

พรึ่บๆ ๆ…

กระบี่พิชิตมารคมกริบอย่างยิ่ง ลำแสงฟาดผนังเส้นแล้วเส้นเล่า แต่กลับไม่ทิ้งร่องรอยอะไรเลยสักนิด

“หมัดสะเทือนขุนเขา!”

เมื่ออันหลินเห็นว่าใช้กระบี่ไม่ได้ผล จึงใช้พลังเซียน

ตูม! แสงทองระเบิด ระหว่างที่พลังงานซัดสาด ผนังกลับไม่เป็นอะไรเลย

“พับผ่าสิ แข็งขนาดนี้เลยหรือ หรือข้าต้องใช้หมัดปรมาณูอัสนี” ความฮึกเหิมของอันหลินถูกปลุก พูดด้วยนัยน์ตาที่เย็นเยียบ

เมื่อหวังเสวียนจ้านกับหลิวเชียนฮ่วนได้ยินคำพูดของอันหลิน ก็ตกใจจนพุ่งเข้าไปกอดแขนเขาไว้แน่น

“สหายอันหลิน มีอะไรค่อยพูดค่อยจากัน อย่าวู่วาม!” หวังเสวียนจ้านทำหน้าวิตกกังวล

“อันหลิน เจ้าอยากยอมแพ้ในยี่สิบนาที อย่ายกธงขาวด้วยวิธีระเบิดพลีชีพสิ เจ็บมากนะ!” หลิวเชียนฮ่วนวิงวอนร้องขอ

หวังเสวียนจ้านกับหลิวเชียนฮ่วนที่เคยเห็นหมัดปรมาณูอัสนีประจักษ์แก่ตา รู้ซึ้งถึงความน่ากลัวของพลังนี้ดี ถึงตอนนั้นไม่ว่าจะระเบิดหอคอยได้หรือไม่ จุดจบของพวกเขามีเพียงอย่างเดียว นั่นก็คือตกรอบยกกลุ่ม

เพื่อไม่ให้อันหลินลงมือ หวังเสวียนจ้านกับหลิวเชียนฮ่วนเองก็ทดลองทำทุกวิถีทางเช่นกัน

เขตอาคมมังกรอัสนีของหวังเสวียนจ้านแผ่ออกมาอย่างสิ้นเชิง หอกอัสนีอันยิ่งใหญ่ทะลวงผนังจนสั่นสะเทือน กระแสไฟลุกลามไปทั่วทุกอณูของหอคอย

หลิวเชียนฮ่วนเองก็ใช้ลำแสงสุดท้ายโจมตีผนัง การกระจายของพลังงานทำให้อันหลินถอยหลังหลายก้าว แต่การโจมตีแบบนี้ ยังคงทำลายผนังหอคอยไม่ได้อยู่ดี

พวกเขาไม่ยอมท้อแท้ ปล่อยพลังเซียนอันแก่กล้าต่อไป ภายในหอคอยมีเสียงดังตูมตามอย่างต่อเนื่อง

ผ่านไปครู่หนึ่ง ทั้งสองก็นอนหายใจหอบบนพื้น ใบหน้ามีแต่ความไม่ยอมแพ้

“ไยหอคอยนี่ถึงได้แข็งกว่ากระดองเต่าเสียอีก” หวังเสวียนจ้านพูดด้วยความเจ็บใจ

หลิวเชียนฮ่วนไม่อยากพูดอะไร หยิบมือถือออกจากแหวนมิติแล้วเริ่มเล่นขึ้นมา

บนท้องนภาเหนือเทือกเขาจงหลง มนุษย์ที่มีปีกสีขาวสามคนกำลังเหาะเหินอย่างเชื่องช้า พร้อมกับระแวดระวังรอบข้างไม่หยุด แสงอาทิตย์อาบร่างของพวกเขา แผ่รัศมีเบาบาง

ทั้งสามก็คืออกัส เชอรีลและอาเธอร์แห่งสวนเอเดนนั่นเอง

“ออกัส มีหอคอยสีขาวอยู่เบื้องหน้า เจ้าว่าข้างในจะมีจอกศักดิ์สิทธิ์หรือไม่” แววตาของเชอรีลเป็นประกาย ชี้หอคอยสีขาวที่เปล่งประกายอยู่ท่ามกลางขุนเขา พลางพูดอย่างตื่นเต้น

“มีหอคอยที่ตั้งอยู่ในบริเวณที่สะดุดตาแบบนี้ ข้ารู้สึกว่าแปลกๆ ชอบกล”

ออกัสขมวดคิ้วจ้องหอคอยแล้วกล่าวออกมา

“แต่มีเป้าหมายย่อมดีกว่าค้นหาอย่างไม่มีเป้าหมาย พวกเราเข้าไปดูกันหน่อยเถอะ!” อาเธอร์คิดว่าอย่างไรเสียหากว่ามีการดักซุ่ม ความสามารถอย่างพวกเขาหลบหนีก็ไม่ใช่เรื่องยาก สู้ลองไปสำรวจดูสักหน่อยดีกว่า

เชอรีลก็พยักหน้าอย่างลิงโลดใจเช่นกัน “เห็นด้วย!”

ผลโหวตจึงเป็นสองต่อหนึ่งด้วยเหตุนี้

ทั้งสามเริ่มมุ่งหน้าไปยังหอคอยสีขาว

ไม่นานก็มาถึงเวหาเหนือหอคอยสีขาว

ทั้งสามคนเหาะลงไปยังทางเข้าของหอคอย พบว่ามีม่านลายน้ำบดบังทัศนวิสัย ไม่เห็นสถานการณ์ภายในหอ

พวกเขาทะลุผ่านม่านลายน้ำอย่างระแวดระวังและเข้าสู่ภายในหอ

จากนั้นพวกเขาก็ตะลึงงัน

ใช่แล้ว ทั้งหกใบหน้างงเป็นไก่ตาแตก!

“แย่แล้ว พวกเราถูกสรวงสวรรค์ดักซุ่ม!”

อาเธอร์หน้าถอดสีทันทีที่ได้สติ รีบชักคันธนูออกมาโดยพลัน

ทั้งสามคนจากสรวงสวรรค์มองพวกเขาอย่างเห็นอกเห็นใจ

อันหลินส่ายหน้าและถอนหายใจ “พี่ใหญ่ เจ้าช่วยดูให้ดีๆ หน่อย ใครดักซุ่มกัน ไม่ได้เตรียมอาวุธสักชิ้นเลยด้วยซ้ำ”

ขณะที่พูด เขาชี้หลิวเชียนฮ่วนที่เริ่มเล่นมือถือขึ้นมาอีกครั้งแล้วพูดต่อว่า “ดูสภาพนี้สิ เป็นสภาพของคนที่ดักซุ่มพึงมีหรือ!”

อาเธอร์ “…”

ออกัสได้สติ ถอนหายใจอย่างแรง “ท่าทางเราจะตกหลุมพรางเสียแล้ว”

เชอรีลกัดฟันกรอด “ตัวแทนของเมืองพุทธไม่มีทางทำเรื่องแบบนี้แน่ ท่าทางพวกที่วางกับดัก จะเป็นเจ้าพวกโง่จากหอสร้างโลกแน่ๆ!”

นอกหอคอยสีขาว ตัวแทนทั้งสามของหอสร้างโลกพุ่งออกจากพุ่มไม้ทันที

“เก็บ!” หวงส่านประสานอิน หอไข่มุกขนาดใหญ่ส่องแสงสีขาวสว่างวาบ หดเล็กลงเหลือขนาดเท่าฝ่ามือ ตั้งอยู่บนฝ่ามือของมัน

“ฮ่าๆ ๆ ทั้งสองอิทธิพลถูกพวกเราจับแล้ว ครั้งนี้ที่หนึ่งต้องเป็นของพวกเราแน่!” หงโต้วดีใจจนหัวเราะลั่น ความอัดอั้นใจก่อนหน้านี้หายเป็นปลิดทิ้ง ลืมตาอ้าปากได้แล้ว

ตูม! สายฟ้าสีทองฟาดลงกลางกระหม่อมของหงโต้ว

หงโต้วถูกฟาดจนใบหน้าดำเกรียม น้ำตาคลอเบ้า เสียงหัวเราะหยุดชะงัก

หวงส่านเหลือบมองหงโต้วอย่างเฉยชา “คอยดูว่าเจ้าจะกล้าหัวเราะอีกไหม!”

ตงเยี่ยนพูดอย่างตื่นเต้นว่า “ตอนนี้สรวงสวรรค์กับสวนเอเดนถูกจับตัวแล้ว พวกเราสามารถตามหาร่องรอยของจอกศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างสบายใจแล้ว”

หวงส่านพยักหน้า ความสามารถอย่างพวกมัน หากเจอกับตัวแทนเมืองพุทธที่เหลือแค่สองคน ก็คงบดขยี้ผ่านไปได้โดยง่าย

สิ่งที่พวกมันต้องทำในตอนนี้ก็คือ รวบรวมจอกศักดิ์สิทธิ์อย่างสบายใจก็เท่านั้น

“เจ้าถือหอไข่มุกไว้ คอยหยั่งรู้สถานการณ์ภายในหอตลอดเวลา หากเกิดอะไรให้บอกข้าทันที” หวงส่านโยนหอไข่มุกให้หงโต้ว

หงโต้วรับหอไข่มุกไปอย่างเคร่งขรึม แม้อาวุธวิเศษชั้นสูงชิ้นนี้จะทนทานอย่างยิ่ง แม้แต่การโจมตีระดับแปลงจิตก็ทลายไม่ได้ แต่ระวังไว้หน่อยก็ไม่เสียหลาย

มันใช้กระแสจิตสัมผัสสถานการณ์ภายในหอ พบว่าสั่นสะเทือนไม่หยุด เห็นได้ชัดว่ากำลังถูกโจมตี

“หึๆ พวกเจ้าดิ้นรนไปเถอะ คิดอยากจะใช้การโจมตีระดับแค่นี้ทลายการป้องกันภายในหอคอย ฝันไปเถอะ! ข้าชอบเห็นพวกเจ้าพยายามสุดแรง แต่ไม่ได้อะไรเลยแบบนี้แหละ” หงโต้วหัวเราะร่า ประคองหอไข่มุกสีขาวไว้ด้วยใบหน้าเคลิบเคลิ้ม

ขณะเดียวกัน ภายในหอไข่มุก

สมาชิกของสวนเอเดนหายใจหอบหยุดการโจมตี ใบหน้าฉายความเจ็บใจและสิ้นหวัง

ทั้งสองอิทธิพลตาใหญ่จ้องตาเล็กอยู่อย่างนั้น[1] คิดหาทางออกไม่ได้เลย

ทุกคนถูกขังไว้ที่นี่ จะออกไปอย่างไรยังเป็นปัญหา ด้วยเหตุนี้จึงหมดสิ้นความคิดจะต่อสู้กันไปนานแล้ว คิดหาแผนการรับมืออยู่อีกมุมแทน

แต่ทว่า ไม่ว่าผ่านไปนานเท่าใด และลองไม่รู้มากมายตั้งเท่าใด แต่ก็หาวิธีทำลายกับดักไม่ได้

หลิวเชียนฮ่วนที่หมดอาลัยตายอยากจึงเล่นเกมของนางต่อไป

เชอรีลก็ว่างจนเบื่อ ขยับเข้าไปนั่งข้างหลิวเชียนฮ่วน นึกสนใจของเล่นแปลกใหม่ในมือของนาง

หลิวเชียนฮ่วนจะปล่อยคู่เล่นที่มาเยือนถึงถิ่นคนนี้ไปฟรีๆ ได้อย่างไร จึงลากเชอรีลเข้ามาติดหลุมพรางได้สำเร็จ จากนั้นก็รังแกเชอรีล สร้างชื่อให้กับอิทธิพลสรวงสวรรค์ได้สำเร็จ

อันหลินเห็นท่าทางที่เชอรีบถูกรังแกอย่างต่อเนื่อง มุมปากก็กระตุก

เมื่อผ่านไปหลายตาแล้ว นัยน์ตาสีน้ำเงินของเชอรีลก็รื้นน้ำตา ใบหน้าขาวผ่องแดงก่ำ ปามือถือทิ้งด้วยความโกรธเคือง พูดอย่างโมโหว่า “ของเล่นนี่ไม่สนุกเลย!”

“นี่…อย่าสิ ข้ายอมเจ้าดีไหมเล่า ข้าจะยอมให้เจ้าก่อนสิบตา!” หลิวเชียนฮ่วนเห็นคู่เล่นไม่ยอมเล่นแล้ว จึงรีบเอ่ยปากเหนี่ยวรั้งทันที

ยอมให้สิบตาหรือ

ร่างอรชรของเชอรีลสั่นเทิ้ม รู้สึกว่าตนถูกหมิ่นเกียรติอย่างแรง แต่ก็ไม่มีกำลังใจจะรับคำท้าอยู่ดี…

“ข้าถามอะไรอย่างได้ไหม ทำไมตัวละครที่เจ้าบังคับถึงได้เก่งกว่าข้ามากขนาดนั้น” เชอรีลลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยถามด้วยความสงสัย

“เพราะข้าแข็งแกร่งน่ะสิ!” หลิวเชียนฮ่วนชี้แจงอย่างเป็นธรรมชาติ “คำถามนี้ ก็เหมือนถามออกัสว่าทำไมเก่งกว่าเจ้า แน่นอนว่าเป็นเพราะเขาแข็งแกร่ง ถึงได้เก่งกว่าเจ้าไง!”

เชอรีลพยักหน้าเหมือนจะเข้าใจ ผินมองลีคออฟคิงในมือถือ พูดอย่างไม่ค่อยพอใจว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าต้องชนะเจ้าแน่นอน! ข้าเชื่อว่าขอเพียงข้าพยายาม ข้าจะแข็งแกร่งกว่าเจ้าแน่!”

เชอรีลจึงสู้กับหลิวเชียนฮ่วนขึ้นมาอีกครั้ง

อันหลินมองเชอรีลอย่างเห็นอกเห็นใจ อยากบอกกับนางเหลือเกินว่า ‘เด็กน้อยผู้น่าสงสาร ทำไมเธอถึงไม่รู้อะไรเลย ตัวละครแข็งแกร่งหรือไม่ ขึ้นอยู่กับที่หลิวเชียนฮ่วนคนนี้โกงต่างหาก!’

แน่นอนว่า ในขณะที่อันหลินกำลังชื่นชมที่หลิวเชียนฮ่วนสร้างชื่อให้สรวงสวรรค์ได้สำเร็จ ก็เลือกที่จะลืมสัญญาณบางอย่างไป

………..

[1] ตาใหญ่จ้องตาเล็ก หมายถึง ต่างฝ่ายต่างมองตากัน ทำอะไรไม่ถูก

ระบบหรรษา กับข้าผู้บำเพ็ญเซียนปลอม

ระบบหรรษา กับข้าผู้บำเพ็ญเซียนปลอม

อ่านนิยาย
Status: Ongoing
ในโลกมนุษย์ อันหลินดูเหมือนจะถูกพระเจ้าทอดทิ้ง เมื่อจู่ๆ พ่อของเขาก็หายตัวไปพร้อมทิ้งหนี้ก้อนโตไว้ให้ ทำให้ชีวิตเขาตกอยู่ในอันตราย หลังจากถูกเจ้าหนี้บีบจนต้องขึ้นไปถึงดาดฟ้าตึก อันหลินกลับถูกลมประหลาดพัดออกจากดาดฟ้าและดิ่งลงพื้น แต่เขากลับไม่ตาย แถมยังรอดพ้นจากเจ้าหนี้ จากนั้นจึงพบว่าผู้ที่ช่วยตนไว้คือท่านเซียนคนหนึ่ง ท่านเซียนยังได้มอบของขวัญที่ดูเหมือนมาจากความเมตตาอันบริสุทธิ์ให้กับเขา นั่นคือ ‘ระบบเทพสงคราม’ พร้อมกับจดหมายรับรองเพื่อมุ่งหน้าไปบำเพ็ญเพียรบนสวรรค์!? มาร่วมเดินทางในโลกอันเป็นตำนานใบใหม่ไปพร้อมกับอันหลิน พบปะเพื่อนใหม่มากมาย ได้รับอาวุธและเครื่องไม้เครื่องมือในตำนาน และเริ่มต้นเส้นทางการกลายเป็นผู้บำเพ็ญเซียนที่แข็งแกร่งที่สุด… ชีวิตใหม่ของอันหลินพร้อมกับระบบที่ ‘ยอดเยี่ยม’ ของเขา จะไม่มีช่วงเวลาให้เงียบเหงาอย่างแน่นอน!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset